“ไป๋ผาน?” หลิ่วหมิงจ้องมองชายชราที่ไม่แสดงความผิดปกติใดๆ จากนั้นก็พยักหน้าแล้วเดินเข้าข้างในโดยไม่กล่าวอะไรออกมา
ด้วยสายตาของเขา เขามองออกว่าขายชราตรงหน้าเป็นผู้ฝึกปราณที่มีพลังไม่น้อย แต่ทำไมเขาจะต้องใส่ใจด้วยล่ะ
ไป๋ผานรีบเดินนำไป และกล่าวออกมาอย่างนอบน้อม
“ตอนนี้นายท่านกับคุณหนูไปคุยธุระนอกเมือง แต่ข้าให้คนขี่ม้าเร็วไปแจ้งข่าวเรื่องนายน้อยกลับจวนแล้ว เชื่อว่านายท่านกับคุณหนูคงกลับถึงจวนในวันพรุ่งนี้ ตอนนี้ข้าจะเตรียมเรือนเก่าของนายน้อยให้ก่อน”
“ไม่อยู่ในจวน! ตอนนี้ใครเป็นคนดูแลจวนไป๋กันแน่” หลิ่วหมิงถามไปหนึ่งประโยค
“เรียนนายน้อย ตอนนี้รองนายท่านเป็นคนดูแลจวนอยู่ ส่วนนายท่านสามเก็บตัวฝึกฝนมาหลายวันแล้ว” ไป๋ผานตอบตามตรง
“อืม! ข้าไม่สนว่าตอนนี้ใครจะเป็นคนดูแลจวน ข้าหวังว่าพรุ่งนี้จะได้เจอนายท่านที่แท้จริง มิเช่นนั้น…ฮึ! ดูจากท่าทีของเจ้าคงรู้สถานะที่แท้จริงของข้าแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าจะไม่พูดอะไรมาก” หลิ่วหมิงกวาดสายตามองชายชราอย่างเยือกเย็น จากนั้นก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด
“นายน้อยล้อข้าน้อยเล่นแล้ว ข้าน้อยจะไปรู้เรื่องอะไรได้อย่างไร แต่นายน้อยวางใจเถอะ! เชื่อว่าพรุ่งนี้นายท่านกับคุณหนูจะต้องมาพบนายน้อยชงเทียนด้วยตัวเองอย่างแน่นอน” ชายชราได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป แต่ก็รีบตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
หลิ่วหมิงทำหน้านิ่งไร้ความรู้สึกแล้วก็ไม่กล่าวอะไรออกมา เขาเดินตามชายชราไปทางทิศตะวันออก และหลังจากที่เลี้ยวไปเลี้ยวมา ไม่นานก็มาถึงลานที่พักที่เงียบงัดเป็นพิเศษแห่งหนึ่ง
ด้านหน้าเรือนนี้มีสาวใช้ใบหน้าสวยงามสองคนยืนอยู่ พวกนางสวมชุดสีเหลืองและสีแดง อายุราวๆ สิบห้าถึงสิบหกปี พอพวกนางเห็นชายชราเข้ามาก็รีบแสดงความเคารพและกล่าวขึ้นพร้อมกัน
“คารวะพ่อบ้านใหญ่!”
“เหมยจู เหมยหลาน รีบมาพบนายน้อยชงเทียนเร็วเข้า”
ต่อไปพวกเจ้าทั้งสองต้องรับผิดชอบดูแลเสื้อผ้า อาหาร ที่พัก และการเดินทางของนายน้อย ถ้าหากดูแลไม่ดีจะถูกลงโทษตามกฎของจวน! นายน้อยชงเทียนท่านพอใจกับนางทั้งสองหรือไม่? ถ้าหากไม่เข้าตาท่านล่ะก็ ข้าจะเปลี่ยนให้ทันที แล้วหาคนใหม่มารับใช้ท่าน” ไป๋ผานให้ทั้งสองลุกขึ้นมาก่อน จากนั้นก็กล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม
“เอาพวกนางนั่นแหละ!” หลิ่วหมิงกวาดตามองหญิงสาวตรงหน้าแล้วกล่าวออกมา
“ทราบ! ถ้าอย่างนั้นนายน้อยท่านพักผ่อนก่อนเถอะ ข้าน้อยขอลา ถ้าต้องการอะไรล่ะก็สั่งพวกนางทั้งสองได้เลย” ไป๋ผานกล่าวอย่างนอบน้อม
หลิ่วหมิงพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปในเรือนอย่างไม่เกรงใจ เหมยจู เหมยหลาน ก็รีบเดินตามเข้าไป
เมื่อไป๋ผานเห็นประตูเรือนปิดแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าเขาก็ค่อยๆ หายไป เขายืนขมวดคิ้วงงงันอยู่ที่เดิมซักพักถึงได้หมุนตัวจากไป
และพอเขาเดินไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ ก็พลันมีเงาร่างชายวัยกลางคนที่ดูฉลาดเฉียบแหลมเคลื่อนตัวออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ข้างทางเดินเล็กๆ เขาเดินไม่กี่ก้าวก็มาถึงด้านหน้าของชายชราแล้วกล่าวอย่างนอบน้อม
“พ่อบ้านใหญ่ ข้าเตรียมคนไว้พร้อมแล้ว เพียงแค่คนผู้นี้ออกจากเรือน พวกเราก็รู้ได้ในทันที”
“คนผู้นี้อะไรกัน ต้องเรียกนายน้อยชงเทียน ตราบใดที่นานท่านและคุณหนูใหญ่ยังไม่เปลี่ยนคำพูด เขาก็ยังเป็นนายน้อยที่แท้จริงของจวนไป๋อย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากนี้ให้คนของเจ้าถอยออกไปให้หมด เจ้าคิดว่านายน้อยชงเทียนเป็นคนระดับไหน? คนธรรมดาเหล่านี้ไม่สามารถหลุดพ้นสายตาเขาไปได้ ถึงแม้เจ้าจะเป็นพ่อบ้านและโชคดีรู้เรื่องนี้เข้า แต่ไม่อาจตัดสินใจทำอะไรโดยพลการได้” ไป๋ผานจ้องมองชายวัยกลางคนครู่หนึ่งแล้วกล่าวอย่างเยือกเย็น
“ทราบ! ข้าจะให้คนเหล่านี้ถอนตัวกลับไปให้หมด” ชายวัยกลางคนได้ยินก็สะดุ้งโหยง จากนั้นก็รีบโค้งตัวกล่าวตอบรับ
ชายชรากล่าวกำชับอีกสองประโยคแล้วก็เอามือไขว้หลังเดินจากไป
ชายวัยกลางคนลุกขึ้นมา และมองตามหลังชายชราด้วยความเกลียดชัง จากนั้นก็ทำเสียงฮึดฮัดก่อนที่จะเดินไปเส้นทางเล็กๆ อีกทาง
ผ่านไปไม่นานชายชราก็เดินผ่านลานบ้านสองสามแห่ง และแนวป้องกันสองสามชั้นก่อนที่จะมาถึงห้องที่ดูธรรมดาๆ และเคาะประตูเบาๆ
“ไป๋ผานหรือ เข้ามาเถอะ!” เสียงผู้ชายดังออกมาจากในห้อง
“ใช่แล้วนายท่าน” ชายชราตอบรับแล้วก็ค่อยๆ ผลักประตูเดินเข้าไป
กลางห้องโถงที่ไม่ค่อยใหญ่มากนัก มีชายสองคนกับหญิงหนึ่งคนรออยู่ที่นั่นนานแล้ว
ชายทั้งสองมีใบหน้าค่อนข้างคล้ายกันมาก แต่คนหนึ่งดูเป็นหนอนหนังสือ อายุประมาณห้าสิบกว่าปี อีกคนหนึ่งอายุสี่สิบกว่าๆ รูปร่างกำยำล่ำสัน สะพายดาบยาวสามฉื่ออยู่ที่เอว
ผู้หญิงกลับเป็นหญิงชราที่อายุหกสิบกว่าๆ มีรอยเหี่ยวย่นเต็มใบหน้า แต่มือค้ำยันไม้เท้าทองสัมฤทธิ์อยู่ แลดูมีกำลังวังชาและกระฉับกระเฉง
“ข้าน้อยคารวะผู้อาวุโส นายท่าน รองนายท่าน!” ไป๋ผานก้าวไปข้างหน้าแล้วคารวะทั้งสาม
“พ่อบ้านไป๋ เจ้าไม่ใช่คนนอก มาถึงเวลานี้แล้วยังต้องมากพิธีอยู่อีก จัดการที่พักให้คนผู้นั้นเรียบร้อยหรือยัง เขาได้พูดอะไรกับเจ้าหรือไม่” ชายที่ดูเป็นหนอนหนังสือโบกมือแล้วถามออกมาอย่างเร่งรีบ
“เรียนนายท่าน ข้าจัดการให้คนผู้นี้ไปอยู่ที่เรือนเก่าของนายน้อยชงเทียน และยังให้เหมยจู เหมยหลานไปรับใช้แล้ว ส่วนเขาพูดอะไรบ้างนั้นหรือ นอกจากจะพูดว่าพรุ่งนี้จะต้องพบนายท่านกับคุณหนูใหญ่ให้ได้แล้วก็ไม่พูดอย่างอื่นอีก” ไป๋ผานกล่าวอย่างนอบน้อม
ประจักษ์ชัดว่าชายที่ดูเป็นหนอนหนังสือผู้นั้นคือ ‘ไป๋ซิงหลิว’ ผู้ที่เป็นนายท่านของจวนตระกูลไป๋นั่นเอง
