ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 363 เกิดภัยพิบัติอีกครั้ง

ผู้อาวุโสคิ้วดำเห็นฉากเช่นนี้ ก็รู้สึกโล่งใจทันที พอโบกมือออกไป แท่งสามเหลี่ยมก็พร่ามัวและลดขนาดลงจนเหลือไม่กี่ชุ่น จากนั้นจมหายไปในแขนเสื้อของเขา

ขณะนี้เขาถึงหันไปกล่าวกับเย่เทียนเหมย

“ไม่เจอกันนานหลายปี วิชาขี่กระบี่ของท่านเซียนเย่ก้าวหน้าไม่น้อย ด้วยอานุภาพอันร้ายกาจของการฝึกฝนสายกระบี่ หากท่านไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส หมาซู่ผู้นี้ไม่ต้องพูดถึง ต่อให้เป็นข้าที่ปะทะกับท่าน ก็คงต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย”

“ผู้อาวุโสหลิวชมเกินไปแล้ว ข้าเพิ่งเข้าสู่ระดับผลึกขั้นต้นมาสิบกว่าปี ไหนเลยจะสู้ระดับผลึกขั้นกลางอย่างผู้อาวุโสหลิวได้ แม้ว่าสายกระบี่จะแข็งแกร่ง แต่การบรรลุขั้นยากกว่าผู้ฝึกฝนทั่วไปมาก หากข้าอยากบรรลุไปอีกขั้น ยังไม่รู้เลยว่าต้องใช้เวลานานเท่าใด” เย่เทียนเหมยกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ท่านเซียนเย่เป็นคนตรงไปตรงมา หลายปีมานี้ ข้าได้ยินคนบนเกาะเล่ากันว่า ท่านเป็นผู้ดำเนินการอาวุโสของพันธมิตรอวิ๋นชวน ต้องขอแสดงความยินดีกับท่านด้วย” ผู้อาวุโสคิ้วดำเปลี่ยนหัวข้อสนทนาในฉับพลันแล้วกล่าวแสดงความยินดีกับเย่เทียนเหมย

“สหายพูดตลกแล้ว นั่นเป็นเพียงแค่รูปแบบที่ถูกบังคับเท่านั้น” เย่เทียนเหมยกล่าวอย่างราบเรียบ

“เฮ่อๆ! ท่านเซียนเย่ถ่อมตัวเกินไปแล้ว ตอนนี้ท่านได้รับบาดเจ็บ หากไม่รังเกียจล่ะก็ ไปพักที่ถ้ำข้าสักหน่อยไหม ถ้ำของข้าอยู่ทางด้านนั้น ห่างจากที่นี่ไม่ถึงร้อยกว่าลี้” ผู้อาวุโสหลิวหัวเราะฮ่าๆ แล้วดูเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงชี้มือไปยังทิศทางบางแห่งแล้วกล่าวออกมา

“ขอบคุณน้ำใจของสหาย ข้ายังมีเรื่องต้องทำ ไม่สามารถหยุดอยู่ที่นี่นานได้ ข้าว่า……” เย่เทียนเหมยมองไปทางที่ผู้อาวุโสหลิวชี้ แล้วปฏิเสธอย่างนุ่มนวล

แต่นางกล่าวยังไม่ทันจบ ก็รู้สึกว่ามีไอเย็นม้วนตัวมาจากตำแหน่งที่ผู้อาวุโสยืนอยู่

เย่เทียนเหมยรู้สึกตกใจมาก แต่ก็ไหวตัวอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแปลกประหลาดนั้น ร่างของนางก็ร่นถอยไปทันที

แต่ภายใต้สถานการณ์ที่คาดไม่ถึง ทำให้ไหวตัวช้าไปเล็กน้อย

อากาศตรงหน้านางสั่นสะเทือน แท่งสามเหลี่ยมสีฟ้าพุ่งเข้ามา มันแฉลบผ่านไหล่ขวาของนางไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียว แขนของนางก็เย็นสะท้านจนเกิดอาการชาไปทั้งแขน และค่อยๆ ลุกลามไปตามส่วนอื่นๆ ของร่างกาย!

เย่เทียนเหมยขยับตัวออกห่างผู้อาวุโสหลิวสิบกว่าจั้ง นางใช้นิ้วกดลงบนส่วนต่างๆ ของแขน เพื่อปิดทางเดินชีพจรไว้ และหยิบยันต์สีเขียวมาแปะไว้บนตัว

กลุ่มแสงสีเขียวเปล่งประกายออกมา รูเลือดบนไหล่ของนางสมานกันอย่างรวดเร็ว

ขณะนี้ เย่เทียนเหมยจ้องหน้าผู้อาวุโสหลิวแล้วกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

“พูดมาเถอะ! เหตุใดถึงทำเช่นนี้ อย่าบอกนะว่าที่โจมตีข้าในฉับพลัน เป็นเพราะว่าเพิ่งคิดแผนขึ้นมาได้”

“สมกับเป็นผู้ฝึกฝนกระบี่หญิงอันดับหนึ่งในอวิ๋นชวน มาถึงเวลานี้แล้วยังสงบได้ถึงเพียงนี้ น่าเสียดายที่ข้าไม่อาจบอกสาเหตุที่ทำเช่นนี้ได้ แต่ท่านเซียนวางใจเถอะ ข้าไม่ทำอันตรายท่านจนถึงแก่ชีวิต แม้กระทั่งอาจกล่าวได้ว่านี่เป็นโอกาสสำหรับท่าน” ผู้อาวุโสคิ้วดำเห็นเช่นนี้กลับเอ่ยปากชมเชย เขาแสดงสีหน้าเมตตาและนุ่มนวลออกมา คนที่ไม่รู้มาก่อน ย่อมคิดว่าเขาเป็นคนดีมาก

“สหายหลิวลอบโจมตีเช่นนี้ ยังบอกว่าเป็นโอกาสของข้า พูดเช่นนี้ข้าควรจะซึ้งใจดีหรือไม่?” เย่เทียนเหมยเลิกคิ้วถาม

“จะว่าไปแล้ว ข้ากับนิกายของท่านมีความสัมพันธ์ค่อนข้างลึกซึ้ง ข้ากับท่านเซียนก็สนิทสนมกันอยู่บ้าง ด้วยเหตุนี้ท่านไม่ต้องตื่นตระหนกไป แค่ทำตามที่ข้าบอก ข้าจะรับรองความปลอดภัยให้ท่าน” ผู้อาวุโสหลิวกล่าวอย่างไม่รีบร้อน

“ฮึ! ใช่หรือ? สหายหลิวพูดเหมือนง่าย แต่ท่านคิดว่าการโจมตีเมื่อครู่ ก็สามารถจับกุมข้าได้หรือ?” เย่เทียนเหมยกล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“ตอนนี้ท่านเซียนได้รับบาดเจ็บสาหัส ทางที่ดีไม่ควรขยับตัวจะดีกว่า” ผู้อาวุโสได้ยินเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไป สีหน้าดูเคร่งขรึมขึ้นมามาก

เย่เทียนเหมยไม่พูดอะไรให้มากความ นางขยี้ยันต์สีเงินจางๆ ในมือจนแตกละเอียด ภายใต้แสงสีเงินที่เปล่งประกาย ลายเส้นจำนวนมากกระเพื่อมออกมา ระดับการฝึกฝนของนางฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง!

ผู้อาวุโสคิ้วดำเห็นเช่นนี้ ก็ตกใจจนหน้าถอดสี ครู่ต่อมาเย่เทียนเหมยยกแขนขวาขึ้น ภายใต้การทำท่ามือ แสงกระบี่สีเงินส่องแสงพร่างพรายกลายเป็นสายรุ้งสีเงินหมุนวนอยู่เหนือศีรษะ และยังส่งเสียงระเบิดดังออกมา

“กระบี่ร่างเป็นหนึ่ง! เห็นๆ อยู่ว่าท่านบาดเจ็บสาหัส พลังเวทย์ก็หมดสิ้นไปแล้ว เหตุใดยังสามารถแสดงความสามารถเช่นนี้ออกมาได้?” ผู้อาวุโสหลิวแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมา และพูดพึมพำเบาๆ “ไม่ถูกต้อง! กลิ่นไออันแข็งแกร่งนี้……พลังเวทย์ของท่านฟื้นฟูในระยะเวลาเพียงสั้นๆ เป็นไปได้อย่างไร……”

เย่เทียนเหมยย่อมไม่ตอบคำถามของเขา พอเปลี่ยนท่ามือ กระบี่บินก็กลับมาอยู่ในมือ พริบตาเดียว ก็รวมเป็นหนึ่งกับร่างของนาง และโจมตีผู้อาวุโสคิ้วดำราวกับแพรต่วนสีเงิน!

ผู้อาวุโสคิ้วดำเลิกคิ้วด้วยสีหน้าไม่พอใจ จากนั้นก็รีบแปะยันต์เพิ่มความเร็วไว้บนตัว และกลายเป็นแสงสีเขียวพุ่งขึ้นฟ้าทันที ทำให้หลบสายรุ้งยาวได้ชั่วคราว

แต่พอเขาปรากฏตัวอีกครั้ง สีหน้าก็เต็มไปด้วยความลังเล

หากเย่เทียนเหมยสามารถเก็บพลังเวทย์ส่วนหนึ่งได้จริงๆ ด้วยพลังการโจมตีทั้งหมดของผู้ฝึกฝนระดับผลึก เขาย่อมไม่กล้าต้านทานอย่างเด็ดขาด

แต่จากที่เขาเห็น แม้จะไม่รู้ว่าตอนนี้เย่เทียนเหมยใช้วิธีการใดฟื้นฟูพลังเวทย์กลับมา แต่อย่างมากพลังก็คงอ่อนลงไปมากแล้ว ซึ่งสามารถจับเป็นนางได้อย่างง่ายดาย

พอเขาคิดเช่นนี้ได้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปในฉับพลัน

สายรุ้งสีเงินแวววาวหมุนวนอยู่รอบหนึ่ง หลังจากวาดวงกลมครึ่งวงกลมเล็ก ๆ ที่สง่างามในอากาศแล้ว มันก็พุ่งไปหาเขาอีกครั้ง และระหว่างทางยังพร่ามัวเป็นเงากระบี่จำนวนมาก ไอกระบี่พุ่งทะลุเมฆา ไหนเลยจะมีพลังเวทย์ไม่เพียงพอ

ผู้อาวุโสหลิวเริ่มหน้าเขียวปัด ทันใดนั้นเขาแผดเสียงออกมา และกลายเป็นเงาสีเขียวพุ่งไปยังทิศทางบางแห่ง กระพริบไม่กี่ทีก็หายไปจากขอบฟ้า

พอสายรุ้งสีเงินดับไป เงากระบี่ที่ปกคลุมอยู่เต็มฟ้าก็หายไปด้วย

เย่เทียนเหมยปรากฏตัวกลางอากาศอีกครั้ง และจ้องมองทิศทางที่ผู้อาวุโสหายไปด้วยสีหน้าเยือกเย็น

เมื่อครู่นางใช้เคล็ดวิชาเฉพาะของนิกายจันทราสวรรค์ กระตุ้นพลังแฝงภายในร่างโดยไม่สนใจอาการบาดเจ็บ แม้ดูเหมือนพลังเวทย์จะฟื้นคืนมาทั้งหมด แต่ก็เป็นพลังที่อ่อนแอมาก ไม่สามารถยืนหยัดได้นาน หากผู้อาวุโสหลิวอยู่นานอีกหน่อย ก็จะมองเห็นจุดนี้ได้

เพียงแต่ผู้ฝึกฝนส่วนมากจะหวงแหนชีวิตเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะผู้แข็งแกร่งที่ฝึกฝนมาถึงระดับนี้ ค่อนข้างให้ความสําคัญกับชีวิตเล็กๆ ของตนเองมาก ย่อมไม่ยอมเสี่ยงอันตรายอย่างแน่นอน

แต่สำหรับนางแล้ว หากไม่ยอมเสี่ยงอันตรายล่ะก็ คงต้องรอความตายอย่างเดียวเท่านั้น และสายกระบี่ยังกล่าวไว้ว่า ทำลายข้อจำกัดของร่างกายอย่างต่อเนื่อง โดยไม่แยแสต่อความตาย

แต่เย่เทียนเหมยก็รู้ดีว่า ลูกไม้เล็กๆ เช่นนี้ถ่วงเวลาได้ไม่นาน หลังจากทานโอสถไปหลายเม็ดแล้ว ก็แสดงวิชาขี่กระบี่หลบหลีกอีกครั้งอย่างไม่เสียดายพลัง พริบตาเดียว ก็พุ่งออกไปหลายร้อยจั้ง ไม่กี่อึดใจก็ทิ้งไว้เพียงจุดแสงสีเงินเท่านั้น

และชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป เงาร่างของผู้อาวุโสคิ้วดำกลับปรากฏตัวกลางอากาศ หลังจากสำรวจดูพื้นที่บริเวณนี้แล้ว ก็แสดงสีหน้าหงุดหงิดออกมา

ก่อนหน้านั้น เขาถูกพลังของเย่เทียนเหมยกดดัน จนคิดว่านางจะแสดงเคล็ดวิชาบางอย่าง เพื่อให้ศัตรูตายไปพร้อมกัน ดังนั้นจึงหนีไปโดยไม่ทันได้คิดอะไร และหลงกลนางอย่างง่ายดาย

“ฮึ! นึกไม่ถึงว่าจะใช้วิธีการเช่นนี้หลอกลวงข้า! ยังดีที่แท่งสามเหลี่ยมของข้ามีกลิ่นไอของข้าอยู่ เจ้าบาดเจ็บเช่นนี้ จะหลบหนีไปไหนได้ ฮึ! ข้าจะต้องจับเจ้าให้ได้” ผู้อาวุโสกล่าว

จากนั้นเขาก็สงบจิตสงบใจแล้วกล่าวต่อด้วยสีหน้าดุร้าย

“ข้าอยู่ระดับนี้มานานสองสามร้อยปีแล้ว อายุขัยก็เหลือไม่มาก หากไม่สามารถทะลวงขั้นได้ ก็มีชีวิตอยู่ได้มากสุดไม่กี่สิบปี จากนั้นก็ละสังขารแล้ว และแผนในวันนี้ ทั่วทั้งชังไห่ก็มีเพียงคนผู้นั้นที่สามารถช่วยข้าได้ ไม่รู้ว่าครั้งนี้เป็นเพราะฟ้ามีตาหรือว่าข้าเป็นเพราะโชคของข้า เพียงแค่จับเป็นนางได้ ด้วยสถานะผู้ฝึกฝนกระบี่ระดับผลึกของนาง จะต้องกลายเป็นเตาหลอมพลังอันยอดเยี่ยมให้เขาอย่างแน่นอน พอถึงเวลาอันเป็นมงคล ข้าไม่เพียงแต่มีหวังทะลวงคอขวดสำเร็จเท่านั้น แต่การเข้าสู่ระดับแก่นแท้ในอนาคต ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้”

กล่าวถึงตอนท้าย ผู้อาวุโสหลิวก็เลียริมฝีปากด้วยตาที่เป็นประกาย

เดิมทีผู้อาวุโสผู้นี้ ไล่ล่าปีศาจอสูรระดับผลึกในทะเลตนหนึ่ง จนบุกรุกเข้าไปแดนฝึกฝนของราชาปีศาจสมุทรโดยไม่ได้ตั้งใจ

ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้เพียงหนึ่งเดียวในทะเลชังไห่ผู้นี้ ตอนนั้นเพิ่งบรรลุเข้าสู่ระดับแก่นแท้ได้ไม่นาน และกำลังเก็บตัวพักฟื้นร่างกายอยู่ ด้วยเหตุที่อารมณ์ดีจึงไม่ได้ทำร้ายเขา แต่กลับสัญญาว่าเพียงแค่ผู้อาวุโสทำตามที่เขาบอก และช่วยให้พลังของเขาฟื้นฟูจนถึงระดับสูงสุด เขาก็จะถ่ายทอดวิธีการเข้าสู่แก่นแท้ให้

ตอนนั้นผู้อาวุโสยังติดอยู่ที่คอขวด จึงไม่อาจเข้าสู่ระดับผลึกขั้นปลายได้ พอได้ยินเช่นนี้ย่อมดีใจเป็นอย่างมาก ดูเหมือนเขาจะยอมทำตามที่ราชาปีศาจบอกโดยไม่ต้องคิด และหลังจากถูกวางชั้นจำกัดไว้แล้ว ถึงกลับมาบนเกาะตะพาบน้ำอีกครั้ง

……………………………………

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset