เมื่อหลิ่วหมิงเผชิญกับการโจมตีอันเฉียบคมเช่นนี้ เขาก็รีบตบถุงหนังบนเอวทันที ทันใดนั้นไอสีดำก็ม้วนตัวพวยพุ่งไปยังทิศทางที่แสงสีเงินพุ่งยิงเข้ามา ขณะเดียวกันกระบี่จันทราหยกในมือก็หมุนติ้วๆ แล้วฟันเงากระบี่ไปทางชายฉกรรจ์ร่างยักษ์
หลังจากมีเสียงระเบิดดังออกมา ร่างของชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ก็โซซัดโซเซ และถูกเงากระบี่ที่ตัดสลับกันจู่โจมจนต้องกระเด็นกลับไป
ขณะเดียวกัน มัจฉาประหลาดสีเงินก็ปะทะเข้ากับแมงป่องกระดูกขาวที่กระโจนออกมาจากไอดำพอดี จากนั้นทั้งสองก็ตกลงบนพื้น และต่อสู้กันอย่างอุตลุด
แมงป่องกระดูกขาวยกก้ามยักษ์ทั้งสองโจมตีมัจฉาประหลาดสีเงินอย่างบ้าคลั่ง
แม้ว่ามัจฉาประหลาดจะไม่มีขา แต่ลำตัวส่วนหน้าของมันแหลมคมราวกับคมมีด มันสะบัดหัวไปมาอย่างบ้าคลั่งจนต้านทานการโจมตีกว่าครึ่งหนึ่งของแมงป่องกระดูกขาวไว้ได้ มีบางครั้งที่มันถูกโจมตี แต่ก็แค่แฉลบผ่านเกล็ดสีเงินของมันไป
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มัจฉาประหลาดก็ต้านทานได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น!
เมื่อหางตะขอตรงหลังแมงป่องกระดูกขาวกลายเป็นเส้นสีดำสิบกว่าเส้นและเข้าไปร่วมโจมตี ทำให้มัจฉาประหลาดหลบหลีกไม่ทัน จนเกิดรูบนลำตัวเป็นจำนวนมาก และโลหิตสีดำก็พุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง
ภายใต้สถานการณ์ที่มัจฉาประหลาดถูกพิษรุนแรงเช่นนี้ มันก็ไม่สามารถต้านทานได้อีกต่อไป ทำได้เพียงแต่กระพือปีกทั้งสองเพื่อหลบหลีกอย่างบ้าคลั่ง
แต่ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์กลับไม่สนใจอันตรายที่มัจฉาประหลาดเผชิญอยู่
เพราะว่าในตอนนี้ มือข้างหนึ่งของหลิ่วหมิงฟาดพันเงากระบี่สีเขียวออกไปติดต่อกัน ส่วนมืออีกข้างก็ปล่อยคมวายุออกไปราวกับไม่ต้องใช้พลังเวทย์
ตอนแรกๆ คมวายุแต่ละเส้นก็กระเด็นออก แต่พอผ่านไปไม่นาน มันก็พุ่งยิงออกไปพร้อมกันสองถึงสี่เส้น
แม้ว่าก้ามยักษ์สีทองทั้งสองของชายฉกรรจ์ร่างยักษ์จะร้ายกาจ จนแม้แต่ปราณกระบี่ก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้ แต่เมื่อถูกโจมตีอย่างถี่ยิบเช่นนี้ ก็ได้แต่โบกสะบัดก้ามยักษ์ไปยังด้านหน้าจนก่อเกิดเป็นแสงสีทอง ถึงพอจะรับมือไว้ได้อย่างยากเย็น แต่ก็ยังถูกคมวายุจำนวนมากเฉือนผ่านไหล่จนเกิดเป็นแผลลึกๆ จำนวนมาก จากนั้นโลหิตสีเขียวอ่อนก็ทะลักออกมา
ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ทั้งตกใจทั้งโมโห เขาย่อมไม่ยอมถูกโจมตีโดยไม่เอาคืนอย่างแน่นอน
ทันใดนั้นเขาก็สะบัดหางมัจฉายักษ์ออกไป จนเกิดเป็นจุดแสงสีฟ้ามารวมตัวกัน ครู่เดียวก็กลายเป็นน้ำทะเลพวยพุ่งออกมา แม้ว่าจะเทียบไม่ได้กับน้ำทะเลที่ต่งไทเฮาควบคุมอยู่ แต่มันก็เพียงพอที่จะปกป้องร่างของเขาไว้ได้ทั้งหมด
พอคมวายุพุ่งมายังด้านหน้าเขา พลังของมันก็ถูกน้ำทะเลลดทอนไปมาก พลังที่เหลือก็ถูกแผ่นเกล็ดสีเขียวต้านทานไว้ได้ ทิ้งไว้เพียงรอยจางๆ เท่านั้น
แต่ขณะนั้นเอง คมวายุกับเงากระบี่ตรงหน้าหลิ่วหมิงก็หายไป แทนที่ด้วยลูกเปลวไฟลูกหนึ่ง แรกๆ มันก็มีขนาดแค่ปากถ้วย แต่พอมันหมุนติ้วๆ ก็ขยายใหญ่เท่าอ่างล้างหน้า
“ไป!”
หลิ่วหมิงคำรามเสียงต่ำออกมา พอสะบัดมือทั้งสอง ลูกเปลวไปยักษ์ก็พุ่งออกไปท่ามกลางเสียงดังสนั่น
จวี้เจิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็รู้สึกเย็นยะเยือกในใจ เขาย่อมไม่กล้าเสี่ยงรับมือกับการโจมตีระดับนี้ จึงขยับตัวเพื่อที่จะหลบไปยังด้านข้าง
แต่ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงก็กระทืบเท้าข้างหนึ่งลงพื้นอย่างรุนแรง และร่างของเขาก็พุ่งยิงไปฝั่งตรงข้ามราวกับลูกธนู
พอชายฉกรรจ์หลบลูกเปลวไฟนี้ได้อย่างหวุดหวิด ก็รู้สึกว่ามีอะไรเคลื่อนไหวตรงหน้า ซึ่งหลิ่วหมิงมาปรากฏตัวอยู่ห่างจากเขาไม่ถึงสองจั้งกว่าๆ และยกกระบอกเหล็กสีแดงจ่อเล็งหน้าเขาไว้
“แย่แล้ว!”
ชายฉกรรจ์แอบร้องออกมา คิดจะหลบหลีกก็ไม่ทันเสียแล้ว
พอได้ยินเสียงดัง “พลั่ก!” ตาข่ายไหมแวววาวก็ถูกพ่นออกจากในนั้น และปกคลุมตัวเขาไว้ได้พอดี
ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์เพียงแค่รู้สึกเย็นสะท้าน ชั่วพริบตาที่ตาข่ายแวววาวโดนตัวเขานั้น น้ำทะเลที่ปกป้องเขาอยู่ก็เริ่มเกาะตัวเป็นน้ำแข็ง
แต่เขาก็คำรามเสียงออกมาในทันที ก้ามสีทองทั้งสองฟาดฟันอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นน้ำแข็งบนตัวก็แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
แต่ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงที่อยู่ห่างจากเขาไปไม่ไกลกลับมีสีหน้าประหลาดใจ และขยับตัวถอยออกไปอย่างไร้สุ้มเสียงในทันที
ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์รู้สึกตกตะลึง ขณะที่ยังไม่ทันเข้าใจว่าเป็นเพราะอะไร ก็พลันรับรู้ได้ถึงไอร้อนระอุที่ม้วนตัวมาทางด้านหลัง จากนั้นแสงเปลวไฟก็สว่างขึ้นบนตัวเขา ลูกเปลวไฟยักษ์ที่เดิมทีเขาหลบมันพ้นแล้ว ได้หมุนตัวพุ่งยิงกลับมา และปะทะเข้าใส่ร่างเขาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
เสียงดังสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วฟ้าและปฐพี!
ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์เปล่งเสียงออกมาอย่างเวทนา จากนั้นก็จมเข้าไปในเปลวไฟอันคุโชน ร่างของเขาได้แต่ดิ้นเพียงไม่กี่ครั้ง ไม่นานก็กลายเป็นเถ้าถ่านท่ามกลางเปลวไฟรูปดอกเห็ด
เกือบจะในเวลาเดียวกัน เป็นเพราะมัจฉาประหลาดสีเงินตัวนั้นมีจิตเชื่อมกับชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ เมื่อนายของมันตายไป ร่างของมันก็สั่นสะท้าน และถูกแมงป่องกระดูกขาวที่กระโจนลงพื้นอีกครั้ง ใช้ก้ามยักษ์ทั้งสองกดทับไว้ แมงป่องกระดูกขยับหางตะขอตรงหลังจนเกิดเป็นเส้นดำๆ จำนวนมาก ขณะเดียวมันก็ทนพิษไม่ไหวจนระเบิดตัวออกมา
มัจฉาปีศาจน่าสงสารตัวนี้ เดิมทีนับว่าเป็นอสูรสมุทรที่หาได้ยาก ตอนนี้ลำตัวของมันถูกเจาะทะลุจนเป็นรูมากมาย ลำตัวสีเงินกลายเป็นสีดำ และละลายไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากผ่านการต่อสู้อันดุเดือด ในที่สุดหลิ่วหมิงก็สามารถจัดการศัตรูตัวฉกาจอย่างชายร่างยักษ์นี้ได้
แต่ตอนนี้ใบหน้าเขาขาวซีดเล็กน้อย เขาใช้นิ้วมือแตะขมับทั้งสองข้างอย่างรวดเร็ว จากนั้นสีหน้าเขาถึงได้ดูดีขึ้นเล็กน้อย
ที่เขาเป็นเช่นนี้ เพราะว่าการควบคุมลูกเปลวไฟให้วกกลับในก่อนหน้านั้นทำให้เขาสิ้นเปลืองพลังจิตไปมาก
แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะเคยลองใช้วิธีควบคุมระยะไกลเช่นนี้มาหลายรอบ แต่มันเป็นแค่ลูกเปลวไฟกับคมวายุธรรมดา และเปลี่ยนทิศทางการโจมตีเล็กน้อยเท่านั้น แต่เป็นครั้งแรกที่ควบคุมลูกเปลวไฟยักษ์นี้
แม้ว่าเขาจะค่อนข้างพอใจในผลลัพธ์ แต่ใช้พลังจิตมากกว่าที่คาดคิดไปหน่อย
แต่ในตอนนั้น เขาจำเป็นต้องทำเช่นนั้น
เพราะว่าในตอนนี้ การต่อสู้อีกฝั่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลก็เห็นผลแพ้ชนะแล้ว
หลังจากมีเสียงหัวเราะดังออกมา เงาร่างเล็กๆ ก็ม้วนตัวพุ่งออกจากน้ำทะเลที่หมุนวนอย่างบ้าคลั่ง
นางก็คือหูชุนเหนียงนั่นเอง
พอนางพุ่งออกมาได้ไกลสิบกว่าจั้งก็โซเซเล็กน้อย จากนั้นก็สลบลงไปกับพื้น บนตัวนางมีบาดแผลราวกับถูกคมมีดกรีดฟันเป็นจำนวนมาก กระบี่สั้นในมือเล่มหนึ่งมีรอยบิ่นสิบกว่าที่ อีกเล่มหนึ่งก็หักเป็นสองส่วน
และน้ำทะเลที่หมุนอย่างบ้าคลั่งก็แยกตัวออกในทันที เผยให้เห็นร่างไห่เจียขนาดมหึมาที่กลายร่างมาจากต่งไทเฮา
ตอนนี้นางมีสีหน้าดุร้าย ร่างของเฝิงหลงศิษย์นิกายปีศาจถูกแขวนอยู่บนตรีศูลที่ถืออยู่ในมือนาง
ร่างของชายวัยกลางคนถูกตรีศูลอันแหลมคมเจาะทะลุจุดสำคัญ ร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลอ่อนยวบยาบ และลู่ต่ำลง โลหิตไหลออกมาเป็นสาย เห็นได้ชัดว่าไม่มีโอกาสรอดแล้ว
พอหลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ดวงตาทั้งสองก็เปล่งประกายเยือกเย็นออกมา
ไห่เจียที่ต่งไทเฮาแปลงร่างมาคิดจะกระตุ้นน้ำทะเลเพื่อจู่โจมหูชุนเหนียงที่สลบอยู่อีกครั้ง แต่ดูเหมือนจะรับรู้อะไรบางอย่างได้ จึงหันตัวมาทันที และเจอกับหลิ่วหมิงเข้าพอดี รูม่านตาของนางค่อยๆ หดลงอย่างช่วยไม่ได้
ตอนนี้นอกจากนางจะมองเห็นสภาพระเกะระกะทางด้านหลิ่วหมิงแล้ว ชายฉกรรจ์ที่เป็นคู่ต่อสู้ก็อันตรธานหายไปจนหมดสิ้น เหลือไว้เพียงแค่ร่างของมัจฉาประหลาดที่กำลังย่อยสลายอย่างช้าๆ
หลิ่วหมิงเดินเข้าไปหาคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
ในขณะเดียวกัน ดูเหมือนว่าแมงป่องกระดูกขาวก็รับรู้ได้โดยนัย มันจึงรีบมุดลงพื้นในทันที
ไห่เจียที่กลายร่างมาจากต่งไทเฮากลับทำเสียงฮึดฮัดออกมา จากนั้นก็อ้าปากพ่นไอเย็นใส่ร่างเฝิงหลง เพื่อทำศพให้กลายเป็นก้อนน้ำแข็ง
นางค่อยๆ โบกสะบัดอาวุธในมือจนก้อนน้ำแข็งแตกกระจายออกมา
หญิงเผ่าเจ้าสมุทรที่กลายร่างเป็นไห่เจียมีสีหน้าอึมครึมอย่างถึงที่สุด ประจักษ์ชัดว่านางรับรู้ได้ว่าหลิ่วหมิงไม่ธรรมดา นางมองเขาเป็นศัตรูตัวฉกาจคนหนึ่ง
อีกด้านหนึ่ง ตู้ไห่ยังคงโจมตีหญิงวัยกลางคนที่อยู่ในม่านแสงอยู่ไม่หยุด
แต่ตอนนี้ม่านแสงหดเล็กลงกว่าก่อนหน้านั้นเกือบครึ่งหนึ่ง สีหน้าของหญิงรับใช้วัยกลางคนที่อยู่ในนั้นก็ไม่สงบเหมือนอย่างตอนแรกแล้ว หยาดเหงื่อผุดออกมาเต็มศีรษะ ขณะเดียวกันไอร้อนระอุก็พุ่งออกจากแผ่นหลังอย่างไม่ขาดสาย
ที่เป็นเช่นนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการโจมตีของตู้ไห่ อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะจางซิ่วเหนียงที่ใช้วิชาขี่กระบี่โจมตีค่ายกลอักขระโลหิตอยู่หลายครั้ง
แม้นางจะปล่อยพลังเวทย์ใส่ค่ายกลอักขระโลหิตอย่างสุดชีวิต แต่ก็ยังคงไม่สามารถซ่อมแซมรอยร้าวบนม่านแสงสีเลือดได้ทัน
ม่านแสงสีเลือดในตอนนี้ มีรอยร้าวสิบกว่าแห่ง และรอยร้าวก็ลึกและกว้างขึ้นกว่าเดิม
ชายร่างผอมแห้งที่เดิมทียิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่กลางอากาศ กลับมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา สายตาเขาจ้องมองร่างของหลิ่วหมิงกับต่งไทเฮาอยู่ไม่หยุด เหมือนกับว่ากำลังประเมินความสามารถของทั้งคู่อยู่
เย่เทียนเหมยกลับยืนอยู่บนรถเหาะทองเหลืองด้วยสีหน้าดังเดิม
ไม่ว่าเฝิงหลงจะถูกต่งไทเฮาใช้ตรีศูลแทงทะลุร่าง หรือว่าหลิ่วหมิงควบคุมลูกเปลวไฟยักษ์โจมตีจนชายฉกรรจ์ร่างยักษ์กลายเป็นขี้เถ้า ก็ไม่อาจทำให้สีหน้านางเปลี่ยนไปได้เลยแม้แต่น้อย
แต่โจวเทียนเหอ ชายฉกรรจ์แซ่เหลย และอาจารย์จิตวิญญาณอีกสองคนที่ยืนดูอยู่ข้างๆ กลับมีสีหน้าประหลาดใจกับเหตุการณ์ด้านล่างเป็นอย่างมาก
“พี่เหลย ศิษย์ผู้นี้เป็นใครกัน? คิดไม่ถึงว่าเป็นแค่ศิษย์จิตวิญญาณก็สามารถใช้พลังจิตอันแข็งแกร่งเช่นนี้ควบคุมวิชาได้แล้ว พลังจิตอันแข็งแกร่งเช่นนี้ เกรงว่าคงอยู่ในสิบอันดับแรกของบรรดาศิษย์จิตวิญญาณในนิกายทั้งห้า” ในที่สุดโจวเทียนเหอก็หันมาถามกับชายฉกรรจ์แซ่เหลยอย่างอดไม่ได้
“ศิษย์ผู้นี้เป็นศิษย์แกนนำอับดับต้นๆ คนใหม่ของนิกายปีศาจ และยังได้สร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ให้กับนิกายในตอนที่อยู่แดนลึกลับ ดังนั้นเขาจึงมีพลังไม่ธรรมดา ส่วนชื่อของเขานั้น สหายไม่ต้องถามข้า เพียงแค่กลับไปสืบเล็กน้อยก็จะรู้เอง” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยหัวเราะฮาๆ แล้วกล่าวออกมาอย่างคลุมเครือ
“ที่แท้ศิษย์นิกายท่านผู้นี้ก็ค่อนข้างมีภูมิหลัง แต่ศิษย์แกนนำระดับนี้ ทำไมไม่ฝึกฝนอยู่ในนิกายเพื่อเตรียมทะลวงอาจารย์จิตวิญญาณ แต่กลับมารับตำแหน่งศิษย์ตรวจตราที่เสวียนจิงเช่นนี้ ช่างน่าเสียดายจริงๆ” โจวเทียนได้ยินเช่นนี้ก็พลันยิ้มออกมา
……………………………………….