“พูดแค่นี้เองเหรอ ได้พูดถึงเรื่องการแต่งงานกับตระกูลมู่ไหม?” ชายรูปร่างกำยำล่ำสันกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“เรียนรองนายท่าน ไม่ได้พูดถึงเลย” ชายชราตอบโดยไม่ต้องคิด
ชายรูปร่างกำยำล่ำสันคือรองนายท่านของตระกูลไป๋นั่นเอง
“เขามีท่ามีอย่างไรบ้าง มีอะไรที่ดูผิดปกติหรือไม่?” หญิงชราถาม
“เรียนผู้อาวุโส คนผู้นี้มีท่าทีนิ่งสงบ ข้าน้อยเดาความคิดของเขาไปออกเลยแม้แต่น้อย” ไป๋ผานฝืนยิ้มกล่าวออกมา
“อย่างนี้ก็หมายความว่าคนผู้นี้อายุยังน้อยแต่มีความคิดล้ำลึกมาก ดูท่าจะไม่สามารถตบตาเขาได้ง่ายๆ” ชายที่ดูเป็นหนอนหนังสือได้ยินก็คิ้วขมวดขึ้นมา
“คนผู้นี้สามารถใช้ชื่อของตระกูลไป๋เราเข้าไปนิกายปีศาจ และยังกลายเป็นศิษย์ของนิกายได้ ทั้งยังได้เป็นหนึ่งในสิบศิษย์แกนนำจากการประลองใหญ่ เขาจะต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน ไม่รู้ว่าเงื่อนไงที่เราเคยพูดคุยกันในก่อนหน้านั้นจะยังโน้มน้าวใจคนผู้นี้ได้หรือเปล่า” ชายรูปร่างกำยำล่ำสันถอนหายใจเบาๆ ก่อนกล่าวออกมา
“ถ้าไม่สามารถโน้มน้าวได้ ก็เพิ่มผลประโยชน์ให้เขาอีกสักหน่อย ตระกูลไป๋เรารอมานานถึงขนาดนี้ มันไม่ง่ายเลยที่จะคว้าโอกาสอันดีตรงหน้านี้ได้ ข้าจะไม่ยอมให้ตระกูลเราตกไปอยู่ในสถานะเดิมเด็ดขาด” หญิงชรากล่าวด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด
“ท่านแม่ คนผู้นี้เป็นศิษย์จิตวิญญาณเราไม่อาจดูแคลนตำแหน่งในนิกายของเขาได้ ภายใต้การกดดันนี้ เกรงว่าผู้ฝึกปราณอย่างพวกเราไม่อาจเจรจากับเขาได้โดยตรง ดังนั้นลูกจึงเลือกที่จะยังไม่พบกับเขา และได้ส่งคนไปแจ้งเรื่องให้กับเยียนเอ๋อร์แล้ว ถึงแม้เยียนเอ๋อร์จะเป็นศิษย์ธรรมดาของนิกายจันทราสวรรค์ แต่อิทธิพลของนิกายจันทราสวรรค์นั้นไม่ใช่เรื่องที่นิกายปีศาจจะเทียบได้ ถ้ามีเยียนเอ๋อร์อยู่ด้วย พวกเราถึงจะเจรจากับคนผู้นี้ได้ง่ายขึ้น” ไป๋ซิงหลิวกล่าว
“เยียนเอ๋อร์ไปรับคนแล้วสินะ! เป็นแค่ผู้ส่งสาส์นจากตระกูลมู่เท่านั้นใยต้องให้เยียนเอ๋อร์ไปรับเองด้วย” รองนายท่านตระกูลไป๋กล่าวอย่างไม่พอใจ
“เจ้ารอง เจ้าไม่รู้อะไร ผู้ส่งสาส์นตระกูลมู่ในครั้งนี้ไม่ใช่ผู้ฝึกปราณทั่วไป ได้ยินมาว่าเขาเป็นศิษย์จิตวิญญาณของหุบเขาเก้าช่อง ตระกูลไป๋ของพวกเราไม่อาจเมินเฉยได้จึงต้องให้เยียนเอ๋อร์ออกไปรับด้วยตนเอง” หญิงชราปราดตามองชายรูปร่างกำยำล่ำสันอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ แต่ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กเยียนเอ๋อร์จะกลับมาทันพรุ่งนี้ไหม!” รองนายท่านตระกูลไป๋รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา
“วางใจเถอะ! เมื่อวานข้าได้รับข่าวว่าเยียนเอ๋อร์กำลังพาผู้ส่งสาส์นเที่ยวชมทัศนียภาพตรงปากทางข้ามฟากเฟยเฮ่อที่อยู่นอกเมือง ขอเพียงนางได้รับข่าวจากเรา เชื่อว่านางจะต้องรีบกลับมาโดยเร็ว” ไป๋ซิงหลิวกล่าวอย่างมั่นใจ
“อย่างนี้ก็ดีสิ! แต่พอถึงเวลานั้นผู้ส่งสาส์นจากตระกูลมู่ก็ต้องตามเยียนเอ๋อร์มาที่นี่ด้วยไม่ใช่หรือ ถ้าหากได้พบกับเจ้าเด็กนั่น คงไม่เกิดปัญหาอะไรขึ้นหรอกนะ!” ชายรูปร่างกำยำล่ำสันกล่าวด้วยท่าทีงุนงง
“วางใจเถอะ! ถึงแม้พวกเราจะคาดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะมาตระกูลไป๋เร็วขนาดนี้ แต่การที่จะถ่วงเวลาผู้ส่งสาสน์ตระกูลมู่สักวันสองวัน ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร อีกอย่างการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างตระกูลไป๋กับตระกูลมู่ก็เป็นเรื่องที่ได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย มิเช่นนั้นตระกูลมู่คงไม่ให้ศิษย์จิตวิญญาณมาส่งสาส์นหรอก ต่อให้ไม่มีเรื่องการแต่งงานกัน แต่ไมตรีนี้ก็ไม่อาจตัดขาดได้โดยง่าย สิ่งที่สำคัญในตอนนี้ก็คือ ตระกูลไป๋เราอาศัยแค่ศิษย์จิตวิญญาณอย่างเยียนเอ๋อร์เพียงคนเดียว มันไม่เพียงพอต่อการควบคุมอิทธิพลของของตระกูลไป๋ในตอนนี้ ดังนั้นไม่ว่าจะใช้วิธีการใดก็ตาม พวกเราจะต้องอาศัยชื่อเสียงหนึ่งในสิบศิษย์แกนนำของนิกายปีศาจมารักษากิจการพื้นฐานของเราไว้ให้ได้” หญิงชรากล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“อย่างนี้ก็กล่าวได้ว่า ตระกูลไป๋เราจะเจริญรุ่งเรืองหรือตกต่ำก็ขึ้นอยู่กับผลการเจรจากับเจ้าเด็กนั่นในวันพรุ่งนี้สินะ!” รองนายท่านตระกูลไป๋ยิ้มขมขื่นออกมาอย่างอดไม่ได้
“มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ถ้าผู้ที่กลายเป็นหนึ่งในสิบศิษย์แกนนำนิกายปีศาจผู้นั้นเป็นชงเทียนตัวจริงล่ะก็ มันคงจะดีมากเลย อย่างน้อยก็สามารถปกป้องตระกูลไป๋เราให้เจริญรุ่งเรืองไปอีกนาน” หญิงชราค่อยๆ กล่าวออกมาด้วยสีหน้าที่เสียดายอย่างสุดขีด
“ฮึ! ท่านแม่ไม่ต้องพูดถึงไอ้คนไม่เอาไหนพรรค์นั้น เป็นถึงผู้ฝึกปราณแต่กลับตายในน้ำมือโจรกระจอก ต่อให้เขาไปเข้าร่วมพิธีเปิดจิตวิญญาณจริงๆ ก็ไม่สามารถมีชีวิตรอดไปได้” ไป๋ซิงหลิวกลับกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด
“แต่ถ้าจะให้เจ้าเด็กนั่นมาเป็นคนของตระกูลเราไป๋เราจริงๆ ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้” รองนายท่านตระกูลไป๋ลูบคางไปมาก่อนที่จะกล่าว
“เอ๋! ความหมายของน้องรองคือ…” ไป๋ซิงหลิวได้ยินก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย
“ก่อนหน้านั้นตระกูลไป๋เราอาศัยสถานะศิษย์จิตวิญญาณของเยียนเอ๋อร์มาประคับประคองตระกูลไว้ได้ พวกเราจึงไม่ยอมให้นางแต่งงานง่ายๆ แต่อายุของนางในตอนนี้ก็สมควรจะแต่งงานได้แล้ว” รองนายท่านตระกูลไป๋พลันกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“อะไรนะ! น้องรองคิดที่จะใช้เยียนเอ๋อร์ผูกมัดเจ้าเด็กนี้ไว้ ทำแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด!” ไป๋ซิงหลิวได้ยินก็ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
……………………………………….