เรือเหาะบินไปด้านหน้าต่ออีกราวหนึ่งชั่วยาม ภูมิประเทศรอบด้านก็ค่อยๆ กลายเป็นที่ราบ คลื่นปราณจิตวิญญาณผิดปกติระลอกแล้วระลอกเล่าแผ่มาถึง ป้อมปราการสีเขียวเข้มที่สร้างขึ้นกลางหุบเขาปรากฏในสายตาของทุกคน
ป้อมปราการหน้าตาโบราณกินพื้นที่ราวหลายพันหมู่ ภายในป้อมปราการก่อสร้างเป็นเมืองขนาดเล็กแห่งหนึ่ง กำแพงน่าจะสร้างมาจากศิลายักษ์ที่แฝงพลังจิตวิญญาณธาตุไม้ชนิดหนึ่ง แม้ผ่านกาลเวลากร่อนเซาะมาไม่รู้เท่าไร แต่ผิวของศิลายักษ์ก็ยังแลดูค่อนข้างมันวาว
รอบป้อมปราการเวลานี้ถูกแมลงน้อยใหญ่นับไม่ถ้วนล้อมอยู่ พวกมันส่งการโจมตีเข้าใส่ป้อมโบราณประหนึ่งน้ำหลาก
ป้อมปราการทั้งหลังถูกเกราะป้องกันสีม่วงครามชั้นหนึ่งล้อมเอาไว้ การโจมตีของแมลงพุ่งเข้าปะทะจนเกิดประกายไฟขึ้นเป็นระยะ
เรือเหาะสีเหลืองหยุดลอยอยู่กลางท้องฟ้า แสงสีเหลืองส่องสว่างวูบหนึ่ง มันก็หดเล็กลงอย่างรวดเร็วแล้วถูกเก็บกลับไปอยู่บนมือของคุนอวี้ พวกหลิ่วหมิงสิบกว่าคนทยอยทะยานร่างลอยอยู่กลางท้องฟ้า
“ป้อมปราการแห่งนั้นด้านหน้าก็คือป้อมปราการตระกูลเยี่ย คิดไม่ถึงว่าแมลงเหล่านี้จะเริ่มโจมตีแล้ว” ใบหน้าของคุนอวี้ไม่ได้แสดงสีหน้าประหลาดใจเท่าใดนัก คล้ายกับล่วงรู้มาก่อนแล้ว เขาเอ่ยพึมพำกับตนเอง แต่ไม่ได้มีทีท่าจะเข้าไปช่วยในทันที
หลิ่วหมิงเหาะเอื่อยเฉื่อยอยู่หน้าขบวนเคียงบ่าเคียงไหล่กับคุนอวี้ เขามองป้อมปราการที่อยู่ไกลๆ แล้วแผ่จิตสัมผัสล้อมบริเวณหลายร้อยลี้
“แมลงที่ล้อมโจมตีป้อมปราการตระกูลเยี่ยอยู่มีจำนวนประมาณสามสี่พันตัว มีแมลงระดับล่างที่ระดับต่ำกว่าระดับผลึกเป็นหลัก แมลงระดับแก่นแท้มีอยู่ห้าตัว” หลิ่วหมิงกวาดจิตสัมผัสจนรอบแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ
“แมลงเหล่านี้ไม่ควรค่าให้กลัว ทำตามแผนการเดิม” คุนอวี้พยักหน้า เห็นชัดว่าเขาใช้จิตสัมผัสสำรวจจนกระจ่างแล้วเช่นเดียวกัน เขามองผู้คนด้านหลังแวบหนึ่ง จากนั้นจึงยกมือขึ้นพร้อมสีหน้าเคร่งขรึม…
ป้อมปราการตระกูลเยี่ยมองจากไกลๆ ดูไม่สะดุดตานัก แต่พื้นที่ด้านในป้อมปราการค่อนข้างกว้าง มีสิ่งก่อสร้างสูงใหญ่ทรงโบราณเรียงรายอยู่หลายร้อยหลัง
ตระกูลเยี่ยในฐานะตระกูลบริวารของนิกายยอดบริสุทธิ์ซึ่งเป็นสี่ยอดนิกายใหญ่ พวกเขาเฝ้ารักษาสายแร่มารุ่นสู่รุ่น เกือบร้อยปีที่ผ่านมาตระกูลขยายขนาดขึ้นไม่หยุด จนวันนี้ไม่ด้อยกว่านิกายขนาดกลางบนแผ่นดินจำนวนหนึ่ง แม้แต่นิกายใหญ่อายุหมื่นปีบางแห่งก็ยังต้องรักษามารยาทกับพวกเขา สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงฐานะของพวกเขาบนแผ่นดินจงเทียน
ทว่ายามนี้ด้านในป้อมปราการตระกูลเยี่ยกลับปรากฏภาพแห่งความโกลาหล บนท้องฟ้าผู้ฝึกฝนตระกูลเยี่ยกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเหาะวุ่นวาย ตะวันออกกลุ่มหนึ่ง ตะวันตกกลุ่มหนึ่ง ในมือถืออาวุธจิตวิญญาณหลากสีส่งลำแสงสายแล้วสายเล่าจมเข้าไปในเกราะแสงสีม่วงครามบนท้องฟ้าเหนือป้อมปราการเพื่อเสริมค่ายกลป้องกันของป้อม
นอกเกราะแสงสีม่วงคราม แมลงอัปลักษณ์นับไม่ถ้วนกำลังส่งเสียงคำราม ของเหลวเหนียวข้นสีเขียวส่งกลิ่นเหม็นเน่ากับลำแสงหลากสีบินว่อนเต็มท้องฟ้าพุ่งโจมตีม่านแสงสีม่วงครามไม่หยุด
เหนือท้องฟ้าป้อมปราการตระกูลเยี่ย บุรุษวัยกลางคนสวมอาภรณ์หรูหราสีเขียวผู้หนึ่งยืนอยู่กลางอากาศ รอบด้านมีผู้คุ้มกันสวมเกราะสีเขียวยืนอยู่ห้าคน
ร่างของบุรุษวัยกลางคนแผ่แรงกดดันจิตวิญญาณอันหนักอึ้งออกมา เห็นชัดว่าเขาเป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ผู้หนึ่ง มือขวาของเขาถือธงผืนใหญ่ที่เปล่งแสงอสนีบาตสีม่วงครามผืนหนึ่ง ขณะที่ดวงตาเฝ้ามองการเคลื่อนไหวของฝูงแมลงนอกค่ายกลขนาดใหญ่อยู่ตลอดเวลา ในเวลาเดียวกันก็โบกธงใหญ่ในมือเป็นระยะ จุดที่ธงผืนใหญ่ชี้ไป ม่านแสงสีม่วงครามฉับพลันมีเพลิงสายฟ้าสีม่วงครามเส้นหนาสายหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน หลังจากเสียงระเบิดดังกึกก้องดังขึ้น แมลงระดับล่างสิบกว่าตัวจนถึงหลายสิบตัวก็ถูกย่างจนไหม้เกรียม
ทว่าแมลงที่ล้อมโจมตีป้อมปราการอยู่มีหลายพันตัว ความเสียหายระดับนี้เทียบเท่ากับขนวัวเส้นหนึ่งเท่านั้น
แม้ผู้ฝึกฝนตระกูลเยี่ยจะทุ่มกำลังทั้งหมดรักษาค่ายกล แต่เมื่อถูกแมลงนับไม่ถ้วนโจมตี ม่านแสงที่ล้อมอยู่นอกป้อมปราการโบราณก็เริ่มหม่นแสงลงอย่างช้าๆ
“หัวหน้าตระกูล ค่ายกลเพลิงอสนีบาตหม่อนครามใกล้จะทานไม่ไหวเต็มทีแล้ว” ในตอนนี้เอง ผู้เฒ่าชุดเทาผู้หนึ่งก็เหาะมาจากไกลๆ ก่อนจะหยุดตรงหน้าบุรุษวัยกลางคนชุดสีเขียวแล้วเอ่ยอย่างร้อนรนเล็กน้อย
บุรุษวัยกลางคนชุดเขียวมองผู้เฒ่าชุดเทาแวบหนึ่ง จากนั้นจึงขมวดคิ้ว ธงผืนใหญ่ที่โบกอยู่ในมือหยุดชะงัก
เขาอยู่ที่ดวงตาค่ายกลของมหาค่ายกลพิทักษ์เมือง สภาพของมหาค่ายกลที่อยู่นอกป้อมปราการ ในใจเขารู้ชัดกว่าใคร
สองวันก่อนแมลงที่ยึดครองพื้นที่รอบเทือกเขาหม่อนเขียวจู่ๆ ก็ปรี่เข้ามาโจมตีป้อมปราการของตระกูลเยี่ย โชคดีที่ตั้งแต่ตระกูลเยี่ยพบว่าแมลงกลุ่มนี้ปรากฏตัวก็เรียกคนทั้งหมดเข้ามาอยู่ในป้อม เฝ้าระวังทั้งวันทั้งคืนอยู่แล้ว พวกเขาจึงเรียกมหาค่ายกลเพลิงอสนีบาตหม่อนเขียวออกมาได้ตั้งแต่นาทีแรก แล้วอาศัยมหาค่ายกลนี้ฝืนต้านการโจมตีของเหล่าแมลงไว้ได้
ทว่ามาจนถึงตอนนี้เวลานี้ มหาค่ายกลถูกโจมตีไม่หยุดหย่อน ในที่สุดก็ใกล้จะทานไม่ไหวแล้ว
“หัวหน้าตระกูล หากไม่ไหวจริงๆ พวกเราคงต้องถอยหนีก่อน!” ผู้เฒ่าชุดเทาเอ่ยเสียงขรึม
“เหล่าอู่ ป้อมปราการแห่งนี้พวกเราตระกูลเยี่ยใช้เวลาหลายพันปีทุ่มเทกายใจสร้างขึ้นมา จะปล่อยให้พังทลายเช่นนี้ในยุคของข้าหรือ?” บุรุษวัยกลางคนชุดเขียวเอ่ยสีหน้าถมึงทึง มือขวาที่กำธงใหญ่สั่นระริก
“ป้อมปราการวันหน้ายังสร้างใหม่ได้ สิ่งสำคัญอันดับแรกคือต้องปกป้องชีวิตคนของตระกูลเราไว้ ขุนเขายังอยู่ย่อมไม่กลัวไร้ฟืนเผา” ผู้เฒ่าชุดเทากวาดสายตามองรอบด้านแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนใจ
“เหล่าอู่ นิกายยอดบริสุทธิ์ฝากฝังให้พวกเราเฝ้าพิทักษ์สายแร่แห่งนี้ หากเสียที่นี่ไป ทำให้นิกายยอดบริสุทธิ์มีโทสะ หลังจากนี้พวกเราจะมีที่ยืนบนแผ่นดินจงเทียนได้อย่างไร นอกจากนี้ตระกูลใกล้เทือกเขาหม่อนเขียวแห่งนี้ไม่ได้มีเพียงตระกูลเยี่ยของพวกเราตระกูลเดียว ตระกูลอื่นจ้องตำแหน่งของพวกเราตาเป็นมันมาเนิ่นนาน หากหนีไปโดยไม่สู้ ถึงเวลานิกายยอดบริสุทธิ์จะต้องสนับสนุนตระกูลอื่นให้มาคุมสายแร่ที่นี่เป็นแน่…” บุรุษวัยกลางคนชุดเขียวเอ่ยอย่างหม่นหมอง
ผู้เฒ่าชุดเทาฟังแล้วพลันบื้อใบ้ไร้คำพูด
บุรุษวัยกลางคนชุดเขียวสีหน้าแปรเปลี่ยนไปมาอยู่สักพัก ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงกัดฟันเอ่ยสั่ง
“เหล่าอู่ รวบรวมผู้เฒ่าผู้แก่ สตรีเด็กน้อยกับศิษย์ฝีมือเยี่ยมรุ่นเยาว์ในป้อมปราการไปอยู่ทีป้อมลับ พวกเราจะยืนหยัดต้านไว้อีกสักพัก หากไม่ไหวจริงๆ จงให้พวกเขาหนีออกไปทางป้อมลับ ส่วนพวกเราจะยืนหยัดปกป้องจวบจนนาทีสุดท้าย เช่นนี้แม้จะปกป้องล้มเหลว แต่นิกายยอดบริสุทธิ์ย่อมสืบสาวเอาความไม่ได้”
“ทราบแล้ว” ผู้เฒ่าชุดเทาขานรับ จากนั้นจึงเหาะลงไปเบื้องล่าง
“ถ่ายทอดคำสั่ง เปิดหอเพลิงอสนีบาตทั้งสี่ในป้อมปราการ ใส่ผลึกกำเนิดสายฟ้าทั้งหมดเข้าไป ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องต้านให้ได้อีกครึ่งวัน” บุรุษวัยกลางคนชุดเขียวเอ่ยเสียงเข้มกับผู้คุ้มกันเกราะสีเขียวข้างกายหลายคนนั้น
คนเหล่านี้ขานรับคำเดียวก็หมุนตัวเหาะแยกย้ายไปสี่ทิศ
สายตาของบุรุษวัยกลางคนชุดเขียวกวาดไปรอบด้านรอบหนึ่ง แล้วอ้าปากพ่นปราณบริสุทธิ์สายหนึ่งออกมาตกต้องธงผืนใหญ่ในมือ
ธงสีม่วงฉับพลันปล่อยสายฟ้าสีม่วงครามแสบตาออกมาเส้นแล้วเส้นเล่า ทันทีที่โบกสะบัด ธงผืนใหญ่พลันมีอสรพิษสายฟ้าสีม่วงหนาหลายตัวเหาะออกมาจากปลายธงอย่างรวดเร็ว พวกมันพุ่งวูบเดียวผสานเข้าไปในม่านแสงสีม่วงคราม
ม่านแสงที่หม่นหมองสว่างไสวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด บนผิวปรากฏเส้นเพลิงอสนีบาตสายแล้วสายเล่าเรียงรายแน่นขนัด
“เปรี้ยง!” เสียงดังสนั่น
แมลงระดับล่างที่เข้าใกล้ม่านแสงถูกสายฟ้าโจมตี แมลงที่ไม่ทันผละถอยจำนวนไม่น้อยถูกเพลิงอสนีบาตกลืนเข้าไปด้านในอย่างฉับพลัน แมลงส่วนที่เหลือเห็นเช่นนี้จึงทยอยส่งเสียงกรีดร้องแล้วเหาะออกห่างจากม่านแสง หยุดโจมตีชั่วคราว
ม่านแสงสีม่วงครามที่เดิมทีกะพริบวูบไหวเมื่อได้โอกาสพักหายใจครั้งนี้จึงมั่นคงขึ้นชั่วคราว
“กี๊ซ!”
ในตอนนี้เองกลางฝูงแมลงก็เกิดความปั่นป่วน จู่ๆ ด้านหลังของฝูงแมลงก็มีแมลงสีเขียวหน้าตาคล้ายด้วงหนวดยาวขนาดยักษ์ ลำตัวยาวถึงสิบกว่าจั้งตัวหนึ่งปรากฏตัวขึ้น มันมีใบหน้ามนุษย์อัปลักษณ์ดวงหนึ่งติดอยู่ ร่างกายแผ่แรงกดดันจิตวิญญาณที่ไม่ด้อยกว่าผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ออกมา ปากร้องคำรามเสียงทุ้มต่ำ
แมลงรอบด้านได้ยินเสียงคำรามต่างกรีดร้องรับทันที จากนั้นเริ่มพุ่งเข้าใส่ม่านแสงสีม่วงครามที่ปกป้องป้อมปราการประหนึ่งไม่เสียดายชีวิต
ดวงตามโหฬารของแมลงเปลือกสีเขียวมองไปทางป้อมปราการตระกูลเยี่ยด้านในม่านแสง ดวงตาทอประกายเย็นเยียบ หนวดสีขาวสลับเขียวทั้งคู่บนหัวฉับพลันตั้งตรง ลำแสงสีเขียวแสบตาสองดวงก่อตัวขึ้น กำลังจะยิงเข้าใส่ม่านแสง
ในตอนนี้เองอากาศด้านหลังมันพลันสั่นไหว เงาคนที่มีปราณสีดำวนเวียนร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นดุจภูตพราย กำปั้นสีดำข้างหนึ่งเลือนหายจากนั้นโจมตีลงบนหลังของด้วงหนวดยาวสีเขียวด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ
“เปรี๊ยะ!”
เปลือกที่แลดูทนทานอย่างยิ่งของด้วงหนวดยาวสีเขียวกลับกลายเป็นเหมือนกระดาษเมื่ออยู่ต่อหน้ากำปั้นสีดำข้างนี้ ถูกต่อยครั้งเดียวยุบลงไปทันที
ไม่ปล่อยให้มันตั้งตัว เงาหมัดขนาดเท่าโม่นับไม่ถ้วนร่วงลงมารวดเร็วดุจสายฝน!
ร่างกายมหึมาของด้วงหนวดยาวสีเขียวถูกพลังมหาศาลโจมตีจนหล่นจากท้องฟ้าลงมากระแทกพื้นดินอย่างแรง ร่างแมลงถูกโจมตีจนเป็นรูขนาดเท่าโม่ ของเหลวสีเขียวไหลเจิ่งนอง
ด้วงหนวดยาวสีเขียวพ่นโลหิตสีเขียวออกมาจากปาก ชั่วครู่ชั่วยามลุกไม่ขึ้นแล้ว
ในตอนนี้เองเงาวัวสีน้ำเงินตัวหนึ่งพลันพุ่งเร็วรี่ลงมาจากเงาร่างเลือนรางกลางท้องฟ้า มันอ้าปากกว้างขย้ำลงมาพร้อมแสงเรืองรองสีน้ำเงิน กร๊อบ กัดคำเดียวกินหัวครึ่งหนึ่งของด้วงหนวดยาวสีเขียวเข้าไป
ด้วงหนวดยาวสีเขียวดิ้นรนอยู่สองสามครั้งก็แน่นิ่ง
ตั้งแต่เงาคนปรากฏตัวจนกระทั่งด้วงหนวดยาวสีเขียวระดับแก่นแท้ถูกสังหาร ตั้งแต่ต้นจนจบเป็นเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ
จนถึงตอนนี้แมลงระดับล่างรอบด้านเพิ่งตั้งตัวได้ พวกมันกรีดร้องเสียงดังทันที แมลงไม่น้อยโถมเข้าใส่เงาคนเลือนรางกลางท้องฟ้าในทันใด
เงาคนแค่นเสียงหยันแล้วสะบัดมือ แสงกระบี่สีม่วงสายหนึ่งบินออกมา มันพร่าเลือนหายไปจากนั้นกลายเป็นแสงกระบี่สีม่วงขนาดยักษ์หลายสิบสาย บินวนรอบร่างของเขา
แมลงหลายร้อยตัวถูกแสงกระบี่สีม่วงกวาดเข้าไป ร่างกายถูกสะบั้นกลายเป็นท่อนๆ ร่างแมลงขาดด้วนนับไม่ถ้วนโปรยปรายจากท้องฟ้าสู่เบื้องล่างประหนึ่งสายฝน
ในม่านแสงเพลิงอสนีบาต ผู้ฝึกฝนตระกูลเยี่ยรวมถึงหัวหน้าตระกูลที่เห็นภาพนี้ต่างอ้าปากค้างทันที ใบหน้าเผยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
บึ๊ม! พร้อมกับที่เงาคนเลือนรางปรากฏตัว เงาคนอีกสิบกว่าคนก็พลันปรากฏตัวตามตำแหน่งต่างๆ นอกมหาค่ายกลเพลิงอสนีบาตด้วย
ร่างของคนเหล่านี้ส่งการโจมตีอันรุนแรงสายแล้วสายเล่าร่วงลงกลางฝูงแมลง เกิดระเบิดเป็นบุปผาโลหิตนับไม่ถ้วน กองทัพแมลงสับสนวุ่นวายในทันใด พวกมันพากันเลิกโจมตีเกราะป้องกันสีม่วงครามด้านล่างแล้วหันมาโถมเข้าใส่คนเหล่านี้
หลายคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดแผ่แรงกดดันจิตวิญญาณมหาศาลของระดับแก่นแท้ออกมาจากร่างกาย การโจมตีแต่ละสายที่ส่งออกมาเหมือนไม่ใส่ใจ แต่ล้วนสังหารแมลงระดับล่างได้อย่างน้อยสิบกว่าตัวขึ้นไป
เมื่อมีคนเหล่านี้นำหน้า ผู้ฝึกฝนสิบกว่าคนที่ปรากฏตัวออกมาก็ลุยเข้าไปในฝูงแมลง นอกจากแมลงจำนวนน้อยที่ระดับสูงกว่าระดับผลึกขั้นปลาย แมลงระดับล่างแทบจะไม่มีโอกาสได้รวมตัวกัน
บุกไปถึงที่ใด เหล่าแมลงที่นั่นต่างแตกพ่ายไม่เป็นกระบวน