ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 1113 เฟยจู่

เมื่อเมฆอสนีบาตสีดำสนิทบนท้องฟ้ารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ สายฟ้าเส้นโตก็แลบแปลบปลาบ เมฆอสนีบาตปั่นป่วน เส้นสายฟ้าแล่นมารวมกันเป็นกลุ่มเหมือนกำลังจะร่วงลงมาในชั่วอึดใจ

ทันใดนั้นเองอากาศว่างเปล่าบริเวณใกล้ๆ พลันสั่นสะเทือน “ฉึบ” เกิดเสียงดังสนั่น แล้วฉีกขาดเป็นรอยแยกมิติหนาเส้นหนึ่ง

อึดใจต่อมาลำแสงสีขาวหนาเส้นหนึ่งก็พุ่งพรวดออกมาจากด้านในดุจสายฟ้าแลบ ความเร็วแทบเหมือนเคลื่อนย้ายชั่วพริบตา

รูม่านตาของหลิ่วหมิงหดเล็ก ยังไม่ทันที่เขาจะตอบสนองอย่างใด ลำแสงสีขาวก็พุ่งมาถึงแล้วโจมตีเมฆอสนีบาตมากมายบนท้องนภา

เมฆอสนีบาตที่เพิ่งรวมตัวถูกโจมตีสลายไปครึ่งหนึ่งพร้อมเสียงดังสนั่น เมฆอสนีบาตที่เหลือส่งเสียงดังเปรี้ยงปร้าง อสนีบาตสีม่วง สีเงินและสีทองแลบแปลบปลาบอยู่ในก้อนเมฆ ทว่าดูบางตาลงมากนัก

ลำแสงสีขาวปรากฏขึ้นเพียงชั่วแวบแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอยในพริบตาราวกับไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน รอยแยกมิติประสานสนิทอย่างรวดเร็วไม่ทิ้งร่องรอยไว้แม้แต่น้อย

หลิ่วหมิงตกตะลึงอยู่ชั่วครู่ก็สะกิดเท้าทะยานร่างเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้า

“…”

หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว แม้แสงสีขาวจะปรากฏขึ้นเพียงชั่วพริบตา แต่ความแข็งแกร่งของพลังที่บรรจุอยู่ในนั้นเหนือกว่าผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์มากนัก ทว่ามันเหมือนจะไม่มีเจตนาทำร้ายหัวบิน ตรงกันข้ามมันกำลังใช้พลังอันยิ่งใหญ่เหนือสวรรค์ช่วยหัวบินให้ผ่านด่านเคราะห์อสนีบาต

บึ๊ม!

เมฆอสนีบาตที่เหลือไม่มากบนท้องฟ้ารวมตัวกันอย่างเชื่องช้า สายฟ้าเรียวเล็กหลากสีเส้นแล้วเส้นเล่าฟาดลงมาใส่หัวบิน

หัวบินอ้าปากคำรามเกรี้ยวกราด เส้นผมสีเขียวทั้งศีรษะพุ่งพรวดออกไปกลายเป็นตาข่ายขนาดใหญ่สีเขียวผืนหนึ่งกางอยู่เหนือศีรษะ

เส้นผมสีเขียวทอแสงวูบหนึ่ง เปลวเพลงสีเขียวก็ผุดขึ้นมา ทันทีที่สายฟ้าเส้นแล้วเส้นเล่าร่วงลงบนนั้น เปลวเพลิงสีเขียวก็เปล่งแสงสว่างจ้าโอบเส้นสายฟ้าไว้ด้านใน

อาจเพราะเมฆอสนีบาตถูกโจมตีสลายไปเกินครึ่งแล้ว พลังของสายฟ้าเหล่านี้จึงมีจำกัด แม้พวกมันจะระเบิดดังเปรี้ยงปร้างอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงสีเขียว ทำลายเปลวเพลิงสีเขียวไปได้ไม่น้อย แต่ตัวสายฟ้าเองก็สลายไปอย่างรวดเร็วยิ่งนัก

หัวบินเปล่งเสียงหัวเราะคิกคักแล้วอ้าปากพ่นเปลวเพลิงสีเทาสายหนึ่งออกมาโจมตีเมฆอสนีบาตที่อยู่บนท้องฟ้าจนเกิดเสียงดังสนั่น ก่อนจะลากเมฆอสนีบาตส่วนหนึ่งกับสายฟ้าที่อยู่ด้านในลงมากลืนเข้าปากในคำเดียว

หลิ่วหมิงสีหน้านิ่งอึ้ง

เมฆอสนีบาตบนท้องฟ้าลอยปั่นป่วนอยู่พักหนึ่ง ด่านเคราะห์อสนีบาตระลอกที่สองก็ร่วงลงมาอีกครั้ง ทว่ามันอ่อนแรงยิ่งกว่าระลอกแรก หัวบินอ้าปากพ่นเปลวเพลิงสีเทาผืนใหญ่ออกมารวบสายฟ้าเหล่านี้กลืนลงไปคำแล้วคำเล่าในทันใด

ไม่นานเมฆอสนีบาตสีดำบนท้องฟ้าก็เล็กลงเรื่อยๆ เส้นอสนีบาตสีทองสายสุดท้ายก็ถูกเฟยเอ๋อร์กลืนลงไปด้วยวิธีเดียวกัน

พร้อมกับที่เมฆอสนีบาตสีดำค่อยๆ สลายตัว ผิวของเฟยเอ๋อร์พลันมีไอหมอกสีเขียวกลุ่มใหญ่ผุดออกมาเกี่ยวกระหวัดกันเกิดเป็นลูกบอลหมอกขนาดหลายจั้งลูกหนึ่ง หุ้มเฟยเอ๋อร์เอาไว้ด้านใน

ในที่สุดเฟยเอ๋อร์ก็เริ่มเลื่อนระดับแล้ว!

เสียงกรีดร้องตื่นเต้นยินดีแต่ในเวลาเดียวกันก็แฝงความเจ็บปวดของเฟยเอ๋อร์ดังออกมาจากกลางไอหมอก

ชั่วขณะหนึ่งสายลมหนาวโหมพัด

ปราณหยินจำนวนมากรอบด้านรวมตัวกันไม่หยุดโดยมีเฟยเอ๋อร์เป็นศูนย์กลาง เกิดเป็นพายุหมุนปราณหยินขนาดมหึมาอย่างยิ่งลูกหนึ่ง แก้วผลึกสีดำสามสิบหกลูกลอยโดดเด่นอยู่ใจกลางพายุหมุน พวกมันเคลื่อนวนเป็นวงก่อนจะผสานเข้าหากันอย่างรวดเร็ว

เพียงครู่เดียวด้านในพายุหมุนสีดำก็มีเงามุกกลมสีดำขนาดเท่ากำปั้นลูกหนึ่งปรากฏขึ้น บนนั้นมีช่องทวารหกช่องปรากฏอยู่อย่างเด่นชัดยิ่งนัก

เงามุกกลมสีดำสั่นวูบหนึ่งก็มลายหายไป ต่อจากนั้นพายุหมุนปราณสีเขียวทั้งหมดก็สลายไปเสียงดังกึกก้อง เผยร่างของเฟยเอ๋อร์ออกมาอีกครั้ง

แต่นอกจากเขาโค้งคู่หนึ่งที่เพิ่มมาบนศีรษะของเฟยเอ๋อร์ รูปลักษณ์ภายนอกของเขาก็ไม่เปลี่ยนแปลงมากมายนัก ทว่าศีรษะอีกแปดหัวที่เดิมทีขนาดเล็กกว่ากลายเป็นขนาดเดียวกับศีรษะหลักแล้ว ศีรษะทั้งเก้าล้อมเป็นวงอยู่กลางท้องฟ้า แยกไม่ออกว่าหัวใดเป็นหัวหลักหัวใดเป็นหัวรอง

หากมองให้ละเอียด ตรงกลางหว่างคิ้วของศีรษะทั้งเก้ามีเส้นสีดำเข้มอยู่เส้นหนึ่ง

คลื่นพลังเวทรุนแรงแสดงให้เห็นว่าเฟยเอ๋อร์เลื่อนระดับสำเร็จ กลายเป็นหัวปีศาจระดับแก่นแท้หัวหนึ่งแล้ว

แสงสีเขียวฉายวูบ เฟยเอ๋อร์กลายร่างเป็นเด็กน้อยชุดเขียว หมุนตัวรอบหนึ่งแล้วร่อนลงมาข้างกายหลิ่วหมิง

หลังจากเข้าสู่ระดับแก่นแท้ ร่างแปลงเด็กน้อยของเฟยเอ๋อร์ก็ดูโตขึ้นอีกเล็กน้อย หน้าผากเกลี้ยงเกลาของเขามีเส้นขีดตั้งสีดำเส้นหนึ่งปรากฏเด่นชัด มองไวๆ คล้ายดวงตาข้างหนึ่งที่ปิดอยู่

“นายท่าน ข้าผนึกแก่นแท้สำเร็จแล้ว!” เฟยเอ๋อร์ร่อนลงมาข้างกายหลิ่วหมิง มือน้อยขาวนุ่มนิ่มดึงชายเสื้อของหลิ่วหมิงแล้วเอ่ยอย่างดีอกดีใจ

“ทำได้ไม่เลว!” หลิ่วหมิงลูบศีรษะเฟยเอ๋อร์เบาๆ พลางเอ่ยชมประโยคหนึ่ง แต่ในหัวมีภาพลำแสงสีขาวที่โผล่มากะทันหันก่อนหน้านี้แวบขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ในใจนึกสงสัยอยู่เงียบๆ

เฟยเอ๋อร์ได้ยินแล้วเบิกบานใจยิ่งนัก

หลิ่วหมิงเลื่อนสายตาไปจับบนเส้นดำบนหน้าผากของเฟยเอ๋อร์ ดวงตาทอประกายวูบหนึ่ง

“เฟยเอ๋อร์ สิ่งนี้บนหน้าผากของเจ้าคืออะไร พลังใหม่หลังจากเข้าสู่ระดับแก่นแท้หรือ”

เฟยเอ๋อร์ได้ยินก็อึ้งไปชั่วครู่ มือน้อยขาวนุ่มนิ่มคลำบนหน้าผาก สีหน้าเผยความมึนงงออกมาเล็กน้อย

“เฟยเอ๋อร์ก็ไม่รู้ เมื่อครู่จู่ๆ เจ็บตรงนี้มากเหมือนจะปริแยก แต่ตอนนี้ไม่มีความรู้สึกแล้ว” หลังจากเฟยเอ๋อร์เข้าสู่ระดับแก่นแท้ สติปัญญาก็สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ถ้อยคำที่เอ่ยออกมาชัดเจนกว่าก่อนหน้านี้มาก

หลิ่วหมิงฟังแล้วพลันขมวดคิ้ว

“ไม่ต้องกังวล อสูรเลี้ยงตัวนี้ของเจ้าพื้นฐานไม่ธรรมดา ลายเส้นบนหน้าผากน่าจะเป็นเค้าลางของพลังเนตรที่ยังไม่รู้บางอย่างที่มันได้มาหลังเลื่อนระดับ” ทันใดนั้นเสียงของหลัวโหวก็ดังขึ้นในจิตของหลิ่วหมิง

“วิชาเนตร?” หลิ่วหมิงเอ่ยอย่างประหลาดใจ

“ใช่แล้ว วิชาเนตรเป็นพลังที่หายากยิ่งอย่างหนึ่ง ต้องบอกว่าโชคของเจ้าไม่เลวจริงๆ อสูรเลี้ยงทั้งสองตัวล้วนมีพลังไม่ธรรมดา ในยุคโบราณมีวิชาเนตรที่ร้ายกาจสืบทอดต่อกันมาไม่น้อย เช่นเนตรสิ้นสลาย เนตรดับสูญเป็นต้น แม้ยังไม่รู้ว่าหัวบินตัวนี้ของเจ้าได้วิชาเนตรใดมา แต่พลังคงไม่น้อย ระดับพลังของหัวบินตัวนี้ของเจ้าไม่เพียงพอจะใช้พลังนี้ ดังนั้นตอนนี้มันจึงอยู่ในสภาวะหลับใหล” หลัวโหวเอ่ยเรียบๆ

หลิ่วหมิงฟังจบ ในใจย่อมยินดียิ่งนัก ทว่าทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยคล้ายนึกบางสิ่งขึ้นมาได้จึงรีบถามอีกครั้ง

“จริงสิ ผู้อาวุโสหลัวโหว ก่อนหน้านี้เนตรยักษ์ดวงนั้นที่อินหลิวผู้นั้นเรียกออกมา ยามนั้นท่านเรียกมันว่า ‘เนตรมารโทสะ’ นี่ก็เป็นพลังวิชาเนตรอย่างหนึ่งเหมือนกันหรือ”

“กล่าวเช่นนี้ก็ไม่ผิด ช่วงสงครามใหญ่ระหว่างมนุษย์กับมารในยุคโบราณ มีมารที่ร้ายกาจตนหนึ่งนามว่ามารโทสะ เขามีพลังวิชาเนตรที่ทรงอำนาจยิ่งนัก ทว่าต่อมามารตนนี้ตายลงในศึกใหญ่ครั้งหนึ่ง เนตรยักษ์ดวงนั้นก็คือดวงตาข้างหนึ่งของเขา อินหลิวผู้นั้นน่าจะใช้วิชาลับบางอย่างเรียกออกมา” หลัวโหวเหมือนจะไม่อยากพูดมาก เสียงจึงเงียบหายไปอย่างรวดเร็ว

หลิ่วหมิงเลิกคิ้ว ขณะที่คิดจะถามไถ่อันใดต่อ เสียงแหวกอากาศก็ดังขึ้นจากไกลๆ ลำแสงเส้นหนึ่งเหาะออกมาจากด้านในหุบเขา

หลิ่วหมิงเปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อย เพ่งจิตสั่งให้เฟยเอ๋อร์กลับเข้าไปในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณ

ทว่าเวลานี้เฟยเอ๋อร์กลับนิ่งงันมองไปทางหนึ่งของหุบเขา เหมือนไม่ได้ยินเสียงกระแสจิตในใจของหลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้พลันขมวดคิ้ว ได้แต่ปล่อยเฟยเอ๋อร์ทิ้งไว้ด้านนอกก่อน

ยามนี้ลำแสงกะพริบวูบเดียวก็หยุดอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิง เมื่อแสงดับลงก็เผยร่างของอินหลิวออกมา

“ผู้อาวุโสลิ่วยิน” หลิ่วหมิงก้าวไปข้างหน้าสองก้าวแล้วคำนับน้อยๆ

“สหายหลิ่ว เจ้าออกมาเร็วนักเชียว ดูจากสภาพของเจ้าน่าจะได้สิ่งที่ต้องการมาบ้างสินะ!” ดวงตาของอินหลิวฉายแววคิดไม่ถึงเล็กน้อย จากนั้นสายตาก็กวาดไปยังหัวบินที่อยู่ด้านข้าง

“เรื่องนี้ต้องขอบคุณผู้อาวุโสที่ชี้แนะ” หลิ่วหมิงเอ่ยอย่างนอบน้อม

“ในเมื่อเจ้ากับข้าล้วนบรรลุเป้าหมายแล้วก็รีบออกจากที่นี่เถิด สุสานราชายมโลกไม่ใช่สถานที่ควรอยู่นาน” อินหลิวฟังจบก็พยักหน้าเอ่ยอย่างเร็วไว

“ทราบแล้ว” หลิ่วหมิงย่อมไม่มีเหตุผลที่จะไม่เห็นด้วย ทว่ายามนี้หัวบินก็ยังนิ่งอึ้งมองไปยังทิศหนึ่งของหุบเขา

“เฟยเอ๋อร์! ไปเถิด รีบออกจากที่นี่กัน” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วพลางส่งกระแสจิตบอก

ร่างกายเฟยเอ๋อร์สะท้านเฮือกคล้ายเพิ่งได้สติ

“เป็นอะไรไป เฟยเอ๋อร์?” หลิ่วหมิงสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อยแล้วส่งกระแสจิตถาม

อินหลิวมองตามสายตาไป สีหน้าก็เปลี่ยนเล็กน้อยตาม

“นายท่าน ข้าเหมือนได้ยินใครบางคนกำลังเรียกข้า เป็นเสียงที่ดังยิ่งนัก บอกให้ข้าไปที่แห่งหนึ่งด้านในหุบเขาตอนนี้” เฟยเอ๋อร์ทำหน้าพิลึกขณะส่งกระแสจิตตอบ

หลิ่วหมิงหมุนตัวมองไปทางสุสานราชายมโลกทันที ในเวลาเดียวกันก็แผ่จิตสัมผัสออกไปจนระยะพันลี้ น่าเสียดายที่สัมผัสสิ่งใดไม่ได้ทั้งสิ้น

“ไปเถิด เฟยเอ๋อร์ สุสานราชายมโลกแห่งนี้แปลกพิสดาร อย่าได้สนใจสิ่งเหล่านั้น” หลิ่วหมิงครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นอย่างเด็ดขาด

แต่ร่างกายของเฟยเอ๋อร์เหมือนตอกตรึงอยู่กับที่ ยังไม่มีทีท่าจะออกไปสักนิด

“ไม่ได้ นายท่าน ข้ารู้สึกว่าไม่อาจต้านเสียงเรียกนี้ได้ เสียงนั้นบอกว่าเขาชื่อเฟยจู่ เมื่อครู่เขาช่วยข้าให้ผ่านด่านเคราะห์อสนีบาต ตอนนี้เขาต้องการให้ข้าไปหา บอกว่าจะช่วยข้าฝึกฝน”

หลิ่วหมิงได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันใด

“พี่หลิ่ว เจ้านี่คืออสูรเลี้ยงของท่านสินะ เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?” อินหลิวดวงตาทอประกายวูบหนึ่งแล้วถามขึ้นมา

“เป็นเช่นนี้…” หลิ่วหมิงครุ่นคิดในใจอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็บอกสถานการณ์ของเฟยเอ๋อร์กับอินหลิว

“ที่แท้เป็นเช่นนี้ เฟยจู่ผู้นี้ ข้ารู้จักอยู่บ้าง หลายหมื่นปีก่อนหน้านี้เขาเป็นจ้าวแห่งทิศหนึ่งในแดนยมโลก พลังระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ เล่ากันว่าแรกเริ่มเขาก็พัฒนามาจากปีศาจหัวบินตัวหนึ่งเหมือนกัน แต่เขาน่าจะละสังขารไปนานแล้วถึงจะถูก” อินหลิวเอ่ยพึมพำเหมือนกำลังคิดถึงบางสิ่ง

“ผู้อาวุโสลิ่วยิน นับตั้งแต่มาถึงสุสานราชายมโลกแห่งนี้ ในใจผู้เยาว์มีข้อสงสัยประการหนึ่งมาตลอด แม้ที่นี่จะชื่อว่าสุสานของราชายมโลก แต่อาจมียอดฝีมือระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์อาศัยอยู่หรือเปล่า?” หลิ่วหมิงเอ่ยขึ้นขณะที่ดวงตาเป็นประกาย

“น่าจะไม่มี ข้าได้ยินเรื่องนี้มาจากอาจารย์ เขาบอกว่าราชายมโลกที่เข้ามาในสุสานราชายมโลกตนล่าสุดคือเมื่อสามหมื่นปีก่อน นับดูตามอายุขัยของยอดฝีมือผู้นั้น เขาน่าจะละสังขารไปแล้ว อย่างไรแม้เป็นยอดฝีมือระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ก็ไม่อาจมีอยู่เป็นอมตะไม่แก่เฒ่าได้” อินหลิวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบออกมาช้าๆ

“ถ้าเช่นนั้นเฟยจู่ผู้นี้จะเรียกอสูรเลี้ยงตัวนี้ของข้าไปได้อย่างไรเล่า?” หลิ่วหมิงสงสัยจริงๆ

“เรื่องนี้ข้าก็ไม่แน่ใจ ไม่ว่าอย่างไร หัวบินตัวนี้ของเจ้ากับเฟยจู่ก็นับว่าเป็นเผ่าเดียวกัน น่าจะไม่ใช่เรื่องร้ายอันใด บางทีอสูรเลี้ยงตัวนี้ของเจ้าอาจจะได้โชคครั้งใหญ่เข้าจริงๆ ก็เป็นได้” อินหลิวเอ่ยอย่างระมัดระวัง

หลิ่วหมิงฟังจบ สีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปมาพักหนึ่ง เงียบงันไปชั่วครู่

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ
Status: Ongoing
เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset