ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 63 วิกฤตการณ์และผลพวง

ตอนที่ 63 วิกฤตการณ์และผลพวง

ถึงแม้บนตัวแมงป่องกระดูกขาวยังคงมีรอยบาดแผลเช่นเดิม แต่หลิ่วหมิงสามารถสื่อสารกับจิตของมันได้อย่างสบายๆ ทั้งเจอเครื่องหมายจิตวิญญาณของตัวเองที่ประทับไว้ในนั้น

ตอนนี้เขาถึงได้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา

ช่างเหมือนกับที่เขาคิดไว้แต่แรก ในเมื่อจิตของแมงป่องกระดูกขาวตัวนี้เข้าไปในห้องลึกลับว่างเปล่านั้นด้วย และถูกทำให้ศิโรราบในนั้นพอกลับออกมาวิชาสื่อสารจิตวิญญาณก็ยังใช้ได้ผลเช่นเดิม

หลิ่วแตะมือข้างหนึ่งลงไปทันที โซ่ตรวนวิญญาณบนแมงป่องกระดูกขาวก็คลายออกมา ในขณะเดียวกันอักขระบนหัวของมันก็หายไปด้วย เขายิ้มน้อยๆ แล้วก็ลุกขึ้นยืน

แต่ในขณะนั้น เขาพลันรู้สึกว่าทะเลจิตวิญญาณที่แห้งเหือดได้สั่นสะเทือนขึ้น พลังบริสุทธิ์กลุ่มหนึ่งไหลพรั่งพรูออกมา ทำให้พลังเวทภายในร่างเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนยากที่จะเชื่อ

ตอนแรกหลิ่วหมิงตกใจเป็นอย่างมากแต่ครู่เดียวก็รู้สึกดีใจขึ้นมา มือทั้งสองทำท่ามือแล้วเริ่มกำหนดลมหายเข้าออก

ผ่านไปครู่หนึ่ง พลังเวทในร่างเขาก็ฟื้นฟูขึ้นมากว่าครึ่งหนึ่งของพลังเวทก่อนที่จะเข้าไปยังห้องว่างเปล่าลึกลับนั้น แต่พลังที่พรั่งพรูออกมาจากทะเลจิตวิญญาณนั้นเปลี่ยนไปกลายเป็นพลังที่เยือกเย็นอย่างสุดขั้ว

หลิ่วหมิงแค่รู้สึกว่าพลังเยือกเย็นนี้แผ่กระจายภายในร่าง แล้วร่างทั้งร่างเขาก็แข็งทื่อราวกับตกลงไปยังอุโมงค์น้ำแข็ง

เขาตกใจมาก คิดที่จะเปลี่ยนไปใช้วิชาอื่น แต่ชั่วพริบตานั้นแม้แต่นิ้วมือก็ไม่อาจกระดิกได้ พลังเยือกเย็นภายในร่างก็พรั่งพรูออกมาอย่างต่อเนื่องราวกับเป็นท่อระบาย

ใบหน้าหลิ่วหมิงซีดขาวสุดขีด เขาบังคับสายตาให้กวาดมองลงด้านล่างกลับค้นพบว่ามือทั้งสองที่เคยอิ่มเอิบเปล่งปลั่งเหี่ยวเฉาลงกับตาด้วยความรวดเร็ว ในขณะเดียวกันกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆ ก็เริ่มแห้งเหี่ยว และปรากฏสีเขียวจางๆ ขึ้นมา “เปลี่ยนร่างเป็นปีศาจ”

ภายใต้การตกใจของหลิ่วหมิง พลันปรากฏคำที่เคยอ่านเจอในคัมภีร์โบราณขึ้นในสมอง ในขณะเดียวกันก็นึกถึงสาเหตุของพลังเยือกเย็นขึ้นมาได้โดยฉับพลัน

แปดถึงเก้าในสิบส่วนของพวกมันคือปราณหยินจำนวนมากที่แมงป่องกระดูกขาวดูดเข้ามา แล้วถูกเจ้าฟองอากาศกลืนกิน ตอนนี้มันถูกทำให้บริสุทธิ์เหมือนพลังอื่นๆ แล้วสะท้อนกลับคืนมา

แต่สำหรับเขาแล้ว ถึงแม้ปราณหยินเหล่านี้จะสามารถเพิ่มพูนพลังเวทได้ แต่มันก็แฝงพลังเยือกเย็นไว้ด้วย และยิ่งทำให้เลือดเนื้อในร่างของเขากลายเป็นร่างปีศาจธาตุหยิน ครั้นแล้วก็จะกลายเป็นปีศาจตนหนึ่ง

ชั่วพริบตาที่หลิ่วหมิงคิดเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาได้ใจเขาก็ร่วงหล่นลงไป

พลังเยือกเย็นแปลกประหลาดในตัวยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ พลังเวททั่วร่างของเขาก็ราวกับโดนแช่แข็งจนไม่สามารถกระทำการใดๆ ได้

เขารู้สึกลนลานขึ้นมา แต่ทันใดทันนั้นเขาก็ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว ที่จะใช้พลังเวทเสี่ยงกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้น เขาใช้พลังจิตกระตุ้นทะเลจิตวิญญาณทันที

ทะเลจิตวิญญาณที่เกาะกันจนแข็งตัวก็ค่อยๆ กระเพื่อม ในที่สุดพลังเวทจำนวนหนึ่งก็เคลื่อนไหวออกมา

หลิ่วหมิงอาศัยพลังเวทเหล่านี้กระตุ้นเคล็ดวิชากระดูกดำ และยอมเสี่ยงให้ชีพจรต่างๆ เสียหายเพื่อที่จะควบคุมพลังเยือกเย็นเหล่านี้ให้ได้

แต่ตอนที่ฝืนให้เคล็ดวิชากระดูกดำนี้โคจรขึ้นมา เรื่องที่คาดไม่ถึงก็ได้ปรากฏขึ้น

พลังเยือกเย็นแปลกประหลาดแบ่งเป็นสองส่วนในทันที ส่วนหนึ่งกลายเป็นพลังเวทบริสุทธิ์ อีกส่วนหนึ่งกลับค่อยๆ จมหายเข้าไปในกระดูกส่วนต่างๆ อย่างไร้ร่องรอย

หลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึง แต่สถานการณ์ในการตอนนี้ทำได้แค่ยับยั้งไม่ให้ตัวเองกลายร่างเป็นปีศาจ ย่อมไม่สามารถคำนึงถึงเรื่องอื่นๆ ได้ จิตเขาเพียงแค่เคลื่อนไหวเล็กน้อยแล้วก็พยายามกระตุ้นเคล็ดวิชากระดูกดำอย่างสุดชีวิต

ฉากอันน่าแปลกประหลาดได้เกิดขึ้นแล้ว

ด้านหนึ่งหลิ่วหมิงขับพลังเยือกเย็นออกจากทะเลจิตวิญญาณอยู่ไม่หยุด อีกด้านหนึ่งกระตุ้นเคล็ดวิชากระดูกดำ จนทำให้พลังงานเยือกเย็นส่วนหนึ่งก็ค่อยๆ กลายเป็นพลังเวท และอีกส่วนหนึ่งละลายเข้าไปในกระดูก

ในระหว่างที่ทำทั้งสองสิ่งนี้ ก่อให้เกิดความสมดุลชั่วคราว

แต่ในสุดร่างปีศาจที่หลิ่วหมิงกำลังเปลี่ยนแปลงอยู่นี้ก็ได้หยุดลง

เวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา ทะเลจิตวิญญาณของเขาสั่นเล็กน้อยแล้วพลังเยือกเย็นแปลกประหลาดที่พรั่งพรูออกมาก็หยุดลง

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขาเพิ่มการกระตุ้นเคล็ดวิชากระดูกดำให้มากขึ้น

ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เมื่อพลังเยือกเย็นสุดท้ายถูกเคล็ดวิชากระดูกดำละลายไปจนหมด ร่างกายก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ

หลิ่วหมิงหยุดกระตุ้นเคล็ดวิชานี้ แล้วสังเกตดูมือทั้งสองที่กลับมาอิ่มเอิบเปล่งปลั่งดังเดิม เขาถอนหายใจยาวออกมา แต่ความหวาดกลัวในใจยังไม่หายไป

ถ้าเมื่อครู่เขาลังเลอีกเล็กน้อย เกรงว่าคงจะต้องกลายเป็นปีศาจไปแล้วจริงๆ

แต่เคล็ดวิชากระดูกดำนี้สามารถละลายพลังเยือกเย็นที่ค่อยๆ กัดกร่อนเข้ามาได้ เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก

ถ้าหากเป็นเช่นนี้ล่ะก็เท่ากับว่าถึงแม้ต่อไปเขาจะอยู่ที่แดนปีศาจปรโลกเป็นเวลานาน ก็ไม่มีปัญหาอะไร? ไม่สิ ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริงๆ ล่ะก็ ตอนที่เขาเพิ่งเข้ามายังแดนปีศาจปรโลก และลองกระตุ้นฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำทำไมถึงไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ แต่ตอนนี้พลังเยือกเย็นบริสุทธิ์ภายในร่างเขาต่างกับปราณหยินทั่วไปมากนัก

พลังที่ปราณหยินสร้างขึ้นมาทั้งหมดนั้น มันถูกส่งเข้ามาจากแมงป่องกระดูกขาวตัวนั้นก่อน จากนั้นผ่านการกลืนกินของเจ้าฟองอากาศลึกลับนั่นแล้วคลายออกมาเป็นพลังอันบริสุทธิ์ ดังนั้นลักษณะเฉพาะของมันจึงเปลี่ยนไปไม่น้อย

หลิ่วหมิงคิดแบบนี้แล้วก็สะบัดศีรษะ

ยิ่งไปกว่านั้น เหตุการณ์เมื่อครู่เกือบจะทำให้เขากลายเป็นปีศาจตนหนึ่ง ช่างหวาดเสียวเสียจริง ต่อให้ฝึกฝนอยู่ที่นี่แล้วมีพลังเพิ่มพูนขึ้น แต่เขาก็จะไม่ยอมลิ้มรสชาติแบบนี้อีกเด็ดขาด

พอหลิ่วหมิงนึกถึงแมงป่องกระดูกขาวก็หันไปมองอย่างอดไม่ได้ เขารู้สึกตะลึงเล็กน้อย

ตอนนี้แมงป่องกระดูกขาวถูกไอสีเขียวกลุ่มใหญ่ปกคลุมจนจมอยู่ในนั้น

ด้วยความหนาแน่นเข้มข้นจนเกือบเกาะตัวเป็นก้อนของไอสีเขียวกลุ่มนี้ แม้แต่สายตาของหลิ่วหมิงก็ไม่อาจมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันกำลังทำอะไรอยู่ในนั้น

คิ้วเขาขมวดเข้าหากัน แล้วก็นึกถึงพลังเยือกเย็นที่สะท้อนกลับมาเมื่อสักครู่

ในเมื่อแมงป่องกระดูกขาวตนนี้ก็เข้าไปในห้องว่างเปล่าลึกลับเหมือนกัน หรือว่าก็มีพลังสะท้อนแบบนี้กลับมาให้มันด้วย ถ้าหากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ล้วนแต่เป็นประโยชน์กับเขาทั้งนั้น

คิดได้แบบนี้ หลิ่วหมิงก็รู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อยแล้วรอคอยอย่างเงียบๆ อยู่อีกมุมหนึ่ง

รอไปรอมา เวลาหนึ่งมื้อข้าว[1] ก็ผ่านไป

เมื่อเสียงร้องประหลาดดังขึ้น ไอสีเขียวกระจายออกไป ร่างแมงป่องกระดูกขาวก็ปรากฏออกมา

หลิ่วหมิงมองดูอย่างละเอียดแล้วก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

แมงป่องกระดูกขาวในตอนนี้มีเปลวไฟสีเขียวคุโชนอยู่ในเบ้าตาทั้งสอง หางตะขอก็เปล่งประกายสีดำวาว รอยแผลบนตัวหายไปจนหมดสิ้นตัวของมันก็ยาวกว่าเดิมครึ่งฉื่อ แต่รูดำๆ ข้างตัวก็ยังคงอยู่ ขณะเดียวกันสีกระดูกตรงลำตัวก็คล้ายกับค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเขาเทาขึ้นมา เหมือนจะไม่เป็นสีขาวอย่างตอนแรก

หลิ่วหมิงเห็นดังนี้ ย่อมรู้สึกแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก แต่หลังจากใช้วิชาสื่อสารกับจิตของมันแล้ว ก็บังเกิดความดีใจขึ้นมาอีกครั้ง

ถึงแม้ตอนนี้แมงป่องกระดูกขาวจะยังไม่มีพลังเต็มเปี่ยม แต่ก็ฟื้นฟูมาได้เจ็ดถึงแปดในสิบส่วนแล้ว แค่รักษาอาการบาดเจ็บให้หายก็ไม่เป็นไรแล้ว และก็ยังสามารถใช้พลังในการทะยานฟ้าได้

แต่พอเขาได้รู้จากจิตที่ส่งมาแมงป่องกระดูกขาวว่า สิ่งที่จำเป็นต้องใช้ในการรักษาอาการบาดเจ็บนั้นคืออะไร เขาก็แสยะปากขึ้นมา

เพราะว่าครั้งนี้ร่างของมันได้รับบาดเจ็บสาหัส จำเป็นต้องกลืนกินกระดูกของปีศาจตนอื่น ถึงจะค่อยๆ ฟื้นฟูขึ้นเองได้

แต่ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ตอนนี้เขาไม่อาจกลับไปได้แล้ว จำเป็นต้องรวบรวมกระดูกปีศาจจำนวนหนึ่งก่อน ถึงจะพาแมงป่องกระดูกขาวนี้กลับนี้นิกายปีศาจอย่างไร้กังวล

หลิ่วหมิงคิดชั่งใจแล้วก็ได้แต่ตัดสินใจทำตามที่คิดไว้

ยังดีที่ก่อนหน้าถึงแม้เขาจะใช้เวลาไปไม่น้อย แต่ก็ยังมีเวลาเหลืออีกครึ่งเดือน ใช้เวลานี้หาปีศาจระดับต่ำสักสองสามตัวคงจะไม่ยากเย็นเท่าไหร่หรอก

หลังจากหลิ่วหมิงวางแผนในใจแล้วก็สั่งให้แมงป่องกระดูกขาวระวังภัยอยู่แถวนั้น ส่วนตนเองอาศัยโอกาสนี้ทำการตรวจสอบร่างกายของตนเองอย่างละเอียด

เจ้าฟองอากาศตรงทะเลจิตวิญญาณหายไปอย่างไร้ร่องรอย พลังเวทบริสุทธิ์กว่าแต่ก่อนเล็กน้อย และพลังเวทกลับไม่ได้ลดลงไปมากนัก ประจักษ์แจ้งว่าเป็นเพราะพลังเยือกเย็นเหล่านั้นกลายเป็นพลังเวทให้เขาไม่น้อย

เมื่อจิตของเขากวาดดูทุกส่วนภายในร่างแล้ว สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนขึ้นมา

โครงกระดูกแต่ละส่วนขาวสะอาดกว่าแต่ก่อนมาก และยังเปล่งประกายแพรวพราวอยู่ไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าแน่นหนากว่าแต่ก่อนมาก

“นี่คือ……”

เขาใช้จิตค่อยๆ สัมผัสกับกระดูกท่อนหนึ่ง รับรู้ได้ถึงความเยือกเย็นในทันที แต่เมื่อเขาโคจรเคล็ดวิชากระดูกดำกลับรู้สึกปกติทุกอย่างไม่มีสิ่งใดติดขัดเลยแม้แต่น้อย

หลิ่วหมิงตรวจสอบดูที่อื่นๆ ก็ไม่ค้นพบความผิดปกติใดๆ ถึงได้รู้สึกวางใจขึ้นมา

เขาดึงจิตกลับมา แล้วเริ่มวิเคราะห์ถึงปัญหาของเจ้าฟองอากาศลึกลับนั้น

ฟองอากาศนี้ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ซ่อนอยู่ในร่างเขา ไม่รู้ว่าจะระเบิดออกมาตอนไหน ทั้งยังดูเหมือนจะกลืนกินพลังเวทมากขึ้นทุกครั้ง

ถ้าครั้งนี้เขาไม่อยู่ในแดนปีศาจปรโลก และมีแมงป่องกระดูกขาวที่ไม่รู้ว่าใช้พรสวรรค์อันใดในการดูดปราณหยินเสริมให้เขา ก็คงไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะตกอยู่ในสภาพแบบไหน

และถ้าครั้งหน้ามันระเบิดขึ้นมาในตอนที่เขากำลังต่อสู้ล่ะก็ เขาไม่ต้องตายสถานเดียวหรอกหรือ

แน่นอนว่าพลังบริสุทธิ์ของเจ้าฟองอากาศนี้ กับพลังที่ทำให้เขาเข้าไปในห้องว่างเปล่าลึกลับราวกับฝันนั้น ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นไม่หยุด

พอหลิ่วหมิงคิดถึงจุดนี้ก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา

ดูจากความห่างของเวลาที่ระเบิดทั้งสองครั้งในก่อนหน้านั้นแล้วดูเหมือนจะใช้เวลานานขึ้นในแต่ครั้ง หรือว่าจะต้องมีเงื่อนไขบางอย่างให้มันพึงพอใจ แต่ช่วงระยะเวลาอันสั้นนี้ก็ไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้แล้ว

หลิ่วหมิงคิดทบทวนไปมาอยู่ในใจตั้งนาน แต่ก็ไม่สามารถหาวิธีแก้ไขได้ ทำได้แค่ทิ้งเรื่องนี้ไว้ในสมองรอกลับไปนิกายปีสาจแล้วค่อยคิดอีกรอบ

ที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือหาปีศาจตัวอื่นๆ มาอีกสักหน่อย

ดังนั้นหลิ่วหมิงจึงสงบจิตก่อนจากนั้นจึงลุกขึ้นมาทำท่ามือด้วยมือเดียว เมฆเทาก้อนหนึ่งก่อตัวขึ้นใต้เท้าของเขาแล้วดันเขาขึ้นสูงหลายจั้ง

ตอนนี้หลิ่วหมิวถึงกวักมือเรียกแมงป่องกระดูกขาวที่อยู่ด้านล่าง

เสียงดัง “ซู่!”

แมงป่องกระดูกขาวกระโดดขึ้นจากพื้นทันที แล้วลงมาอยู่บนเมฆเทาอย่างมั่นคง

พอหลิ่วหมิงกระตุ้นเคล็ดวิชา เมฆเทาก็ทะยานออกไป

……

สองวันผ่านไป ตรงขอบทะเลทรายสีดำมีปีศาจรูปร่างคล้ายแพะกับวัวตนหนึ่ง มีเปลวไฟสีเขียวบางๆ ปกคลุมอยู่บนตัวมัน และมันกำลังวิ่งหนีบนพื้นทรายดำอย่างสุดชีวิตดูแล้วละลานตาเป็นอย่างมาก แต่ด้านหลังของมัน มีกองทรายนูนกองหนึ่งเคลื่อนไหวอย่างตามติดอย่างรวดเร็ว

พริบตาเดียวทั้งสองก็วิ่งออกไปได้ไกลหลายลี้

เสียงดัง “ซู่!”

พลันปรากฏเส้นสีดำพุ่งออกมาจากกองทราย พริบตาเดียวก็ฝังเข้าไปยังตัวของปีศาจที่อยู่ด้านหน้า และฉุดลากกลับมาทันที สิ่งนั้นคือหางแมงป่องแหลมเล็กสีดำเงานั่นเอง

เสียงร้องอย่างน่าเวทนาดังขึ้น

ปีศาจตัวหน้าล้มตัวหงายเท้าขึ้นฟ้า ในตอนนั้นเองกองทรายก็ระเบิดออกมาเงาร่างสีขาวพุ่งออกมาจากในนั้น และกระโจนไปทับอยู่บนตัวปีศาจตัวหน้า

ก้ามยักษ์ทั้งสองเปล่งแสงประกายออกมา มันแค่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วครู่หนึ่งก็จัดการตัดปีศาจตนนี้ออกเป็นชิ้นๆ

……………………………………….

[1] เวลาหนึ่งมื้อข้าว คือ เวลาที่ทานข้าวอิ่มหนึ่งมื้อ ซึ่งใช้เวลาราวๆ 30 นาที

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset