ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 1043 ดักสังหารกลางทาง

ดวงตาของศิษย์ระดับแก่นแท้สามคนที่เหลือฉายแววประหลาดใจยามเหลือบมองเซียเอ๋อร์บนหัวไหล่ของหลิ่วหมิง เมื่อเห็นว่ามันเป็นเพียงอสูรเลี้ยงจำพวกภูตผีระดับแก่นเสมือนตัวหนึ่งก็ละสายตาไปอย่างรวดเร็ว

ในตอนนี้เองสัญลักษณ์มงกุฎบนหน้าผากของเซียเอ๋อร์พลันส่องแสง แสงสีทองเจิดจ้าดวงหนึ่งระเบิดออกมา

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ในใจพลันยินดี หลังจากเซียเอ๋อร์เข้าสู่ระดับแก่นเสมือน แสงสีทองที่เปล่งออกมาเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้เห็นชัดว่าแสบตากว่าไม่น้อย

เพียงชั่วครู่แสงสีทองทั้งหมดก็รวมกันกลายเป็นแสงสีทองเส้นหนาพุ่งออกไปด้านหน้าอย่างเร็วแล้วโจมตีบนม่านแสงปราณดำที่ทั้งสี่คนโจมตีอยู่เสียงดังสนั่น ไอหมอกสีดำฉับพลันละลายอย่างรวดเร็วดุจน้ำแข็งต้องถ่านร้อน ผลลัพธ์ที่ได้ดีเสียยิ่งกว่าอาวุธทำลายค่ายกลชิ้นใดๆ ในมือทั้งสี่คน

ชายหนุ่มหน้าซื่อจากนิกายเทียนกงมองเซียเอ๋อร์อย่างประหลาดใจ สายตาของเขาหยุดบนสัญลักษณ์มงกุฎสีทองบนหน้าผากของมันอยู่ชั่วครู่

สีหน้าของคนอื่นก็ไม่ต่างจากชายหนุ่มชุดเหลืองนัก แต่สถานการณ์นี้ย่อมเป็นเรื่องดี พวกเขาจึงพากันทุ่มสุดกำลังต่อด้วย

ด้วยเหตุนี้ เมื่อทั้งสี่คนได้แสงสีทองที่เซียเอ๋อร์ปล่อยออกมาสนับสนุน ม่านแสงปราณดำก็เว้าแหว่งด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า

ห้าชุ่น สี่ชุ่น สามชุ่น…

ในที่สุดม่านแสงปราณสีดำก็สั่นไหวอย่างรุนแรงปริแยกเป็นช่องโหว่ขนาดครึ่งจั้งช่องหนึ่ง ปราณดำรอบปากทางถาโถมเหมือนอยากจะเชื่อมปิดช่องโหว่

“ไปเร็ว!”

ชายหนุ่มหน้าซื่อจากนิกายเทียนกงคำรามเบาๆ ร่างกายเหาะออกจากช่องไปดุจสายฟ้า

สองคนที่เหลือก็ไม่ยอมถูกทิ้งไว้ข้างหลังเหาะเร็วไวตามออกไปติดๆ หลิ่วหมิงกวักมือเรียกเซียเอ๋อร์กลับเข้ามาในถุงหล่อเหลี้ยงวิญญาณ เขาหันหลังกลับไปมองด้านหลังแวบหนึ่ง ก่อนที่จะขยับร่างพุ่ง ทะลุผ่านช่องโหว่บนม่านแสงออกไปเป็นคนสุดท้าย

ร่างของเขาเพิ่งเหาะพ้นปากทาง ช่องโหว่บนหมอกสีดำก็ส่งเสียงดัง “ฟึบ” เบาๆ แล้วกลับคืนสู่สภาพเดิม

ทันทีที่ทั้งสี่คนออกจากมหาค่ายกลสุสานผีได้ พวกเขาก็ไม่กล้าหยุดอยู่ที่เดิมแม้แต่น้อย ต่างเหาะแยกย้ายกันไปคนละทิศทางอย่างรวดเร็ว

ระหว่างที่มหาค่ายกลสุสานผียังไม่ถูกทำลาย ค่ายกลนี้จะตัดขาดคลื่นพลังเวททั้งปวงระหว่างด้านในกับด้านนอก อีกทั้งช่องว่างที่ฉีกขาดนี้คงอยู่เพียงไม่กี่ลมหายใจ ผีร้ายด้านนอกถูกการต่อสู้อันน่าตื่นตะลึงบนท้องฟ้าดึงความสนใจอยู่ ในชั่วเวลาหนึ่งจึงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นพวกเขา

เพียงพริบตาเดียวทั้งสี่คนก็หนีออกจากวงล้อมอันแน่นหนาของกองทัพผีร้ายสำเร็จ

แต่ขณะที่หัวใจของหลิ่วหมิงเพิ่งจะผ่อนคลายลงนั่นเอง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าร่างกายสั่นเทาราวกับถูกอสูรยักษ์บางตัวจ้องเขม็ง

“จะหนีไปไหน!”

เสียงตวาดเหี้ยมเกรียมดังมาจากบนท้องฟ้าพร้อมกับแรงกดดันจิตวิญญาณมหาศาลที่ทำให้พวกหลิ่วหมิงสี่คนใจสะท้าน

อึดใจต่อมาเหนือศีรษะของทั้งสี่คนต่างก็มีเงาฝ่ามือมหึมาขนาดหนึ่งหมู่ข้างหนึ่งคว้าลงมา ที่แท้เป็นฝีมือผีแม่ทัพใหญ่ทั้งสี่ตน มือข้างหนึ่งบังคับธงค่ายกล อีกมือหนึ่งคว้ามาหาพวกหลิ่วหมิง

“เหอะ!”

ดวงตาหลิ่วหมิงฉายแววเหี้ยมเกรียม ขอเพียงหนีออกไปได้ระยะหนึ่ง ผีแม่ทัพใหญ่ระดับดาราพยากรณ์เหล่านี้ย่อมต้องพะวงกับการรักษามหาค่ายกลสุสานผี ไม่มีทางไล่ตามมา ส่วนภูตผีตนอื่นต่อให้เป็นผีแม่ทัพระดับแก่นแท้ก็ไม่ใช่ภัยคุกคามสำหรับเขาแม้แต่น้อย

มือข้างหนึ่งของเขาทำท่าเคล็ดวิชาทันที ฉับพลันร่างกายก็เลือนหายกลายเป็นเงาดำหน้าตาเหมือนกันทุกประการสี่ร่าง แล้วเพิ่มความเร็วพุ่งเร็วจี๋แยกไปด้านหน้าสี่ทาง

เสียงอุทานดังขึ้นเบาๆ ฝ่ามือยักษ์สีแดงฉานข้างหนึ่งที่เดิมทีพุ่งมาหาหลิ่วหมิงชะงักกลางอากาศครึ่งลมหายใจ ก่อนจะแยกเป็นสี่มือกดลงมาหาเงาทั้งสี่ร่าง

แต่สิ่งที่หลิ่วหมิงต้องการก็คือการหยุดชะงักชั่วครึ่งลมหายใจนี่!

“บึ๊ม!” เสียงดังสนั่น

ก่อนที่ฝ่ามือยักษ์ทั้งสี่จะร่วงลงมา เงาสี่ร่างที่หลิ่วหมิงสร้างขึ้นก็เหาะพ้นจากขอบเขตที่ถูกทับอย่างหวุดหวิด

ในแดนมายาของดวงตามายา เขาจำลองการต่อสู้กับปีศาจสายฟ้ามาไม่รู้กี่ครั้ง การรับมือกระบวนท่าฝ่ามือยักษ์ที่ผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์สร้างขึ้นนี้ เขาเชี่ยวชาญยิ่งนัก!

ศิษย์อีกสามนิกายล้วนแต่เป็นผู้โดดเด่นในหมู่ระดับเดียวกันจากแต่ละนิกาย ในสถานการณ์ที่เตรียมตัวอยู่ก่อนแล้ว แม้สุ่มเสี่ยงแต่พวกเขาก็ล้วนหลบพ้นการโจมตีของผีแม่ทัพใหญ่ทั้งสามตนได้อย่างปลอดภัย

ต่อจากนั้นหลิ่วหมิงพลันโบกมือข้างหนึ่ง แสงกระบี่สีม่วงสายหนึ่งพุ่งออกมาจากแขนเสื้อยกร่างของเขาลอยขึ้น กลายเป็นแสงสีม่วงสายหนึ่ง กะพริบวูบเดียวพุ่งไปไกลหลายร้อยจั้ง

สามคนที่เหลือต่างสำแดงพลังของตน บ้างเรียกเรือเหาะ บ้างงอกปีกกลไกออกมาจากแผ่นหลัง พุ่งไปสามทิศทางที่เหลืออย่างรวดเร็ว

ในเวลาเดียวกันนี้ แม้พวกผู้เฒ่าแซ่ฝางด้านในป้อมปราการไท่เทียนจะไม่เห็นสานการณ์ของพวกหลิ่วหมิงด้านนอกมหาค่ายกลสุสานผีชัดเจน แต่พวกเขาต่างกระตุ้นร่างพลังเวทด้านหลังให้ระเบิดการโจมตีที่ดุดันยิ่งกว่าเดิมออกมาพร้อมกันอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย ทำให้มหาค่ายกลสุสานผีทั้งค่ายกลสั่นสะเทือนส่องแสงวูบวาบอีกครั้ง

บนท้องฟ้าเหนือค่ายกล ผีแม่ทัพใหญ่ผมเขียวที่สวมชุดเกราะกระดูกมองลำแสงสี่สายที่เคลื่อนออกไปไกลเรื่อยๆ ดวงตาทอประกายดุร้าย มีเด็กเผ่ามนุษย์เล็ดลอดหนีไปได้ใต้หนังตา จะไม่ให้เขาโกรธจัดได้อย่างไร ร่างกายขยับหมายจะไล่ตามไปโจมตี

“เคอหมาน หยุดนะ! ปกป้องค่ายกลสำคัญกว่า!” เสียงของผู้เฒ่าใบหน้าสีน้ำเงินดังขึ้นในหูของผีแม่ทัพใหญ่ผู้สวมชุดเกราะกระดูก

เผ่ามนุษย์ด้านในป้อมปราการโจมตีมหาค่ายกลสุสานผีไม่หยุด พวกเขาสี่ตนต้องร่วมมือกันถึงจะปกป้องค่ายกลไว้ได้อย่างหวุดหวิด หากขาดไปสักตนจนมหาค่ายกลสุสานผีถูกทำลาย สิ่งที่ลงแรงไปก่อนหน้าย่อมสูญเปล่าสิ้น

ร่างของผีแม่ทัพใหญ่ชุดเกรากระดูกชะงัก ในที่สุดก็ยั้งร่างกายเอาไว้

เพียงชักช้าชั่วครู่นี้ พวกหลิ่วหมิงก็กลายเป็นจุดแสงสี่จุดหายลับไปไกลแล้ว

“สี่คนนี้หนีออกจากป้อมปราการไท่เทียนไปต้องมีแผนแน่ ปล่อยพวกเขาไปเช่นนี้จะไม่มีปัญหาหรือ” ผีแม่ทัพใหญ่ผู้สวมชุดเกราะกระดูกเอ่ยอย่างขัดใจนิดๆ

“เหอะ ต่อให้ตอนนี้ส่งคนไล่ตามไปก็สายเสียแล้ว” ผู้เฒ่าใบหน้าสีน้ำเงินเอ่ยขึ้นเรียบๆ

“ดูจากทิศทางที่สี่คนนั้นเหาะหนีไป น่าจะมุ่งไปยังเมืองทั้งสี่แห่งนั้นของเผ่ามนุษย์ เสวียนหยางแจ้งสถานการณ์นี้ให้เจ้าพวกนั้นที่ล้อมโจมตีสี่เมืองใหญ่รู้ทันที ให้พวกเขาส่งคนมาจัดการเด็กมนุษย์สี่คนนี้เสีย” ผีแม่ทัพใหญ่คิ้วแดงหัวเราะเย็นชาแล้วหันไปบอกผีแม่ทัพที่สวมเกราะหนักสีแดงฉานตนหนึ่งด้านข้าง

ผีตนนั้นขานรับคำหนึ่งก็พลิกมือเรียกของทรงสี่เหลี่ยมสีดำขนาดเท่าฝ่ามือชิ้นหนึ่งออกมา ทันทีที่โบกมือยิงเคล็ดวิชาออกมาสายหนึ่ง ค่ายกลสีดำค่ายกลหนึ่งก็ทอแสงขึ้นด้านบน

ผีแม่ทัพใหญ่ผู้สวมชุดเกราะกระดูกมองทิศทางที่พวกหลิ่วหมิงหนีไปอย่างเคียดแค้น จากนั้นเขาก็สูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วตั้งสมาธิอยู่กับมหาค่ายกลสุสานผี

……

บนท้องฟ้าเหนือภูเขาเตี้ยๆ ลูกหนึ่งห่างจากป้อมปราการไท่เทียนทางตะวันออกหมื่นกว่าลี้ แสงกระบี่สีม่วงเส้นหนึ่งเหาะเร็วรี่มาแต่ไกล ทันใดนั้นมันก็หยุดดังฟึบแล้วเผยร่างของหลิ่วหมิงออกมา

หลิ่วหมิงหันไปมองด้านหลัง ใบหน้าเผยสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะโบกมือเก็บกระบี่ขู่หลุนไป จากนั้นปล่อยปราณดำกลุ่มหนึ่งมาล้อมรอบร่างแล้วเหาะอย่างรวดเร็วไปทางเมืองจินกวังต่อ

ป้อมปราการไท่เทียนกับเมืองจินกวังห่างกันไกลนัก ครั้งก่อนจากเมืองจินกวังไปถึงป้อมปราการไท่เทียนใช้เวลาราวสองวัน แต่ครั้งนี้เขาเร่งดินทางเต็มกำลัง ผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืนก็เหาะมาได้เกินครึ่งของเส้นทาง

ขณะที่เมฆสีดำของเขาเหาะอย่างรวดเร็วผ่านท้องฟ้าเหนือภูเขาเตี้ยแห่งหนึ่ง ทันใดนั้นเส้นสีดำเรียวเล็กนับไม่ถ้วนก็พุ่งพรวดมาจากยอดเขาด้านล่าง ล้อมเข้าหาหลิ่วหมิงดุจเม็ดฝน

หลิ่วหมิงที่อยู่กลางเมฆดำสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที เขาโบกมือข้างหนึ่ง กระบี่ขู่หลุนพลันพุ่งพรวดออกมา แสงกระบี่สีม่วงสว่างวูบหนึ่งแล้วหมุนควงกลายเป็นกงล้อกระบี่สีม่วงขวางอยู่เบื้องหน้า

เสียงโลหะเสียดสีดังแสบแก้วหู เส้นเรียวเล็กสีดำมากมายที่พุ่งเข้ามาถูกกงล้อกระบี่ปั่นจนเป็นชิ้นๆ กลายเป็นปราณสีดำสายแล้วสายเล่าสลายไป

ลำแสงสีดำสองสายเหาะเร็วไวออกมาจากยอดเขาด้านล่าง ก่อนจะหยุดอยู่หน้าหลิ่วหมิงห่างไปร้อยจั้ง พวกเขาคือผีแม่ทัพสองตน ตนหนึ่งร่างกายกำยำ บนร่างสวมชุดเกราะหนาหนักสีดำสนิท ส่วนอีกตนหนึ่งสวมอาภรณ์สีดำ ในมือถือร่มสีดำคันหนึ่งอยู่

“กระบี่บินสีม่วง น่าจะเป็นมนุษย์ผู้นี้!”

ผีแม่ทัพอาภรณ์สีดำกวาดสายตาบนกระบี่ขู่หลุนที่อยู่รอบร่างหลิ่วหมิงแล้วเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา

“เหอะ! แค่เด็กเผ่ามนุษย์ระดับแก่นเสมือนกระจอกงอกง่อยคนเดียว ถึงขั้นให้พวกเราสองคนลงมือด้วยกัน ก็ดีให้ข้าได้ขยับกระดูกกับเส้นเอ็นสักหน่อย เจ้าไม่ต้องลงมือ” ผีแม่ทัพร่างกำยำอีกตนหนึ่งมองหลิ่วหมิงด้วยสายตาดูแคลน แสงสีดำสว่างขึ้นในมือเขา เรียกหอกกระดูกยาวหนึ่งจั้งกว่าเล่มหนึ่งออกมา สายลมเย็นเยียบเสียดแทงกระดูกพัดออกมาจากตัวหอก

เสียงตวาดดุดันดังขึ้น!

ผีแม่ทัพร่างกำยำกระทืบเท้าอย่างแรง ร่างกายพุ่งเข้าใส่หลิ่วหมิงด้วยความเร็วสูงสุดดุจลูกธนูสีดำสนิทดอกหนึ่ง

หลิ่วหมิงตบมือข้างหนึ่งบนถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณอย่างนิ่งสงบ ร่างจริงของเซียเอ๋อร์ที่ล้อมด้วยแสงสีทองเหาะออกมาจากด้านในแล้วขวางอยู่เบื้องหน้า

ผีแม่ทัพร่างกำยำเห็นว่าเป็นอสูรวิญญาณระดับแก่นเสมือนตัวหนึ่งเท่านั้นก็แค่นเสียงหยัน หอกกระดูกในมือเปล่งแสงสีดำสว่างจ้าขณะที่ร่างยังอยู่กลางอากาศ เขาเหวี่ยงแขน เสียงลมหวีดหวิวดังลั่น เงาหอกสีดำสนิทมากมายถี่ยิบพุ่งเร็วจี๋ออกมา

เซียเอ๋อร์ไม่พูดพร่ำก็ยกก้ามขึ้นไขว้เบื้องหน้า สัญลักษณ์มงกุฎสีทองบนหน้าผากส่องสว่าง ลำแสงสีทองเส้นหนึ่งพุ่งแหวกอากาศเข้าประจันหน้ากับเงาหอกเต็มฟ้า

ผีแม่ทัพอาภรณ์สีดำที่ยืนอยู่ห่างๆ เดิมทีกำลังกอดอกชมการต่อสู้อย่างสบายอารมณ์ ทว่าพริบตาที่เซียเอ๋อร์เปล่งแสงสีทอง เขาก็หน้าถอดสีทันที

ไม่ทันที่เขาจะโต้ตอบประการใด เสียงฉึบก็ดังขึ้นจากบนฟ้า!

ทันทีที่เงาหอกสีดำสนิทสัมผัสถูกแสงสีทองก็มลายหายไปในทันใด

พริบตาที่แสงสีทองปรากฏ สองตาของผีแม่ทัพร่างกำยำฉับพลันเบิกโตขึ้นหลายเท่า เขาคำรามเสียงดังแล้วถอยพรวดออกไปทันทีราวกับเห็นศัตรูตามธรรมชาติ

ในตอนนี้เอง เงาคนร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวเบื้องหน้าเขาดุจภูตพราย แขนข้างหนึ่งขยับ แสงกระบี่สีม่วงยาวสิบกว่าจั้งวาดออกมาอย่างไม่ไว้ไมตรี!

ผีแม่ทัพร่างกำยำลอยอยู่กลางท้องฟ้าไม่อาจเปลี่ยนทางอีกครั้งได้ สถานการณ์ฉุกละหุกจึงอ้าปากถ่มแผ่นกลมประหลาดสีขาวดำแผ่นหนึ่งออกมาขวางเบื้องหน้า

แผ่นกลมหมุนอยู่รอบหนึ่ง ไอหมอกสีดำกับสีขาวสองสีพลันทะลักออกมาจากผิว ชั่วพริบตาก่อตัวเป็นพายุหมุนสีขาวดำขนาดเท่าตึกลูกหนึ่ง แรงดูดมหาศาลแผ่ออกมาจากด้านใน หมายจะดูดแสงกระบี่สีม่วงเข้าไป

หลิ่วหมิงสะบัดแขนทั้งสองข้างด้วยสีหน้าเรียบเฉย มังกรหมอกสีดำสนิทดุจหมึกยาวสิบกว่าจั้งสองตัวเหาะวนรอบแล้วพุ่งออกไป พวกมันปรากฏขึ้นทีหลังแต่กลับไปถึงหน้าแสงกระบี่สีม่วงก่อนจากนั้นโจมตีพายุหมุนสีขาวดำอย่างรุนแรง

บึ๊ม! เสียงทุ้มต่ำดังสนั่น หลังจากมังกรหมอกจมเข้าไป พายุหมุนสีขาวดำพลันสั่นสะท้าน แสงรัศมีสองสีแตกกระจายหายไปกว่าครึ่ง

จากนั้นแสงกระบี่สีม่วงของกระบี่ขู่หลุนก็พาเสียงอสนีบาตคำรามเปรี้ยงปร้างฟันตามลงมาติดๆ ดุจสายฟ้าแลบ

ฟึบ!

พายุหมุนสีดำขาวรวมถึงแผ่นกลมประหลาดด้านหลังถูกฟันแยกเป็นสองเสี่ยงพร้อมกัน

แสงกระบี่สีม่วงร่วงลงไปต่อไม่หยุดแม้แต่น้อย มันอ้อมรอบร่างกำยำของผีแม่ทัพดุจสายฟ้าแลบ ฟันร่างกายของเขาเป็นท่อนๆ ราวกับไม่มีชุดเกราะหนาหนักสีดำสนิทอยู่!

ทั้งสองประมือกันเพียงไม่กี่ลมหายใจ ผีแม่ทัพระดับแก่นแท้ตนหนึ่งก็ถูกหลิ่วหมิงสังหารอย่างว่องไวดุจสายฟ้า

Related

Comment

Options

not work with dark mode
Reset