ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 324 ออกจากเจดีย์กักปีศาจ

พลังเวทย์ค่อยๆ พุ่งเข้าไป รูปนาฬิกาทรายบนศิลาจารึกก็ค่อยๆ เปล่งประกายแสงสีทองจางๆ และสว่างขึ้นเรื่อยๆ

พอหลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ใจของเขาก็เต้นแรงขึ้นมา แต่ก็กัดฟันส่งพลังเวทย์เข้าไปในศิลาจารึกต่อ

ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป เมื่อเขาส่งพลังเวทย์เข้าไปประมาณหนึ่งในสามของพลังเวทย์ทั้งหมดแล้ว นาฬิกาทรายในทะเลจิตรับรู้ก็กลายเป็นแสงแดดสีทอง และส่องแสงละลานตา

หลิ่วหมิงพลันได้ยินเสียงดัง “หวึ่ง!” ข้างหู จากนั้นดวงตาทั้งคู่ก็มืดลง และมาปรากฏตัวในห้องว่างเปล่าสีเทาอีกครั้ง

หลิ่วหมิงจ้องมองสถานที่แห่งนี้ด้วยความรู้สึกตกใจระคนดีใจ ขณะที่เขายังไม่ทันจะทำอะไร แสงสีทองก็ม้วนตัวออกจากระหว่างคิ้ว พอมีเสียงดัง “ตู๊ม!” ศิลาจารึกก็มาตั้งอยู่ตรงหน้า

ศิลาจารึกยังคงมีขนาดใหญ่เท่าเดิม เพียงแต่ครั้งนี้ด้านบนกลับเป็นสีขาว และข้างล่างกลับเป็นสีดำเหมือนเดิม และเริ่มมีเม็ดทรายสีเงินร่วงหล่นลงมา

ราวกับว่าชั่วเวลาหนึ่งอึดใจ มันจะหล่นลงไปหนึ่งเม็ด

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้

แม้เขาจะไม่รู้ที่มาของห้องว่างเปล่าลึกลับ แต่ก็นับว่ารู้วิธีการเข้าออกห้องว่างเปล่าแห่งนี้แล้ว

สิ่งนี้ ทำให้ความรู้สึกอึดอัดใจของเขาคลายลงไปมาก

แต่พอกวาดสายตามองนาฬิกาทรายบนศิลาจารึก และประมาณเวลาคร่าวๆ แล้ว เขาก็นั่งขัดสมาธิลงตรงหน้า และรอคอยอย่างเงียบๆ

หนึ่งชั่วยามผ่านไป เมื่อเม็ดทรายสีเงินเม็ดสุดท้ายในนาฬิกาทรายร่วงลงไปจนหมดสิ้น นาฬิกาทรายก็กลับด้านอีกครั้ง

พอมีเสียงดัง “หวึ่ง!” ข้างหู เขาก็มาปรากฏตัวบนแท่นบูชาอีกครั้ง

พอลืมตาทั้งสองขึ้น ก็นำจิตจมดิ่งไปยังศีรษะทันที

ศิลาจารึกที่ด้านบนเป็นสีดำ ด้านล่างเป็นสีขาวตั้งตระหง่านอยู่ในทะเลจิตรับรู้

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ถอนหายใจยาวๆ ออกมา

เวลาต่อมา เขาทำการครุ่นคิดอย่างเงียบๆ เพื่อหาสาเหตุที่ศิลาหุนเทียนปรากฏออกมาโดยฉับพลัน!

หลังจากคิดไตร่ตรองจนมั่นใจแล้ว ก็รู้ว่าแปดถึงเก้าในสิบส่วนล้วนเกี่ยวข้องกับใบหน้าขนาดยักษ์ที่ปรากฏในห้องว่างเปล่าลึกลับ

ใบหน้าขนาดยักษ์ มีลักษณะเหมือนกับใบหน้าเขาไม่มีผิด มันคงกลายร่างมาจากสิ่งของของผู้ชิงร่างเขาในก่อนหน้านั้น

ดูจากสภาพที่มันถูกม่านแสงสีขาวต้านทานไว้ และพยายามพุ่งออกมา คิดว่าคงจะถูกผนึกไว้เช่นกัน

ก่อนหน้านั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร มันถึงสามารถพุ่งออกมาได้ ดังนั้นจึงได้กลายร่างเป็นเขา และอาศัยตอนที่พลังจิตของเขาอ่อนแอชิงร่างเขาไป

แต่ครั้งนี้ มันกลับทำไม่สำเร็จ ทั้งยังถูกผนึกไว้ตรงหน้าเขา และถูกเขาโจมตีจนเสียชีวิต

สิ่งนี้นับว่าเป็นเรื่องดีสำหรับหลิ่วหมิง

แต่จะว่าไปแล้ว ในห้องว่างเปล่าลึกลับนี้ มีสิ่งของผนึกอยู่มากน้อยแค่ไหนกัน

ดูจากฝันอันแปลกประหลาดของเขาในก่อนนั้น เหมือนกับว่ามันไม่ได้มีแค่ตัวเดียว

ถ้าเป็นเช่นนี้จริงๆ ล่ะก็ เขายังคงมีอันตรายจากการถูกชิงร่างอยู่ ควรจะหาอาวุธจิตวิญญาณที่สามารถป้องกันการชิงร่างถึงจะได้

หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ และรู้สึกกลัดกลุ้มขึ้นมา ผ่านไปซักพักถึงเรียกสติกลับมาได้ พอเขากวาดพลังจิตออกไป ก็เห็นกลุ่มไอดำเหล่านี้ อยู่ในทะเลจิตรับรู้ของเขา

ด้วยเหตุนี้ หลังจากหลิ่วหมิงสังเกตดูสองสามที และใช้พลังจิตกวาดดูแล้ว กลับค้นพบว่ามันคือสิ่งที่ไม่มีชีวิต และพอสัมผัสอะไรไม่ได้อีก เขาก็รู้สึกวางใจขึ้นมา และรีบกระตุ้นพลังจิตอันแข็งแกร่งทันที เพื่อที่จะบีบให้ไอดำกลุ่มนี้ออกจากร่างเขาไป

“ฟู่!”

พริบตาที่พลังจิตอันแข็งแกร่งสัมผัสกับมัน ไอดำก็ระเบิดตัวเป็นไหมดำจำนวนมาก และสลายตัวไปจากทะเลจิตรับรู้ของเขา

หลิ่วหมิงรีบใช้พลังจิตกวาดดูทะเลจิตรับรู้ด้วยความตกใจ แต่กลับไม่พบร่องรอยของกลุ่มไอดำเลย

เขารู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาทันที จากนั้นก็เปลี่ยนไปใช้เคล็ดวิชาอื่นๆ กวาดดูทั่วร่างอีกหลายรอบ แต่ก็หาเจอสิ่งใดไม่ ราวกับว่าไอดำกลุ่มนี้ ไม่ได้มีอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว

จนเมื่อค้นหาไปได้สองชั่วยามกว่า เขาก็ต้องจำใจละทิ้งมันไป

ดีที่ว่ากลิ่นไอของไอดำเหล่านี้เบาบางมาก อย่างมากก็แค่กลับไปยืมอาวุธจิตวิญญาณธาตุหยินมาประสานกับอัคคีพลังชีวิต กวาดดูทั้งภายในและภายนอกร่างกาย คิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไรแล้ว

พอหลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองได้เช่นนี้ ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา

พอเขาดึงพลังจิตกลับมา ก็หยิบโอสถฟื้นฟูพลังเวทย์เม็ดหนึ่งออกมารับประทานทและทำการฟื้นฟูพลังเวทย์อย่างเงียบๆ

ผ่านไปหนึ่งชั่วยามครึ่ง ตอนที่หลิ่วหมิงลุกขึ้นจากพื้นนั้น พลังเวทย์ที่สูญเสียไปก็ฟื้นคืนมากว่าครึ่งหนึ่ง

เขาโบกมือไปทางแมงป่องกระดูก ที่นอนหมอบอยู่ตรงขอบแท่นบูชาโดยไม่ขยับเขยื้อน จากนั้นก็พามันลอยออกไปจากแท่นบูชา

ผ่านไปไม่นาน หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวตรงใต้ดินของเจดีย์ชั้นที่หก และเปล่งประกายออกมาจากแสงทรงกลดสีขาว

บนตัวเขามีลำแสงของยันต์ดำดินเปล่งประกายอยู่จางๆ พอเขาเห็นทุกอย่างที่อยู่รอบด้านยังคงเหมือนตอนที่จากไป และไม่มีคนอื่นๆ อยู่บริเวณนั้นแล้ว ก็รู้สึกวางใจขึ้นมา

หลิ่วหมิงหันมองแสงทรงกลดสีขาวตรงด้านหลังสองสามที และดึงกระบี่สั้นสีทองออกมาจากแขนเสื้อ พอกระตุ้นพลังเวทย์เข้าไป ก็ฟันไปยังรอยร้าวกลางอากาศอย่างบ้าคลั่ง

พริบตาเดียว ลำแสงสีทองก็ฟันออกไปราวกับมังกรที่บ้าคลั่ง

ตอนแรกแสงทรงกลดสีขาวยังคงต้านทานไว้ได้ แต่พอแสงกระบี่โจมตีถี่ขึ้นเรื่อยๆ ก็มีคลื่นสั่นสะเทือนออกมา มีเสียงดังหวึ่งๆ ออกมาจากแสงทรงกลดสีขาว และเริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ฟันออกไปอย่างรุนแรงอีกครั้ง จากนั้นก็หมุนตัวทะยานขึ้นไปทันที

ผ่านไปซักพัก เขาก็กลายเป็นกลุ่มไอดำพุ่งขึ้นจากใต้ดิน พอเคลื่อนไหวสองสามทีก็ขยับห่างออกมาสิบกว่าจั้ง

เม็ดทรายบนพื้นกระเด็นไปทั่วทิศ แต่ครู่ต่อมาก็บังเกิดเป็นหลุมทรายขนาดใหญ่

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ลังเลเล็กน้อย พอสะบัดแขนเสื้อ พายุบ้าระห่ำก็ก่อตัวขึ้น เม็ดทรายบริเวณนั้น ม้วนตัวมาถมหลุมจนดูราบเรียบขึ้นมา

ที่เขาทำเช่นนี้ย่อมเป็นเพราะว่า สถานที่ที่เขาไปในก่อนหน้านั้น มีความเป็นได้แปดถึงเก้าส่วนว่า อาจเป็นสถานที่บางแห่งของแดนลึกลับเล็กๆ ที่เชื่อมต่อกับเจดีย์กักปีศาจ และชายชราที่ถูกบาทายักษ์สังหาร ก็ดูไม่เหมือนคนธรรมดาในนิกายหยวนหมัว

หลิ่วหมิงไม่อยากให้คนรู้ว่า ตนเองเคยไปสถานที่แห่งนั้น มิเช่นนั้นอาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาไม่ใช่น้อย

เขาตรวจสอบพื้นที่บริเวณนั้นอีกรอบ พอไม่ค้นพบความผิดปกติใดๆ แล้ว ถึงทำท่ามือด้วยมือเดียว เพื่อเรียกเมฆดำออกมา จากนั้นก็เหาะไปทางค่ายกลส่งตัวของชั้นหก

ไม่นาน หลิ่วหมิงก็ร่อนลงจากอากาศ และเดินไปยังค่ายกลที่อยู่ไม่ไกล

หานหลีกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในม่านแสงข้างค่ายกล ศพอสรพิษยักษ์สีดำถูกวางอยู่ที่นั่นไม่ขยับเขยื้อน

พอชายหนุ่มเห็นหลิ่วหมิงเดินเข้ามา ก็ลืมตาทั้งคู่ขึ้น และถามด้วยความเร่งรีบ

“พี่หลิ่ว ลำบากท่านแล้ว ไปนานขนาดนี้ ดูท่าจะต้องทำสำเร็จอย่างแน่นอน”

หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย พอสะบัดข้อมือ ผลึกสีดำก้อนดำหนึ่งก็พุ่งออกมา

ชายหนุ่มตาเป็นประกายขึ้นมาทันที หลังจากนำผลึกมาตรวจสอบดูรอบหนึ่งแล้ว ก็กล่าวอย่างดีอกดีใจ

“ไม่เลว! นี่เป็นแก่นปีศาจของมารอสรพิษอย่างแน่นอน! ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ นับว่าพวกเราทำภารกิจนี้สำเร็จอย่างสมบูรณ์แล้ว ใช่สิ! ศพของมารอสรพิษเป็นวัสดุล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง พี่หลิ่วอยากได้ส่วนไหน ก็รีบเอาไปเถอะ ที่เหลือค่อยนำกลับไปรายงาน”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่เกรงใจแล้ว” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกดีใจมาก

จากนั้นแสงสีทองก็เปล่งประกายในมือ เขาตัดเอาหนังส่วนท้องมาแผ่นใหญ่ๆ และควักลูกตาขนาดเท่ากำปั้นออกมาข้างหนึ่ง จากนั้นก็เคาะเอาเขี้ยวในปากไปหลายซี่ และเก็บมันเข้าไปด้วยความพอใจ

“พี่หลิ่วสายตายอดเยี่ยมจริงๆ!”

“หนังตรงส่วนท้องของอสรพิษ เหมาะสำหรับสร้างเป็นเกราะอ่อนติดตัว และยังเป็นวัสดุชั้นยอดในการสร้างยันต์ระดับสูง ส่วนลูกตาอสรพิษ หากรับประทานสดๆ จะทำให้สายตาดี จิตใจปลอดโปร่ง หากนำมาปรุงโอสถ ก็สามารถปรุงโอสถล้ำค่าได้หลากหลายชนิด ส่วนเขี้ยวอสรพิษ เป็นวัสดุในการหลอมอาวุธที่หาได้ยาก แม้กระทั่งอาจหลอมเป็นอาวุธจิตวิญญาณพิเศษได้หลายอย่าง” หานหลีเห็นเช่นนี้ ก็โปรยยิ้มออกมา จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ ปล่อยยันต์สีเหลืองลงบนศพอสรพิษยักษ์

“ฟู่!”

พอแสงสีขาวม้วนตัวออกไป ศพอสรพิษยักษ์บนพื้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

พอชายหนุ่มโบกมือข้างหนึ่งออกไป ยันต์เก็บของผืนนี้ ก็พุ่งยิงกลับมา

หลิ่วหมิงหัวเราะ และไม่ได้กล่าวอะไรอีก

เวลาต่อมา หานหลีก็ไม่ได้คะยั้นคะยอถามหลิ่วหมิงว่า สังหารอสรพิษดำที่หนีไปได้อย่างไร หลังจากพูดคุยเรื่อยเปื่อยไปสองสามประโยคแล้ว ทั้งสองก็นั่งเข้าฌานอยู่ตรงขอบค่ายกล เพื่อรอเวลาให้ค่ายกลส่งตัวกลับไป

เวลาค่อยๆ ผ่านไป พริบตาเดียวก็เข้าสู่เย็นวันที่สาม

คลื่นอากาศสั่นสะเทือนในค่ายกลชั่วคราวหลังหนึ่ง ที่อยู่รอบๆ เจดีย์กักปีศาจ ร่างของหลิ่วหมิงและหานหลีปรากฏออกมาจากในนั้น

หลิ่วหมิงกวาดสายตาดูรอบด้านอยู่ครู่หนึ่ง และแสดงสีหน้าแปลกใจออกมา

บริเวณรอบๆ นอกจากจะมีค่ายกลชั่วคราวสองสามหลัง กับศิษย์นิกายหยวนหมัวที่ถูกส่งออกมาแล้ว อาจารย์จิตวิญญาณที่ยังอยู่บริเวณนั้น ก็มีแค่เซียวเยวี่ยไป๋คนเดียวเท่านั้น

ส่วนประมุขนิกายหยวนหมัว และผู้ฝึกฝนระดับผลึกคนอื่นๆ ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

“ศิษย์พี่เซียว เกิดอะไรขึ้น?” หานหลีเห็นเช่นนี้ ก็ถามด้วยสีหน้าตกใจ

“ไม่มีอะไร ก็แค่เกิดเรื่องบางอย่างในนิกายเท่านั้น ศิษย์พี่สวี่กับศิษย์น้องคนอื่นๆ ไปจัดการแล้ว สหายหลิ่ว ศิษย์น้องหาน การเดินทางครั้งนี้ราบรื่นดีหรือไม่?” พอเซียวเยวี่ยไป๋เห็นทั้งสองปรากฏออกมา ก็ฝืนยิ้มและกล่าวออกไป

“ศิษย์พี่วางใจเถอะ! พวกเราสังหารมารอสรพิษตนนั้นแล้ว! โชคดีที่มีพี่หลิ่วช่วยเหลือ หากเป็นคนอื่นล่ะก็ ข้าคงไม่สามารถออกจากเจดีย์ได้ ใช่สิ! นี่คือแก่นปีศาจของมารอสรพิษตนนั้น!” แม้หานหลีจะรู้สึกว่าสีหน้าของเซียวเยวี่ยไป๋ดูผิดปกติเล็กน้อย แต่ก็ยังคงตอบตามความเป็นจริง จากนั้นก็โยนผลึกสีดำออกไป

เซียวเยวี่ยไป๋ได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย พอรับผลึกหินสีดำมา และใช้พลังจิตตรวจสอบแล้ว ก็ถอนหายใจเบาๆ ก่อนกล่าวกับหลิ่วหมิง

“เป็นแก่นปีศาจของมารอสรพิษตนนั้นไม่มีผิด หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ นับว่าสหายหลิ่วทำภารกิจที่ทางนิกายเราไหว้วานได้สำเร็จแล้ว เดิมทีศิษย์พี่ท่านประมุขอยากจะต้อนรับท่านอย่างดีสักหน่อย แต่ตอนนี้เกิดเรื่องกะทันหันขึ้นในนิกาย เกรงว่าไม่อาจให้สหายอยู่ในนิกายนานได้”

“ในเมื่อนิกายท่านมีเรื่องสำคัญต้องจัดการ ย่อมเป็นเรื่องปกติ ข้าเองก็จากนิกายมานานแล้ว เดิมทีก็กะจะกลับนิกายหลังจากทำภารกิจสำเร็จเช่นกัน ว่าแต่ข้าขอถามหน่อยได้หรือไม่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นในนิกายของท่านกันแน่ มีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่!” หลิ่วหมิงได้ยินก็ตอบอย่างไม่ลังเล

……………………………………

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset