“ข่าวของท่านเซียนจื่อหมิงช่างรวดเร็วยิ่งนัก แต่ดูเหมือนว่าหลานสี่ผู้นำพันธมิตรของพวกท่านจะปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนน้อยมาก แม้ว่าสมาชิกหกคนของพันธมิตรจะถูกปล้นฆ่าในก่อนหน้านั้น เขาก็ยังดูเหมือนไม่สนใจเลย ไม่รู้ว่ากำลังยุ่งเรื่องอันใดอยู่” ผู้อาวุโสเผ่าปีศาจกลุ่มพันธมิตรเหล็กที่มีผมสีขาวกล่าวออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ฮึ! เรื่องของผู้อาวุโสหลาน ใช่เรื่องที่พวกเจ้าสามารถสอบถามได้หรือ!” หญิงสาวเกล็ดทองกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
แม้ทั้งสองกลุ่มอิทธิพลใหญ่จะมีปากมีเสียงกันอยู่ไม่หยุด แต่ภายใต้ความหวาดกลัว กลับไม่มีใครกล้าลงมือจริงๆ
เมื่อเวลาผ่านไป กลุ่มอิทธิพลเล็กๆ ที่มุงดูอยู่ นอกจากจะมีไม่กี่คนที่ยังคงสนใจเหตุการณ์นี้แล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่ได้สนใจอีกเลย
หลิ่วหมิงเองก็ละสายตากลับมา หลังจากคิดใคร่ครวญอยู่เงียบๆ แล้ว ก็มองไปยังกลุ่มอิทธิพลอื่นที่อยู่บริเวณขอบถ้ำ
กลุ่มอิทธิพลระดับเล็กถึงระดับกลาง มีสมาชิกอยู่ราวๆ สามถึงห้าคน คนที่เป็นหัวหน้าส่วนมากอยู่จะที่ระดับของเหลวขั้นกลางไปจนถึงขั้นปลาย ข้างตัวของพวกเขามีถุงขนาดใหญ่อยู่ใบหนึ่ง คิดว่าสิ่งที่อยู่ในนั้นคงเป็นหินแร่ของสมาชิกแต่ละคนในเดือนนี้
พอมองอย่างละเอียด หลิ่วหมิงก็พบว่า หัวหน้าของกลุ่มเล็กๆ เหล่านี้ ต่างก็เป็นผู้ที่มีพลังฮึกเหิมเป็นอย่างมาก ประจักษ์ชัดว่ากายเนื้อแข็งแกร่งกว่าพวกพ้องคนอื่นๆ
และหนึ่งในนั้นก็เป็นชายหนุ่มแปลกหน้าที่ใช้กระบองเหล็กลอบโจมตีหลิ่วหมิงตรงทางสามแยกนั่นเอง
ชายหนุ่มผู้นี้ยังคงแบกกระบองเหล็กขนาดใหญ่ที่ดูแตกต่างกับคนอื่นอยู่ ด้านหน้าของเขามีมนุษย์ผู้ฝึกฝนห้าหกคนยืนล้อมรอบ และกำลังครอบครองพื้นที่บริเวณหนึ่งที่ยังนับว่าใกล้จุดศูนย์กลาง
ดูเหมือนชายหนุ่มผู้นี้จะจับได้ว่าหลิ่วหมิงกำลังสังเกตดูเขาอยู่ จึงหันมายิ้มให้ทันที จากนั้นก็หันไปพูดกับคนอื่นเบาๆ
นอกจากนี้ หลิ่วหมิงยังค้นพบว่ายังมีทาสเหมืองแร่สี่ห้าคนที่อยู่ตัวคนเดียวเหมือนกับเขา ซึ่งต่างก็นั่งหลับตาขัดสมาธิโดยไม่มีใครอยู่ข้างกายเลย
จนเมื่อเวลาผ่านไปครึ่งวัน
บรรดาทาสเหมืองแร่ต่างก็พากันมาเขตแลกเปลี่ยน ซึ่งขณะนี้มีราวๆ สามร้อยกว่าคน
หลังจากที่กลุ่มอิทธิพลใหญ่สองกลุ่มจ้องหน้า และพูดจาถากถางกันอยู่ไม่หยุด ในที่สุดก็หยุดชะงักลง อุโมงค์ขนาดใหญ่เงียบไปชั่วขณะหนึ่ง
เสียงฝีเท้าถี่ๆ ดังมาจากปากทางเข้าที่ก่อนหน้านั้นไม่มีคนเข้ามาก่อน
ผู้คนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในอุโมงค์มีสีหน้าเคร่งขรึมทันที และจ้องมองไปยังทางเดินสายนี้
ไม่นานก็มีผู้พิทักษ์เผ่าปีศาจสวมชุดสีดำเจ็ดแปดคนเดินออกมาจากทางเดินสายนี้ พอหลิ่วหมิงเห็นหัวหน้าผู้พิทักษ์ ก็ค่อยๆ ขมวดคิ้ว และหรี่ตาทั้งคู่ลง
คนผู้นี้ก็คือชายวัยกลางคนเผ่าปีศาจที่ค้นเอาสิ่งของบนตัวหลิ่วหมิงไป
พอเขาเดินเข้ามาแล้วก็เผยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม และเดินนำผู้พิทักษ์คนอื่นๆ เข้าไปในลานกว้างอย่างไม่เกรงใจ
ชายวัยกลางคนที่เป็นหัวหน้าดูเหมือนจะไม่แสดงท่าทีอะไรออกมา แต่ดูจากแววตาก็รู้ว่า เขาดูเหมือนจะเพลิดเพลินไปกับดวงตาที่ทั้งหวาดกลัว และโมโหของทาสเหมืองแร่เหล่านี้ ด้วยเหตุนี้จึงก้าวเท้าอย่างช้าๆ
สถานที่ที่เขาเดินผ่าน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอิทธิพลขนาดเล็กไปถึงกลาง หรือว่าผู้คนในกลุ่มอิทธิพลขนาดใหญ่ทั้งสอง ต่างก็ถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างเงียบๆ เพื่อเปิดทางให้เขา
ครู่ต่อมา กลุ่มผู้พิทักษ์ก็มาถึงใจกลางลานกว้าง และหยุดอยู่หน้าแท่นหินที่สูงจั้งกว่าๆ
ชายวัยกลางคนที่เป็นหัวหน้าไม่ได้พูดอะไรออกมาในทันที แต่กลับมองไปรอบๆ
พอเห็นสายตารอคอยของทาสเหมืองแร่ เขาถึงกระแอมไอเบาๆ แล้วป่าวประกาศออกมา
“ข้าเฉินกัง เฮ่อๆ! คิดว่าคงไม่ต้องแนะนำอะไรมาก ทุกคนในนี้แปดถึงเก้าส่วนคงรู้จักข้า กฎในครั้งนี้ส่วนใหญ่จะเหมือนกับครั้งก่อนๆ เพียงแต่เงื่อนไขการแลกเปลี่ยนตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไปมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย หินแร่ล้ำค่าสามสิบห้าก้อนสามารถแลกโอสถถอนพิษราชาปีศาจสมุทรได้หนึ่งเม็ด”
พอเสียงนี้สิ้นสุดลง ก็มีเสียงฮือฮาขึ้นมา
“เดือนก่อนยังแค่สามสิบก้อนอยู่เลย ทำไมถึงเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันเช่นนี้ ทั้งยังไม่บอกล่วงหน้าด้วย” ไม่รู้ว่าใครส่งเสียงเอะอะโวยวายออกมา
พอได้ยินเช่นนี้ ผู้คนในนั้นก็ยิ่งโกลาหลมากขึ้นกว่าเดิม ทาสเหมืองแร่จำนวนมากต่างก็กระซิบกระซาบกันด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันไป
หลิ่วหมิงกวาดสายตามองอย่างเรียบเฉย เขาค้นพบว่าผู้ที่ส่งเสียงเอะอะโวยวายส่วนมากเป็นกลุ่มอิทธิพลเล็กๆ และทาสเหมืองแร่ในกลุ่มอิทธิพลใหญ่ทั้งสองกลับไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมา เหมือนกับว่าเห็นเรื่องแบบนี้จนชาชินแล้ว
“ใช่แล้ว! ตอนนี้สายแร่บริเวณรอบนอกได้แห้งเหือดไปนานแล้ว บางแห่งที่มีหินแร่สมบูรณ์ต่างก็ถูกครอบครองจนหมด จำนวนหินแร่ที่ขุดมาได้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน”
“ไม่เพียงแต่แค่นี้ หลายเดือนมานี้ อสูรโฉดเหล่านั้นก็บ้าคลั่งยิ่งกว่าเดิม และปรากฏตัวถี่ขึ้น……”
ทาสเหมืองแร่คนอื่นๆ ยังคงเอะอะโวยวายด้วยความกระวนกระวายใจ
เฉินกังที่ยืนอยู่หน้าแท่นหินเห็นเช่นนี้ ก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“เงียบ! พวกเจ้าเป็นคนออกกฎของที่นี่หรือ? ใครไม่อยากแลกโอสถถอนพิษก็รีบไปซะ! แต่หากใครไม่เคารพกฎก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน!”
น้ำเสียงนี้ดังลั่นไปทั่วอุโมงค์ ทาสเหมืองแร่ที่เอะอะโวยวายอยู่เงียบลงทันที
เฉินกังเห็นเช่นนี้ถึงมีสีหน้าผ่อนคลายขึ้น จากนั้นก็กล่าวต่อ
“ข้าขอเตือนทุกท่านสักหน่อย ต้องให้ข้าเห็นหินแร่ก่อนถึงจะมอบโอสถถอนพิษให้ได้ และคนอื่นสามารถรับแทนได้ แต่ฤทธิ์ของมันจะอยู่ได้แค่เจ็ดวันเท่านั้น อย่าคิดเก็บไว้รอให้พิษกำเริบแล้วค่อยทาน ผู้ที่มีหินแร่ไม่พออย่าแส่เข้ามา แต่แน่นอนว่าผู้ที่มีหินแร่เหลือ ก็สามารถแลกโอสถ ยันต์ และสิ่งของอื่นๆ ได้ เอาล่ะเริ่มการแลกเปลี่ยนได้”
เมื่อผู้พิทักษ์วัยกลางคนที่เป็นเผ่าปีศาจกล่าวจบก็ถอยออกไปหนึ่งก้าว เขาเอามือทั้งสองไขว้หลัง และไม่กล่าวอะไรออกมาอีก
เวลาต่อมา ผู้พิทักษ์เผ่าปีศาจสองสามคนที่อยู่ด้านหลังก็ก้าวออกมาด้านหน้า จากนั้นก็หยิบยันต์เก็บของออกมาสองสามผืน และปล่อยสิ่งของประเภทโอสถ ยันต์ และหินจิตวิญญาณออกมากองใหญ่ๆ หลังจากนั้นก็แสดงสีหน้าบอกเป็นนัยว่าสามารถเข้ามาแลกเปลี่ยนได้
ดูเหมือนว่าสิ่งที่มีมากที่สุดก็คือขวดเล็กๆ สีเขียวมรกตที่มีรูปร่างเหมือนกันหลายร้อยใบ ประจักษ์ชัดว่านั่นก็คือโอสถราชาปีศาจสมุทรที่พูดถึง
ภายในอุโมงค์เงียบสงัดมาก ทาสเหมืองแร่ในกลุ่มอิทธิพลระดับเล็กถึงกลางต่างก็ไม่พูดอะไรออกมา พวกเขาเพียงแค่จ้องมองสองกลุ่มอิทธิพลใหญ่ที่ครอบครองพื้นที่ทางด้านตะวันออก และตะวันตก
ผู้พิทักษ์เหล่านี้กลับไม่รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย พวกเขาเพียงแค่ยืนยิ้มอย่างเยือกเย็นอยู่ข้างแท่นหิน ราวกับไม่คิดจะเร่งรัดแต่อย่างใด
แต่พอผ่านไปสักพัก หญิงสาวเผ่าเกล็ดทองที่ชื่อว่า ‘จื่อหมิง’ ถึงนำเผ่าเจ้าสมุทรสองคนไปแลกเปลี่ยนโอสถถอนพิษหนึ่งถุงกับโอสถ และยันต์จำนวนหนึ่ง
และผู้อาวุโสเผ่าปีศาจของ ‘พันธมิตรเหล็ก’ ก็เป็นตัวแทนของคนในพันธมิตรออกไปแลกเปลี่ยน
พริบตาเดียว โอสถถอนพิษและสิ่งของอื่นๆ บนแท่นหินก็ลดลงไปเกือบครึ่งหนึ่ง
เมื่อทั้งสองกลุ่มอิทธิพลใหญ่ได้รับโอสถถอนพิษในเดือนนี้แล้ว ก็เดินออกไปจากอุโมงค์คนละเส้นทางอย่างรวดเร็ว คิดว่าพวกเขาจะต้องรีบทานโอสถ เพื่อที่จะได้กลับไปยังส่วนลึกของสายแร่
เมื่อทั้งสองกลุ่มอิทธิพลใหญ่จากไปแล้ว พื้นที่ขนาดใหญ่ก็ถูกกลุ่มอิทธิพลอื่นๆ ยึดครองทันที และคนในอุโมงค์ก็เหลือแค่สองในสามส่วนของก่อนหน้านั้น
หลังจากนั้น กลุ่มอิทธิพลเล็กๆ ที่เหลือต่างก็ทยอยออกไปทำการแลกเปลี่ยน
ตรงหน้าแท่นหิน หลังจากที่ผู้พิทักษ์คนหนึ่งรับถุงมาแล้ว ผู้พิทักษ์อีกคนก็ยื่นถุงสีดำที่มีโอสถถอนพิษให้ฝ่ายตรงข้าม
นอกจากโอสถถอนพิษราชาปีศาจสมุทรที่ต้องใช้หินแร่ล้ำค่าสามสิบห้าก่อนแล้ว หินแร่ที่เหลือยังสามารถแลกหินจิตวิญญาณในสัดส่วนหนึ่งต่อยี่สิบ ส่วนยันต์ระดับต่ำกับโอสถอื่นๆ ต้องใช้หินแร่จำนวนมากถึงแลกมาได้ชุดหนึ่ง
สัดส่วนแลกเปลี่ยนเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในโลกภายนอก แต่ในสถานที่แห่งนี้ นอกจากผู้คนจะได้แต่ตำหนิอยู่ในใจแล้ว ก็ได้แต่จำใจยอมรับมัน
ด้วยเหตุนี้ นอกจากสองกลุ่มอิทธิพลใหญ่ที่มีกำลังทรัพย์มากแล้ว กลุ่มอิทธิพลอื่นๆ ก็ไม่ค่อยมีคนไปแลกสิ่งของอื่นๆ อีก ต่อให้มีก็แลกแค่หินจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งเท่านั้น
เพราะภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีความพิเศษเช่นนี้ หินจิตวิญญาณถึงเป็นสิ่งที่ขาดแคลนเป็นอย่างมาก ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย หากมีพลังเวทย์มากขึ้นส่วนหนึ่ง ก็มีโอกาสรักษาชีวิตไว้ได้ส่วนหนึ่ง
การแลกเปลี่ยนยังคงดำเนินต่อไปท่ามกลางบรรยากาศที่ดูแปลกๆ
แม้จะบอกว่าตัวแทนของกลุ่มอิทธิพลที่ไปแลกเปลี่ยน จะจ้องมองผู้พิทักษ์เหล่านั้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม โดยเฉพาะ ‘เฉินกัง’ ที่เป็นหัวหน้า แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามในระหว่างการแลกเปลี่ยนก็ดำเนินไปด้วยดี
“พี่ใหญ่ พวกเรามีทั้งหมดสี่คน ทำไมท่านถึงแลกโอสถถอนพิษมาแค่สามเม็ด?” พลันมีน้ำเสียงที่ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย และทำลายบรรยากาศเงียบสงัดภายในอุโมงค์ทันที
เสียงนี้มาจากชายหนุ่มริมฝีปากม่วงที่อยู่มุมหนึ่งของอุโมงค์ และหัวหน้าของคนกลุ่มนี้เป็นชายฉกรรจ์คิ้วเฉียง ดูเหมือนว่าถุงหินแร่ที่ถืออยู่จะแลกโอสถถอนพิษกลับมาแค่สามเม็ดเท่านั้น
“น้องเวิง ข้าเองก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่คิดว่าเฉินกังจะแอบขึ้นราคาอย่างเงียบๆ ตอนนี้ยังเหลือหินแร่อยู่ยี่สิบก้อน เจ้าคิดหาวิธีเอาเองเถอะ” ดูเหมือนชายฉกรรจ์คิ้วเฉียงจะรู้สึกปวดหัวกับเรื่องนี้เช่นกัน หลังจากโยนถุงใบหนึ่งให้ชายร่างผอมแห้งแล้ว สีหน้าเขาก็ดูเหมือนจะจนปัญญาเช่นกัน
พอชายหนุ่มแซ่เวิงเห็นพวกพ้องอีกสองคนมีสีหน้าซึมกระทือ แววตาของเขาก็ดูหมดหวังขึ้นมา ไม่นานเขาก็หยิบถุงขึ้นมา จากนั้นก็นำกระบี่กระดูกบนเอวกับหินจิตวิญญาณ และสิ่งของอื่นๆ ไปหาวิธีรวบรวมหินแร่จากกลุ่มอิทธิพลอื่นๆ
ฉากเช่นเดียวกันนี้ เกิดขึ้นอยู่ไม่หยุด กลุ่มอิทธิพลเล็กๆ จำนวนมากไม่มีหินแร่เพียงพอ จึงต้องทอดทิ้งพวกพ้องที่อ่อนแอกว่า
คนที่ถูกทอดทิ้งเหล่านี้ บ้างก็เดินโซซัดโซเซจากไป บ้างก็รู้สึกโมโหจนลงมือกับพวกพ้องเพื่อจะแย่งโอสถมา แต่กลับถูกพวกพ้องสังหารจนเสียชีวิต
เฉินกังจ้องมองฉากที่เกิดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม สีหน้าของเขาดูมีความสุขในความโชคร้ายของคนอื่นมาก
และบางกลุ่มที่ยังมีหินแร่เหลือ กลับเริ่มถือโอกาสนี้ใช้หินแร่ดึงคนอื่นมาเป็นพวก เพื่อขยายอิทธิพลของตนเอง
ชายหนุ่มแปลกหน้าที่แบกกระบองเหล็กในก่อนหน้านั้น ก็ใช้โอสถเม็ดหนึ่งรับมนุษย์ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นต้นคนหนึ่งมาเป็นพวก จากนั้นก็พาคนที่เหลือเดินไปยังทางเดินสายหนึ่ง
ระหว่างที่เดินผ่านหลิ่วหมิง คนผู้นี้ยังคงยิ้มให้หลิ่วหมิง มันเป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความหมายอันลึกซึ้ง
หลิ่วหมิงยืนสังเกตอยู่ที่เดิมเงียบๆ เป็นเวลาหนึ่งถ้วยชา พอเห็นว่ามีคนเหลืออยู่ในลานแค่หนึ่งในสาม เขาถึงลูบคางไปมาแล้วคว้าถุงใบใหญ่เดินไปยังจุดแลกเปลี่ยน
ระหว่างที่รอในก่อนหน้านั้น เขาได้ใช้จิตกวาดดูหินแร่ในถุง และค้นพบว่าเมื่อรวมกับหินแร่ที่ได้มาจากเผ่าเจ้าสมุทรทั้งห้าคนแล้ว เขาจะมีหินแร่ราวๆ สองร้อยกว่าก้อน เพียงแต่ว่ามันมีคุณสมบัติธรรมดาเหมือนกับหินไม้ดำเท่านั้น
แต่ว่าปริมาณเช่นนี้ก็ทำให้ผู้พิทักษ์เหล่านั้นรู้สึกแปลกใจมากแล้ว
และเฉินกังกลับไม่สนใจหลิ่วหมิงเลยแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงแลกโอสถถอนพิษกับผู้พิทักษ์ตรงหน้ามาสามเม็ด ขณะเดียวกัน หินแร่ส่วนที่เหลือก็แลกโอสถ และยันต์ระดับต่ำมาจำนวนหนึ่ง
ที่เขาทำเช่นนี้ ย่อมเป็นเพราะว่าต้องการศึกษาโอสถถอนพิษสองเม็ดที่เกินมานี้
เมื่อหลิ่วหมิงแลกเสร็จก็ไม่คิดจะอยู่ที่นี่นาน เขาจึงเดินออกจากเขตแลกเปลี่ยนไปยังทางเดินในก่อนหน้านั้นทันที
ระหว่างทางไม่มีเรื่องใดๆ เกิดขึ้น
สองวันต่อมา
หลิ่วหมิงเดินตามแผนที่หนังอสูรที่สร้างขึ้นมาเอง จนกลับถึงเหมืองร้างในก่อนหน้านั้น
หลังจากแน่ใจว่าไม่มีใครเข้ามาในถ้ำในระหว่างที่เขาไม่อยู่แล้ว เขาก็ตบถุงหนังบนเอว และปล่อยแมงป่องกระดูกออกมาป้องกันอยู่บริเวณนี้
จากนั้นก็หมุนตัวเดินเข้าไปนั่งขัดสมาธิในถ้ำ หลังจากทานโอสถฟื้นฟูพลังเวทย์ไปเม็ดหนึ่งแล้ว ก็เริ่มนั่งสมาธิ
หนึ่งชั่วยามผ่านไป
เมื่อหลิ่วหมิงออกจากสมาธิแล้ว ก็หยิบโอสถถอนพิษออกมาหนึ่งเม็ด
โอสถถอนพิษมีลักษณะเหมือนกับที่เขาทานบนเรือยักษ์ มีขนาดชุ่นกว่าๆ มีสีดำทั้งเม็ด และเปล่งแสงจางๆ ออกมา ทั้งยังมีกลิ่นหอมจรุงใจ พอดมแล้วรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา
“นี่ก็คือโอสถถอนพิษของราชาปีศาจสมุทรสินะ! แต่มันระงับพิษได้แค่หนึ่งเดือนเท่านั้น หากรู้ส่วนประกอบอื่นๆ ของมันล่ะก็……” หลิ่วหมิงจ้องมองโอสถสีดำในมือแล้วพูดพึมพำราวกับกำลังคิดอะไรอยู่
เมื่อเชื่อมโยงกับข้อมูลที่ได้รับในตอนนี้ หลังจากทานโอสถถอนพิษของราชาปีศาจสมุทรแล้ว จะสามารถระงับการกัดเซาะอวัยวะภายในของไอหมอกดำได้ชั่วคราว
ตอนอยู่เสวียนจิง ขณะที่หลิ่วหมิงเรียนวิชาปรุงโอสถกับฝานไป๋จื่อนั้น เคยได้ยินผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถผู้นี้พูดถึงประสบการณ์เกี่ยวกับโอสถถอนพิษชั่วคราวนี้โดยเฉพาะ
เพื่อบรรลุจุดประสงค์ของผู้ปล่อยพิษ โอสถถอนพิษชนิดนี้ มีความเป็นไปได้สองประการเท่านั้น
ประการแรก แม้ว่าในโอสถถอนพิษจะมีโอสถจิตวิญญาณที่ใช้ถอนพิษแฝงอยู่น้อยมาก แต่ขณะเดียวกัน ก็มีส่วนประกอบที่คล้ายกับโอสถพิษแฝงอยู่น้อยด้วยเช่นกัน ในขณะที่มันระงับอาการกำเริบนั้น ก็ซ่อนการกำเริบในครั้งถัดไปด้วย ภายใต้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมา เมื่อพิษสะสมเป็นเวลานานก็จะกลายเป็นภัยในที่สุด
ประการที่สองคือ โอสถถอนพิษที่แฝงอยู่นี้ไม่ใช่โอสถจิตวิญญาณที่ใช้ถอนพิษ แต่เป็นโอสถพิษร้ายแรงอีกชนิด เพียงแต่อาศัยพิษต้านพิษไว้ได้ชั่วคราว เมื่อเวลานานเข้าพิษทั้งสองก็จะรวมกันเป็นหนึ่ง และก่อเกิดเป็นภัยในภายหลังเช่นกัน
…………………………………