ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 202 บุกพระราชวังในยามค่ำคืน

ตอนที่ 202 บุกพระราชวังในยามค่ำคืน

หลิ่วหมิงไต่ตรองเรื่องราวระหว่างพรรควิญญาณมืดกับจวนอ๋องสามแล้ว ก็ต้องร้องปวดหัวออกมา

ตามที่หูชุนเหนียงกล่าวไว้ อ๋องสามผู้นี้อาจจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของพรรควิญญาณมืด แม้กระทั่งจวนอ๋องสาม ก็อาจจะเป็นซ่องของพรรควิญญาณมืดก็เป็นได้

เดิมทีเขาคิดแฝงตัวเข้าไปในนั้นเพื่อหาความลับบางอย่าง แต่คงต้องละความคิดนี้ไปก่อน

แม้ว่าพลังของเขา ไม่ใช่สิ่งที่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นสมบูรณ์แบบทั่วไปสามารถเทียบได้ แต่เขาก็ไม่อยากตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกคนจับได้ และถูกทูตวิญญาณมืดสิบกว่าคนล้อมโจมตี

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่รีบร้อนเข้าจวนอ๋องสามแล้ว แต่จะตรวจสอบการหายตัวของศิษย์ตรวจตราคนก่อน ว่าเป็นการลงมือของพรรควิญญาณมืดจริงหรือไม่

เพียงแค่เขาหาหลักฐานได้ และรอกำลังสนับสนุนของนิกายมาถึง ก็สามารถใช้พลังมหาศาลกวาดล้างพรรควิญญาณมืดให้หมดไปได้

พอถึงเวลานั้น เมื่อไม่มีพรรควิญญาณมืดชักใยอยู่เบื้องหลัง เขาก็สามารถเข้าไปในจวนอ๋องสามได้โดยง่าย

แม้หลิ่วหมิงจะมีแผนแยบยลอยู่ในใจนานแล้ว แต่ก็ยังคิดไตร่ตรองอย่างละเอียดอีกรอบ พอเห็นว่าแผนนี้ไม่มีปัญหาอะไร ถึงได้ถอนหายใจออกมา และเก็บเรื่องไว้ทีหลัง

เวลาต่อมา เขาพลิกมือข้างหนึ่งขึ้น และคัมภีร์โบราณบางๆ สีขาวก็พลันปรากฏขึ้นในมือ บนปกหนังมีอักขระคำว่า ‘สิบสามเคล็ดวิชาหุ่น” ประทับอยู่

สิ่งนี้เป็นเคล็ดวิชาพื้นฐานของการควบคุมหุ่น ที่เขาซื้อมาจากตลาดใต้ดินเมื่อหลายวันก่อน

ถึงแม้จะเป็นผู้ที่ไม่เคยฝึกฝนวิชาควบคุมหุ่นมาก่อน แต่หลังจากที่อ่านคัมภีร์นี้แล้ว ก็สามารถควบคุมหุ่นอย่างง่ายๆ ได้

แน่นอนว่าวิธีการควบคุมเช่นนี้ ไม่อาจเทียบกับศิษย์หุบเขาเก้าช่องได้ และไม่เกี่ยวข้องกับด้านอื่นๆ ของเส้นทางการฝึกฝนหุ่น

ศิษย์หุบเขาเก้าช่องเหล่านั้น ไม่เพียงแต่จะเรียนวิชาควบคุมหุ่นไม่กี่ตัวแล้ว ยังต้องเรียนรู้การสร้างหุ่น และเพิ่มความแข็งแกร่งให้มันด้วย แม้กระทั่งในตอนที่หุ่นของตนเองถูกทำลายในขณะต่อสู้ ยังสามารถซ่อมมันให้ฟื้นฟูขึ้นมาได้

แต่ทั้งหมดนี้ หลิ่วหมิงล้วนเข้าใจดี

ที่เขาซื้อคัมภีร์เล่มนี้มา เพราะว่าเคล็ดวิชาที่บันทึกไว้ในนี้ง่ายต่อการเรียนรู้ และทำให้เขากระตุ้นหุ่นอสูรได้โดยง่ายก็เท่านั้น

เขาค่อยๆ พลิกอ่านคัมภีร์ทีละหน้า ด้วยสีหน้าครุ่นคิด

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด หลิ่วหมิงปิดคัมภีร์ในมือลงฉับพลัน และหลับตาทำความเข้าใจอย่างเงียบๆ อยู่พักหนึ่ง แล้วถึงสะบัดแขนเสื้อปล่อยลูกกลมๆ สีฟ้าอ่อนสองลูกให้กลิ้งออกมา

หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือเดียว ตาทั้งคู่จ้องมองลูกกลมๆ ทั้งสอง นิ้วมือนิ้วหนึ่งชี้ไปยังลูกกลมๆ ทั้งสองลูก

“ฟู่!” “ฟู่!”

หลังจากที่ลูกกลมๆ ทั้งสองสั่นไหว มันก็เปลี่ยนรูปร่างจนดูพร่ามัวขึ้นมา พริบตาเดียวก็กลายเป็นวิหคไม้สีฟ้าที่มีปีกอยู่ตรงหลังสี่ปีก

มันคือหุ่นอสูรสองตัว ที่เขาได้มาจากแขกขององค์ชายเก้าที่เขาเพิ่งสังหารไป

แม้ว่าวิหคไม้ทั้งสองตัวนี้ ไม่อาจเทียบได้กับหุ่นอสูรของศิษย์แกนนำหุบเขาเก้าช่องที่เขาเคยเห็นในตอนแรก แต่มันเป็นของล้ำค่าที่หาได้ยากในบรรดาผู้ฝึกฝนอิสระ

ถ้าเขาสามารถควบคุมได้ดั่งใจล่ะก็ ตอนที่ทำการต่อสู้ ก็สามารถพลิกแพลงวิธีรับมือกับศัตรูได้ในทันที

แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ การฝึกฝนวิชานี้ให้ชำนาญ สำหรับเขาแล้วใช้เวลาแค่ไม่กี่วันเท่านั้น

เวลาต่อมา หลิ่วหมิงก็ร่ายคาถา นิ้วทั้งสิบเคลื่อนไหวอยู่ไม่หยุด วิหคไม้สีฟ้าทั้งสองเคลื่อนไหวตามนิ้วมือของเขา และขยุกขยิกพุ่งขึ้นไปด้านบน และบินไปมาอยู่ในห้องลับ

……

ในระยะเวลาครึ่งเดือน หลิ่วหมิงไปเรียนวิชาปรุงโอสถกับฝานไปจื่อไปด้วย และฝึกควบคุมหุ่นวิหคไม้ทั้งสองอยู่ในห้องลับไปด้วย

ไม่นานพิธีบูชาของราชวงศ์ที่หูชุนเหนียงเคยพูดไว้ ก็มาถึงโดยไม่รู้ตัว

ถึงแม้นางจะบอกให้เขาคอยฟังข่าวจากนางก็พอ แต่หลังจากที่หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองดูแล้ว ในช่วงบ่ายเขาก็ลงจากเขาเซียนทอแสงไปอย่างเงียบๆ

ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด เขาถึงรู้สึกว่าการดำเนินการของหูชุนเหนียงในครั้งนี้ไม่ค่อยราบรื่นนัก เขาจึงเตรียมแผนรับมือบางอย่างไว้

พอเขามาปรากฏตัวในโรงน้ำชาที่ห่างจากพระราชวังไม่ไกล ก็ได้เปลี่ยนตัวเองให้เป็นชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ใบหน้าเหี้ยมหาญเป็นอย่างมาก

หลิ่วหมิงจิบชา และนั่งรออยู่ในโรงน้ำชาอย่างเงียบๆ

ตำแหน่งการสร้างพระราชวังของเสวียนจิงช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก ด้านหนึ่งติดกับทะเลสาบที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงของเสวียนจิง ด้านหนึ่งติดกับค่ายทหารองครักษ์ ส่วนอีกด้านเป็นพื้นที่พิเศษที่เป็นที่ตั้งของตำหนักต่างๆ ของเชื้อพระวงศ์ และมีเพียงด้านเดียวที่เป็นประตูใหญ่ของพระราชวังที่เป็นศูนย์กลางของเสวียนจิง

ด้านที่หลิ่วหมิงอยู่ เป็นด้านที่ตั้งตำหนักของเชื้อพระวงศ์ ด้านอื่นอีกสามด้าน ถ้าไม่ถูกวางชั้นจำกัดไว้หลายชั้น ก็ถูกคุ้มกันไว้อย่างหนาแน่น

ถ้าหูชุนเหนียงทำสำเร็จแล้วออกจากวังล่ะก็ มีโอกาสแปดถึงเก้าส่วนที่จะแอบออกมาทางนี้

เวลาค่อยๆ ผ่านไป!

หลิ่วหมิงนั่งอยู่ในโรงน้ำชา จนกระทั่งได้ยินเสียงอึกทึกครึกครื้นดังแว่วมาจากภายในกำแพงของพระราชวัง ดูเหมือนว่าพิธีบูชาของราชวงศ์คงเริ่มขึ้นอย่างราบรื่นแล้ว

ขณะนี้ องครักษ์เสื้อเกราะก็มาลาดตระเวนบริเวณพระราชวัง

ดูเหมือนว่าเป็นเพราะมีพิธีบูชา ทั่วทั้งพระราชวังจึงคุ้มกันหนาแน่นกว่าปกติ

หลิ่วหมิงค่อยๆ จิบชาด้วยสีหน้าสงบ ชาหนึ่งกาพอดื่มได้สองชั่วยามกว่าๆ

พอน้ำชากาที่สามไหลลงท้องแล้ว ท้องฟ้าก็มืดครึ้มขึ้นมา

หลิ่วหมิงหยิบเงินมาวางบนโต๊ะจำนวนหนึ่ง แล้วเดินออกไปด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป หลังจากเขาแปะยันต์ซ่อนตัวลงบนร่างของตนเองแล้ว ก็มาปรากฏตัวในทางเข้าตรอกที่อยู่ห่างจากโรงน้ำชาไม่ไกล ลำตัวครึ่งหนึ่งแนบชิดกำแพงบริเวณนั้น และจ้องมองพระราชวังที่อยู่ไกลๆ

หลังจากผ่านเสียงอึกทึกครึกโครมในตอนกลางวัน เห็นได้ชัดว่าพระราชวังในยามค่ำคืนช่างเงียบสงัดมาก นอกจะมีเสียงเคาะดัง “ปังๆ!” ที่มาเป็นครั้งคราวแล้ว ก็ไม่มีเสียงใดๆ อีกเลย

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ยังไม่รู้สึกวางใจ ยังคงยืนนิ่งเงียบอยู่ที่เดิม

หลังจากไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ก็มีเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นดังมาจากในพระราชวัง ตามด้วยเสียงดังกังวาน และปราณกระบี่อันน่าตกใจ ก็พุ่งขึ้นจากใจกลางของพระราชวัง

จากนั้นทั่วทั้งพระราชวังก็สับสนอลหม่านขึ้นมา ภายใต้ตะเกียงไฟอันสว่างไสว องครักษ์จำนวนมากกรูกันออกมาจากสถานที่ต่างๆ ของพระราชวัง และพุ่งไปยังสถานที่ที่ปราณกระบี่พุ่งขึ้นมา

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ตาก็เป็นประกาย แต่ก็ยังไม่รีบร้อนเคลื่อนไหว

หลังจากผ่านไปซักพักก็มีเสียงระเบิดออกมา ทันใดนั้นก็มีปราณกระบี่อีกสายพุ่งขึ้น ดูเหมือนว่าจะอยู่ห่างกำแพงด้านนอกพระราชวังไม่ไกล

พอเห็นเช่นนี้ หลิ่วหมิงก็เคลื่อนไหวอย่างไม่ลังเล และเข้าไปใกล้กำแพงสูงของพระราชวังอย่างรวดเร็ว

พอเขาเคลื่อนไหวอีกที ก็มาปรากฏตัวอยู่บนกำแพงอย่างไร้สุ้มเสียง พอตาทั้งคู่จ้องมองไปยังพื้นที่เกิดเหตุวุ่นวาย ก็เจอกับเงาร่างสีขาวที่ถูกแสงกระบี่สองสายคุ้มกันอยู่หนาแน่น และพุ่งมายังด้านที่หลิ่วหมิงอยู่

บริเวณเงาร่างสีขาว มีผู้ฝึกฝนระดับต่างๆ สิบกว่าคน ใช้อาวุธอาญาสิทธิ์โจมตีเงาร่างสีขาวอยู่ไม่หยุด

แม้ว่าการโจมตีระดับนี้ ไม่สามารถทำลายเกราะป้องกันของเงาร่างสีขาวได้ แต่ก็ทำให้การเคลื่อนไหวของนางลดความเร็วลงไปมาก จนไม่อาจฝ่าวงล้อมออกมาได้ในทันที

ขณะนี้ สถานที่อยู่ไกลออกไปอีกหน่อย ก็มีแขกระดับจิตวิญญาณทองคำคนอื่นๆ พากันขี่เมฆพุ่งเข้ามา

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็เคลื่อนไหวอย่างไม่ลังเล จากนั้นก็กลายเป็นเงาร่างสีดำพุ่งไปยังวงล้อมที่ทำการต่อสู้อยู่

ขณะนี้ ผู้ฝึกฝนทั้งหมดกับทหารองครักษ์ต่างก็มุ่งความสนใจไปที่เงาร่างสีขาว ไม่มีใครค้นพบว่ามีคนแปลกหน้าโผล่เข้ามานอกวงล้อม

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขารีบทำท่ามือโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง แสงเพลิงปรากฏขึ้นตรงหน้าเป็นจุดๆ ไม่นานลูกเปลวไฟลูกหนึ่งก็โผล่ออกมา มันแค่หมุนตัวติ้วๆ ก็ขยายใหญ่จนมีขนาดเท่าอ่างน้ำ ขณะเดียวกันไอร้อนระอุก็ม้วนตัวออกไป

แต่ด้วยเหตุนี้ ผู้ฝึกฝนหลายคนในบริเวณนั้นต่างก็รับรู้ได้ในทันที

หนึ่งในนั้นรีบหมุนตัวกลับมา หลังจากที่เห็นลูกเปลวไฟยักษ์ในมือหลิ่วหมิงก็อดตกใจไม่ได้

“เจ้าเป็นใครกัน ทำไมข้าถึงไม่เคยเห็นเจ้า……แย่แล้ว! เจ้าสารเลวผู้นี้มีคนคอยช่วยรับมืออยู่”

คนผู้นี้ถามออกมาแค่สองประโยค ก็รู้ต้องร้องออกมาด้วยเสียงอันดัง

แต่ขณะนี้ หลิ่วหมิงก็สะบัดข้อมือปล่อยลูกเปลวไฟยักษ์ใส่กลุ่มคนด้านหน้าด้วยเสียงอันดัง

หลังจากได้ยินเสียงเตือน ผู้ฝึกฝนคนอื่นๆ ก็หันตัวกลับมา แต่พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ไหนเลยจะยังสนใจโจมตีเงาร่างสีขาวต่อ พวกเขาต่างก็ตกใจจนล่าถอยออกไป

เสียงดัง “ตู๊ม!”

ลูกเปลวไฟระเบิดตัวท่ามกลางคนกลุ่มนั้น เปลวไฟอันคุโชนม้วนตัวไปรอบด้าน และพุ่งขึ้นฟ้ากลายเป็นรูปดอกเห็ด

พอแขกระดับจิตวิญญาณทองคำสองคนที่ไหวตัวช้า ได้สัมผัสกับหมอกอัคคีที่ปกคลุมอยู่ก็ต้องร้องอย่างเวทนา และกลายเป็นขี้เถ้าไปในพริบตา แม้แต่ผู้ฝึกปราณบริเวณนั้นสิบกว่าคน ต่างก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

เงาร่างสีขาวอาศัยจังหวะนี้ รวมกระบี่ทั้งคู่เข้าด้วยกัน จนมันกลายเป็นปราณกระบี่ยักษ์พุ่งออกจากหมอกอัคคี และเคลื่อนไหวไม่กี่ทีก็มาอยู่ข้างหลิ่วหมิง

“ศิษย์น้องเฉียนใช่ไหม? รีบหนีไป คาดไม่ถึงว่าในวังนี้จะมีเผ่าเจ้าสมุทรที่แข็งแกร่ง ข้าไม่ทันระวังจึงตกอยู่ในมือของพวกมัน ข้าต้องไปหาสถานที่เงียบๆ รักษาอาการบาดเจ็บก่อน” เงาร่างสีขาวเป็นหญิงสาวที่สวมหน้ากากกระดูกขาว พอเขาเห็นใบหน้าหลิ่วหมิงชัดเจนก็รู้สึกตกใจมาก แต่ก็ได้สติในฉับพลันก่อนที่จะกล่าวออกไป

ฟังจากน้ำเสียงแล้ว นางก็คือหูชุนเหนียง

แต่พอนางพูดสองประโยคนี้ออกมาอย่างรีบร้อนแล้ว ก็พลันอ้าปากพ่นโลหิตสีดำออกมา จนมันเกือบจะย้อมผ้าสีขาวของนางจนกลายเป็นสีแดงกว่าครึ่งหนึ่ง จากนั้นร่างอรชรก็โงนเงน พลิกตัวล้มลงไป

“เผ่าเจ้าสมุทร!”

พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกตกใจเช่นกัน แต่พอสะบัดแขนเสื้อ มันก็ม้วนรัดเอวของนางไว้แน่น พอเขาออกแรงดึง ร่างอรชรที่มีกลิ่นหอมกรุ่น ก็มาอยู่ในอ้อมกอดเขา

ร่างของหูชุนเหนียงอ่อนยวบยาบ ไม่มีแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่านางไม่รับรู้เรื่องใดๆ แล้ว

หลิ่วหมิงกระทืบเท้าอย่างไม่ลังเล และเขาก็พาหญิงสาวกลายร่างเป็นลูกธนูพุ่งยิงออกไปนอกพระราชวัง

ขณะนี้ แขกระดับจิตวิญญาณทองคำที่ตกใจจนล่าถอย ถึงได้รีบตามไปด้วยความโมโหอย่างสุดขีด

แต่การเคลื่อนไหวของคนที่เคยทานหญ้าลอยฟ้าอย่างหลิ่วหมิง รวดเร็วกว่าที่คนทั่วไปคาดคิดไว้มาก พวกเขาเพียงแค่เห็นเงาร่างหลิ่วหมิงพร่ามัวไม่กี่ที่ ก็ลื่นไหลผ่านกำแพงสูงไปอย่างรวดเร็ว

พอแขกระดับจิตวิญญาณทองคำตามมาถึงบนกำแพงด้วยความโมโห หลิ่วหมิงก็หายไปในสิ่งก่อสร้างสูงใหญ่ตั้งนานแล้ว

พวกเขาต่างก็มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้!

“รีบให้คนปิดประตูทั้งสี่ด้านไว้ เจ้าสารเลวที่บุกเข้าวังได้รับบาดเจ็บอยู่ ภายในระยะเวลาสั้นๆ นี้ ไม่อาจหนีไปจากเสวียนจิงได้” ขณะนั้นเอง น้ำเสียงอันเยือกเย็นก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังโดยฉับพลัน

พอแขกระดับจิตวิญญาณทองคำเหล่านี้ หันกลับไปมองด้วยความตกใจ ก็พบกับชายฉกรรจ์ผมสีฟ้า หนวดสีม่วง ที่กำลังจ้องมองพวกเขาอย่างเยือกเย็น

“ทราบ! ผู้บัญชาการชิว! พวกข้าจะแจ้งทหารเฝ้าประตูทั้งสี่ด้าน ให้รีบปิดประตูในทันที!” องครักษ์ผู้ฝึกปราณที่มีรูปร่างค่อนข้างสูงคนหนึ่ง ก้าวออกมารับคำสั่งอย่างนอบน้อม

……………………………………….

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset