ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 220 การต่อสู้หมู่ (3)

ตอนที่ 220 การต่อสู้หมู่ (3)

แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การต่อสู้กลุ่มในด้านล่างก็เปลี่ยนไป!

ทันใดนั้น ต่งไทเฮาก็โบกสะบัดคทาหยกปล่อยแสงบุปผาสีขาวออกมาเป็นจำนวนมาก จนทำให้หูชุนเหนียงร่นถอยออกไปไกลหลายก้าว จากนั้นร่างของนางก็เคลื่อนไหวไม่กี่ที แล้วไปปรากฏตัวอยู่ข้างตัวเสวียนจื้อ

“ลูกจื้อ ดูเหมือนว่าถ้าไม่ใช่วิธีนั้นจะไม่ได้แล้ว รีบแสดงออกมาเถอะ! ถ้าช้าไปล่ะก็ เกรงว่าหลินเส่าจะไม่สามารถยืนหยัดได้นาน” ต่งไทเฮารีบพุ่งมาหาเสวียนจื้อแล้วด้วยท่าทีรีบร้อน

“เสด็จแม่ ข้าต้องใช้เคล็ดวิชานี้จริงๆ หรือ! ดูเหมือนจะยังไม่ถึงขนาดต้องใช้มัน และถ้าข้าใช้มันล่ะก็ จะมีผลข้างเคียงไม่น้อย” เสวียนจื้อทำท่ามือด้วยสองมือ เพื่อควบคุมอสูรสองตัวให้ล้อมโจมตีอยู่ไม่หยุด พอได้ยินเช่นนี้ ก็แสดงสีหน้าลังเลออกมาอย่างอดไม่ได้

“เจ้าโง่! เจ้าดูไม่ออกหรือ อีกไม่นานเจ้าเด็กที่เก่งที่สุดคนนั้นก็จะทำลายค่ายกลและออกมาได้แล้ว คู่ต่อสู้ของจวี้เจิงก็ไม่ธรรมดา ไม่สามารถจัดการได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ ถ้าพลาดโอกาสอันดีตรงรงหน้านี้ไป พวกเราแม่ลูกก็จะตายอย่างไร้ที่ฝัง เจ้าไม่ต้องกังวลว่าแสดงวิชาออกมาแล้วอายุขัยจะลดลง กลับไปเผ่าแล้วข้าจะบอกปู่จะของเจ้าให้ใช้โอสถจิตวิญญาณช่วยฟื้นฟูกลับมาดังเดิม” ต่งไทเฮาขมวดคิ้วกล่าว

พอเสวียนจื้อได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกเย็นยะเยือกในใจ เขากวาดสายตามองไปด้านค่ายกลอักขระโลหิตกับทางด้านหลิ่วหมิงทีหนึ่ง แล้วค้นพบว่าที่ต่งไทเฮาพูดนั้นเป็นเรื่องจริง ถึงได้กัดฟันตอบรับกลับไป

“ได้! ถ้าอย่างนั้นลูกจะแสดงมันเดี๋ยวนี้!”

พอกล่าวจบ เสวียนจื้อก็ดึงกริชที่แผ่ไอเย็นสะท้านออกมาจากเอว และกรีดลงบนแก้มทั้งสองอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นโลหิตก็ม้วนตัวออกมาจากผิวหนัง

“ดีมากลูกรัก! ข้าจะช่วยเจ้าอีกแรง!” ต่งไทเฮารู้สึกดีใจมาก นางหยิบยันต์สีต่างๆ ออกมาจากอก และแปะลงบนตัวเสวียนจื้อภายในอึดใจเดียว

ทันใดนั้นแสงหลากสีก็แผ่ออกมาจากร่างเสวียนจื้อ มันคือยันต์คุ้มกันจำนวนหนึ่ง

เมื่อเสวียนจื้อเก็บกริชเข้าไป ก็ใช้นิ้วทั้งสิบจุ่มโลหิตแล้ววาดอักขระรูปสี่เหลี่ยมประหลาดๆ บนหน้าผากอย่างชำนาญ ขณะเดียวกันปากก็ร่ายคาถาโบราณที่ไม่รู้ชื่อออกมา

เวลาต่อมา อักขระที่อยู่บนหน้าผากของเสวียนจื้อก็เปล่งประกาย ขณะเดียวกันกล้ามเนื้อก็นูนขึ้นมา จนทำให้ทั่วทุกส่วนของร่างกลายเป็นสีแดงไปทั้งหมด

“ฟู่!”

เสวียนจื้อกลายร่างเป็นเผ่าเจ้าสมุทรที่มีรูปร่างครึ่งคนครึ่งมัจฉา ขณะเดียวกันโลหิตจำนวนมากก็พุ่งออกมาจากทั่วทุกส่วนของร่างกาย ราวกับว่ามันเป็นฝนโลหิต และในขณะเดียวกัน กลิ่นไอป่าเถื่อนวังเวงอย่างบอกไม่ถูก ก็ทะลักออกมาจากอักขระสีเลือดบนหน้าผากเขา และเต็มไปด้วยอานุภาพน่าเกรงขามอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ขณะนี้เสวียนจื้อยกแขนขึ้นมา และชี้นิ้วไปทางต่งไทเฮา

ทันใดนั้นกลิ่นไออันป่าเถื่อนวังเวงบนร่างเขาก็ทะลักออกมา และพุ่งไปยังร่างของต่งไทเฮาราวกับม้าที่บังเหียนหลุด

พริบตาที่ร่างของหญิงใบหน้างดงามที่ถูกโลหิตรดไปทั่วตัว ได้สัมผัสกับกลิ่นไออันป่าเถื่อนวังเวงนี้ นางก็ส่งเสียงร้องแหลมออกมา หลังจากกลิ้งไปตามพื้นแล้ว ก็กลายร่างเป็นเผ่าเจ้าสมุทร ครึ่งมนุษย์ครึ่งมัจฉา

แต่ต่งไทเฮาที่กลับคืนรูปร่างเดิมภายใต้ผลกระทบของกลิ่นไอที่น่าเกรงขามนี้ กลับขยายร่างอยู่ไม่หยุด พริบตาเดียวก็มีขนาดใหญ่มหึมา และก็ดีดตัวขึ้นมายืนอีกครั้ง

หญิงใบหน้างดในตอนนี้ แม้จะพอมองออกว่าเป็นต่งไทเฮาอยู่บ้าง แต่เกล็ดบนร่างกลายเป็นสีเงินจางๆ ขณะเดียวกันก็มีดวงตาปีศาจดวงที่สามโผล่มาระหว่างคิ้ว

“ฮ่าๆ นี่คือการเปลี่ยนร่างเป็นไห่เจีย ที่แท้ก็แข็งแกร่งกว่าที่เล่าลือมาก ข้าแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านั้นไม่รู้ตั้งเท่าไหร่” ไห่เจียที่ต่งไทเฮากลายร่างมา ยื่นสองแขนออกไปดู แล้วแหงนหน้าหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

หูชุนเหนียงที่เพิ่งจะจัดการกับแสงบุปผาสีขาวตรงหน้าได้ ก็คิดจะพุ่งเข้ามาหาต่งไทเฮา แต่พอได้เห็นฉากนี้ ก็ชะลอฝีเท้าลงด้วยความรู้สึกเย็นสะท้าน

และหลังจากที่เสวียนจื้อแสดงวิชาออกมาสำเร็จ อสูรสองตัวที่ไม่มีคนควบคุมก็ถูกเฝิงหลงใช้แท่งกระดูกดำทั้งสามโจมตีอย่างบ้าคลั่ง ในที่สุดมันก็โจมตีจนทั้งสองสลายไป

แต่พอเขาเห็นรูปร่างขนาดใหญ่ของต่งไทเฮาในตอนนี้ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป ทันใดนั้นก็ถอยตัวไปอยู่ข้างหูชุนเหนียง

ทั้งสองเพียงแค่สบตากันทีหนึ่ง ก็ตัดสินใจร่วมมือกันจัดการศัตรู จากนั้นจึงมองมาที่สัตว์ประหลาดยักษ์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“เสด็จแม่ ที่เหลือคงต้องให้ท่านจัดการแล้ว ลูกไม่สามารถยืนหยัดต่อไปได้อีก” ขณะเดียวกันเสวียนจื้อที่แสดงวิชาเสร็จ ก็ยิ้มอย่างขมขื่นแล้วมองไปยังต่งไทเฮาก่อนกล่าวออกมา หลังจากนั้นก็ล้มลงไปนั่งกับพื้น

ในขณะเดียวกัน ฝนโลหิตมี่พุ่งออกจากตัวเขาก็หยุดลง กลิ่นไออันป่าเถื่อนวังเวงที่เหลือก็หายไปจนหมดสิ้น

“วางใจเถอะ! ตอนนี้ข้าเปลี่ยนร่างตามคำเล่าลือได้สำเร็จแล้ว อีกไม่นานต่อให้มนุษย์เล็กๆ เหล่านี้จะรวมตัวกัน ก็ไม่อาจต้านทานข้าได้” ต่งไทเฮากล่าวด้วยความมั่นใจเป็นอย่างมาก จากนั้นมือทั้งสองก็ตบไปยังด้านหน้า

“ตู๊ม!”

คลื่นทะเลสีน้ำเงินพุ่งออกจากมือทั้งสอง หลังจากที่มันรวมตัวกันภายในพริบตาเดียว ก็กลายเป็นตรีศูลสีน้ำเงินขนาดใหญ่อันหนึ่ง

ต่งไทเฮาคว้าเอาตรีศูลมาถือไว้ พอโบกมันเล็กน้อย แสงสีฟ้าก็ปรากฏขึ้นบริเวณนั้น พริบตาเดียวก็กลายเป็นน้ำทะเลหมุนวนอยู่รอบตัวนาง

หูชุนเหนียงกับเฝิงหลงเห็นเช่นนี้ก็สะดุ้งโหยง และลงมือพร้อมกันในทันที

หูชุนเหนียงโยนกระบี่สั้นทั้งสองไปบนอากาศ และชี้มือทั้งสองไปอย่างรวดเร็ว กระบี่สั้นแต่ละเล่มพร่ามัวจากหนึ่งกลายเป็นสอง จากสองกลายเป็นสี่ ก่อให้เกิดเป็นเงากระบี่จางๆ สิบกว่าเงา

หญิงสาวตะคอกเสียงอ่อนนุ่มออกมา เงากระบี่ทั้งหมดพุ่งยิงออกไปด้วยเสียงอันดัง

ทางด้านเฝิงหลงก็อ้าปากพ่นโลหิตออกมา แท่งกระดูกดำทั้งสามพุ่งไปรวมกับกลุ่มโลหิต และกลายเป็นแท่งแหลมๆ ยาวครึ่งจั้ง พื้นผิวเต็มไปด้วยอักขระสีเลือด โชยกลิ่นคาวเลือดออกมา

พอต่งไทเฮาเห็นเช่นนี้ ก็ยิ้มร้ายออกมา หลังจากนั้นก็โบกตรีศูลในมือก่อนที่คลื่นทะเลจะม้วนตัวออกไป

ทั้งสามแสดงวิชาออกมาพร้อมกัน

การเปลี่ยนแปลงอันน่าตกใจของต่งไทเฮา ไม่เพียงแต่ทำให้เย่เทียนเหมยที่ดูอยู่รู้สึกตกตะลึง และแสดงสีหน้าออกมาราวกับคิดอะไรอยู่เท่านั้น แม้กระทั่งหลิ่วหมิงที่กำลังต่อสู้กับชายฉกรรจ์ร่างยักษ์อยู่ก็เหลือบไปดูด้วยความรู้สึกเย็นยะเยือก

ในความคิดเขา เขาไม่อยากแสดงตัวโดดเด่นมากนัก เพื่อไม่ให้ผู้ที่แข็งแกร่งมาสนใจเขา แต่ตอนนี้จางซิ่วเหนียงถูกขังอยู่ในค่ายกลอักขระโลหิต และฝ่ายตรงข้ามยังเปลี่ยนต่งไทเฮาเป็นสัตว์ประหลาดอันน่าตกใจอีกด้วย

ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ หากเขาไม่แสดงฝีมือที่แท้จริงออกมา เกรงว่าคงต้องแพ้กลับไปอย่างแน่นอน และถ้าผลออกมาเป็นเช่นนี้ ด้วยกฎของนิกายปีศาจ ชายฉกรรจ์แซ่เหลยคงไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่ดีแก่เขาแน่นอน

พอหลิ่วหมิงคิดมาถึงจุดนี้ จิตเขาฟุ้งซ่านเล็กน้อย ทำให้ร่างกายที่หมุนล่องลอยอยู่เคลื่อนไหวช้าลง จนชายฉกรรจ์ร่างยักษ์จับช่องโหว่ได้

เขาโบกกระบองยักษ์ในมือด้วยตาที่เป็นประกาย มันพร่ามัวกลายเป็นอสรพิษวารีโปร่งแสง และอ้าปากพุ่งมางับคอหลิ่วหมิง จากนั้นเขาก็อ้าปากพ่นเสาวารีสีขาวโพลนออกมา ไม่นานมันก็กลายเป็นศรวารีจำนวนมากพุ่งยิงออกไป จนดูเหมือนจะปกคลุมไปทั่วร่างของหลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงไม่สนใจศรวารีเหล่านี้แม้แต่น้อย แต่อยู่ๆ กระบองยักษ์ก็เปลี่ยนเป็นสิ่งมีชีวิต สิ่งนี้เหนือความคาดหมายของเขามาก

แต่เมื่อหลิ่วหมิงได้สติแล้ว ก็ทำเสียงฮึดฮัดออกมาในทันที ทันใดนั้นแสงสีฟ้าก็เปล่งประกายออกจากแขนเสื้อ ธงเล็กสีฟ้าอันหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของเขา เพียงแค่โบกมันไปด้านหน้า แสงสีฟ้าก็พวยพุ่งออกมา

ไม่ว่าจะเป็นอสรพิษวารี หรือว่าศรวารีล้วนจมเข้าไปในนั้น และต่างก็สลายรูปร่างไปอย่างเงียบๆ

ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์เห็นเช่นนี้ กลับหลุดปากออกมา

“ธงวารีบริสุทธิ์! เจ้าฆ่าเว่ยอวี้แล้วชิงเอาอาวุธจิตวิญญาณของเขามา! ที่แท้เจ้าก็เป็นหนึ่งในสองคนที่ทำเรื่องใหญ่เราพัง”

ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์หลุดปากออกมา และพลันโมโหขึ้นมามากกว่าเดิม หลังจากแสงสีฟ้าเปล่งประกาย เขาก็กลายร่างเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งมัจฉา และยังดึงกระเป๋าหนังตรงเอวโยนไปทางหลิ่วหมิงอย่างแรง

แสงเย็นสะท้านเปล่งประกายขึ้นมาในแววตาของหลิ่วหมิง หลังจากแกว่งธงในมือแล้ว ก็หยิบกระบี่สั้นสีเขียวออกมา พอเขาขยับแขนปราณกระบี่อันครั่นคร้ามก็ม้วนตัวออกไป และฟันลงบนถุงหนังอย่างรุนแรง

“ตู๊ม!”

ถุงหนังระเบิดออกมาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่มีแสงสีเงินเปล่งประกายออกมา แสงสีเงินพุ่งยิงมาทางหลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงขมวดคิ้วขึ้น ไม่คิดจะหลบหลีกเลยแม้แต่น้อย แต่กลับตวัดกระบี่สั้นในมือ ปล่อยแสงสีเขียวยาวหลายฉื่อฟันเข้าใส่แสงสีเงิน

เสียงกระทบกันดัง “เต๊ง!”

แสงสีเงินถูกปราณกระบี่สีเขียวฟันเข้าใส่จนกระเด็นออกไป แต่กลับมีพลังมหาศาลออกมาจากแสงสีเงิน จนทำให้ร่างหลิ่วหมิงสั่นสะท้านจนต้องร่นถอยออกไปโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

และขณะนั้นเอง แสงสีเงินที่กระเด็นออกไปกลับวกกลับในทันที และพุ่งตรงไปยังหน้าอกของหลิ่วหมิงด้วยความเร็วที่เร็วกว่าก่อนหน้านั้นมาก

หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ยังไม่ทันตั้งตัวได้มั่นคง เขาก็รีบตวัดกระบี่สั้นในมือ ทันใดนั้นเงากระบี่สั้นสีเขียวก็พุ่งออกไปอย่างบ้าคลั่ง

พอมีเสียงดังออกมา แสงสีเงินก็พุ่งทะลุเงากระบี่ภายในอึดใจเดียว จากนั้นถึงถูกกระบี่สั้นสีเขียวฟันจนกระเด็นกลับไป

ขณะนี้ หลิ่วหมิงได้เขม้นตามองจนได้เห็นสภาพที่ชัดเจนของแสงสีเงิน

มันคือมัจฉาบินที่ยาวไม่ถึงครึ่งฉื่อ

แต่มัจฉาตัวนี้มีแสงสีเงินเปล่งประกายไปทั่วตัว ปากและหัวแหลมคมราวกับกระบี่ มันกินพื้นที่ครึ่งหนึ่งของลำตัว อีกครึ่งที่เหลือมีปีกโปร่งแสงคู่หนึ่งติดอยู่ มันเพียงแค่มันกระพือปีกราวกับผึ้ง แล้วก็หมุนตัวพุ่งมาหาหลิ่วหมิงอีกครั้ง

“นี่คือมัจฉาปีศาจอะไรกัน ทำไมถึงได้ร้ายกาจเช่นนี้!” พอหลิ่วหมิงเห็นกระบี่จันทราหยกไม่สามารถฆ่ามัจฉาตนนี้ได้ และมันยังไม่เป็นอะไรเลย ทั้งยังพุ่งมาเขาอีกรอบ มันทำให้เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

ขณะนี้ ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ตรงหน้าก็พลันเอาหางฟาดพื้น และพุ่งตัวขึ้นไปด้านบน แขนทั้งสองอ้าออกแล้วกลายเป็นก้ามยักษ์หนีบมาทางหลิ่วหมิง

……………………………………….

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset