ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 84 ปีศาจกระดูก

ตอนที่ 84 ปีศาจกระดูก

หลิ่วหมิงยิ้มและเก็บกระดูกจิตวิญญาณขึ้นมา จากนั้นก็เดินไปยังทางเดินด้านหน้าต่อ

เจ็ดวันผ่านไป โพรงใต้ดินขนาดกว้างใหญ่เป็นพิเศษแห่งหนึ่งของอุโมงค์หมื่นกระดูก

หลิ่วหมิงกลายร่างเป็นเงาเคลื่อนไหวไปทั่วทิศเพื่อหลบปีศาจกระดูกอสรพิษหลายตัวที่ไล่ล่าเขาอยู่ พร้อมกับร่ายคาถาไปด้วย เมื่อเขายกมือทั้งสองขึ้นคมวายุสีเขียวเจ็ดแปดเส้นก็พุ่งยิงติดต่อกันออกไป พริบตาเดียวปีศาจกระดูกอสรพิษก็ถูกฟันออกเป็นหลายชิ้น

ร่างตรงส่วนที่ถูกฟันออกจากกัน มีแค่ไอสีขาวเทาพรุ่งพรูออกมา จากนั้นมันก็ดึงร่างส่วนที่ถูกแยกออกจากกันมาประสานกันดังเดิม

แต่ช่วงระหว่างนั้น เส้นสีดำหลายเส้นได้กะพริบผ่านไปเจาะลงบนหัวของกระดูกอสรพิษสองตน หลังจากที่มันค่อยๆ สั่นไหว หัวปีศาจทั้งสองตนนี้ก็สั่นสะเทือนจนแตกละเอียดเป็นจุน

ในขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงใช้ความเร็วที่ไม่คาดไม่ถึงจนดูลางเลือนเข้าไปประชิดอยู่ข้างตัวปีศาจกระดูกอสรพิษตนสุดท้าย มือข้างหนึ่งบีบตรงตำแหน่งเจ็ดชุ่นที่เป็นจุดตายของมันไว้แน่น หัวพยัคฆ์สีเหลืองเปล่งออกมาจากห่วงบนข้อมือ พร้อมกับคลื่นเสียงที่ม้วนตัวออกไปและสั่นสะเทือนจนหัวของมันแตกละเอียดเป็นจุน

มุกสีดำสามเม็ดกลิ้งออกมาทันที!

……

ครึ่งเดือนต่อมา บนทางเดินสายหนึ่งตรงชั้นสองของอุโมงค์หมื่นกระดูก หลิ่วหมิงจ้องมองปีศาจกระดูกรูปร่างสูงใหญ่ที่ดูคล้ายชะนีตนหนึ่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ปีศาจตนนี้แตกต่างจากที่เคยพบเจอในก่อนหน้า บนร่างของมันมีข้อต่อกระดูกขนาดใหญ่จำนวนหนึ่ง เปลวไฟสีเขียวลุกไหม้อยู่ในเบ้าตาทั้งสองไม่หยุด ดูราวกับว่ามันพอมีสติปัญญาอยู่บ้าง

และสถานที่ที่อยู่ไม่ไกล ไอสีเขียวพุ่งออกมาจากร่างของแมงป่องกระดูกขาว หางตะขอของมันกระดกขึ้นมาราวกับว่าเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ

ปีศาจตนนี้เป็นถึงปีศาจระดับขุนพล!

ด้วยเหตุนี้หลิ่วหมิงก็ต้องรับมือกับมันอย่างเอาจริงเอาจังแล้ว

พอปีศาจกระดูกชะนีส่งเสียงคำรามออกมา แขนทั้งสองก็ทุบลงไปบนพื้นอย่างรุนแรงทันที ไอสีเหลืองกระเพื่อมเป็นวงออกจากใต้ฝ่าเท้าทั้งสองของมันโดยฉับพลัน

พริบตานั้นพื้นก็สั่นสะเทือนไม่หยุด ทำให้หลิ่วหมิงที่ไม่ทันได้ตั้งตัวโซเซเล็กน้อย

ปีศาจกระดูกชะนีอาศัยจังหวะนี้กระทืบเท้าทั้งคู่ลงไปบนพื้นอย่างแรง แล้วร่างของมันก็พุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงราวกับหินผาขนาดใหญ่

ก่อนที่มันจะทับลงมา พายุบ้าระห่ำก็ม้วนตัวออกมาก่อน อานุภาพของมันน่าตกใจเป็นอย่างมาก!

แต่หลิ่วหมิงไม่คิดที่จะหลบหลีกแต่อย่างใด เขาแค่สะบัดแขนเสื้อ แสงสีเขียวเส้นหนึ่งก็กะพริบออกไป

เสียงดัง “ฟิ้ว!”

ร่างขนาดใหญ่ของปีศาจกระดูกชะนีถูกตัดออกเป็นสองท่อน ลอยผ่านข้างหลิ่วหมิงไป แล้วหล่นลงบนพื้นจนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้

หลังจากที่แมงป่องกระดูกขาวส่งเสียงร้องออกมา มันก็ใช้ก้ามยักษ์ทั้งสองตัดร่างทั้งสองท่อนของปีศาจกระดูกชะนีอย่างบ้าคลั่ง พริบตาเดียวร่างของปีศาจกระดูกชะนีก็กลายเป็นกองกระดูกกองหนึ่ง

เสียงดัง “ซู่!”

มุกสีดำขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือที่ถูกไอสีดำปกคลุมอยู่เม็ดหนึ่งพุ่งออกมาจากกองกระดูก แต่เส้นสีดำกะพริบ หางตะขอเปล่งแสงสีดำวาววับเส้นหนึ่งก็โจมตีเข้าไปที่ไอสีดำนั้น

มุกกลมๆ ลอยออกมาจากไอสีดำนั้นทันที

แมงป่องกระดูกขาวกระโดดตัวขึ้น ก้ามยักษ์หนีบมุกกลมๆ ไว้ได้ จากนั้นมันก็อ้าปากดูดไอสีดำเข้าไปในท้องจนหมดสิ้น และส่งเสียงร้องประหลาดออกมาด้วยความดีใจ

ดูเหมือนกับว่าไอสีดำนั้นมีประโยชน์กับมันมาก

“ในเมื่อได้รับของดีไปแล้ว มุกปราณแก่นพิภพของปีศาจระดับขุนพลเม็ดนี้ก็ให้ข้าเก็บไว้เถอะ จะให้ออกไปโดยไม่มีอะไรแลกแต้มคุณูปการแม้แต่แต้มเดียวคงจะไม่ได้” ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงเก็บกระบี่สั้นที่เปล่งแสงสีเขียวเล่มนั้นเข้าไปในแขนเสื้อ และกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม

ตอนนี้สีหน้าของเขาซีดขาวเล็กน้อย ประจักษ์ชัดว่าเมื่อครู่เขาหมดพลังกับการสังหารปีศาจไปไม่น้อย แต่ก็ยังคงแสดงสีหน้าพึงพอใจออกมา

เมื่อครู่เขาใช้กระบี่ที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณเล่มนั้น ถึงแม้จะใช้แค่พลังจากชั้นจำกัดแรก แต่อานุภาพก็ร้ายแรงกว่าที่คิดไว้มากนัก แม้แต่ปีศาจระดับขุนพลก็ไม่สามารถต้านทานพลังของมันได้

แมงป่องกระดูกขาวเหลือบมองมุกบนก้ามใหญ่แล้วทำท่าเหมือนจะเสียดาย แต่ครู่เดียวก็ขยับร่างเดินมาแล้ววางมุกสีดำไว้ตรงเท้าหลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงพยักหน้า ก้มตัวลงลูบหลังของแมงป่องกระดูกขาวครู่หนึ่ง แล้วก็ยื่นมือข้างหนึ่งลงไปช้อนเอามุกสีดำขึ้นมาสังเกตดูอย่างละเอียด

มุกปราณแก่นพิภพนี้ไม่เพียงแต่จะมีขนาดใหญ่กว่าที่พบก่อนหน้านั้นมาก และยังเปล่งแสงสีดำมากกว่า ทำให้คนรู้สึกแปลกๆ ราวกับว่าจิตของพวกเขาถูกดูดเข้าไปในนั้น

หลิ่วหมิงใจเต้นเล็กน้อยแล้วเก็บมุกเม็ดนี้เข้าไป จากนั้นก็พาแมงป่องกระดูกขาวเกินไปข้างหน้าต่อ

หนึ่งเดือนผ่านไป บริเวณปากทางเข้าที่หลิ่วหมิงเข้าไปในตอนแรก มีเมฆเทาสองก้อนร่อนลงมาพร้อมกับปรากฏเงาร่างของคนสองคน

หนึ่งในนั้นมีคนหนึ่งที่มีหูแหลมแก้มเหมือนลิง ตาทั้งคูเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด อีกผู้หนึ่งใส่ชุดคลุมดำทั้งตัว สีหน้าหม่นหมอง เขาก็คือซือหม่าเทียนแห่งสาขาหยินทนทรมาณนั่นเอง

“เจ้าเด็กนั่นเข้าไปจากตรงนี้จริงหรือ เจ้าแน่ใจใช่ไหม?” ซือหม่าเทียนสังเกตดูทางเข้าแล้วกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ

“ศิษย์พี่ซือหม่าวางใจเถอะ เรื่องที่ท่านกำชับข้าให้ทำนั้น ข้าจะสะเพร่าได้อย่างไร ถึงแม้จะตามดูอยู่ไกลๆ และเขตพื้นที่นี้ก็ไม่ได้มีทางเข้าเพียงทางเดียว แต่ตอนท้ายข้าได้ตรวจสอบดูแล้วว่ามีแค่ทางเข้านี้เท่านั้นที่มีร่องรอยของคนเพิ่งเดินเข้าไป จะต้องไม่มีข้อผิดพลาดอย่างแน่นอน” ชายหูแหลมแก้มลิงหัวเราะแล้วกล่าวออกมา

“ดี นี่คือค่าตอบแทนที่ได้ตกลงกันไว้ ถ้าข้าหาคนที่ข้าต้องการไม่เจอ ข้าจะเอาคืนเป็นสองเท่า” ซือหม่าเทียนโยนหินจิตวิญญาณระดับกลางออกไปให้ และกล่าวอย่างเยือกเย็น

“ศิษย์พี่ซือหม่าอย่าล้อเล่นสิ! ถ้าท่านหาไม่เจอจริงๆ ก็ไม่ใช่ว่า…เดี๋ยวก่อน…” ชายหูแหลมแก้มลิงรับหินจิตวิญญาณมาไว้กับตัว แต่พอได้ยินคำพูดของซือหม่าเทียนก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา

แต่ตอนนี้ซือหม่าเทียนได้เข้าไปในปากอุโมงค์แล้ว

“เจ้าเด็กนี่ยังคงถือดีเหมือนเมื่อก่อน ช่างเถอะ! ด้วยความสามารถของเขาคงจะหาคนที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย หินจิตวิญญาณร้อยก้อนนี้นับว่าไม่เสียเปล่าแล้ว” ชายหูแหลมแก้มลิงส่ายศีรษะแล้วเผยรอยยิ้มออกมา จากนั้นก็หมุนตัวขี่เมฆทะยานจากไป

……

หลิ่วหมิงย่อมไม่รู้ว่ามีคนตามหาเขา ตอนนี้เขายืนอยู่หน้าปากทางเข้าที่มีไอสีเทาพวยพุ่ง เขากำลังหรี่ตาทั้งคู่สังเกตดูอะไรบางอย่างอยู่

บนผนังราบเรียบบริเวณทางเข้า มีอักขระสีแดงขนาดใหญ่เขียนอยู่ว่า ‘ปากทางเข้าชั้นสาม’

“เดินต่อไปข้างหน้าก็เป็นชั้นที่สามของอุโมงค์หมื่นกระดูกแล้ว ได้ยินมาว่าชั้นนี้มีปีศาจระดับขุนพลเยอะมาก มากกว่าสองชั้นก่อนหน้านั้น แต่ก็หมายความว่าผลประโยชน์ที่ได้รับจากชั้นนี้ก็มีเยอะกว่ามาก” หลิ่วหมิงกล่าวพึมพำกับตนเองแล้วก็พาแมงป่องกระดูกเดินหน้าเข้าไป

……

สองเดือนต่อมา ภายในโพรงถ้ำหินขนาดใหญ่ที่มีหินงอกหินย้อยแหลมๆ อยู่ทั่วระแหง หลิ่วหมิงและแมงป่องกระดูกขาวกำลังต่อสู้อยู่กับโครงกระดูกร่างมนุษย์ที่สูงหลายจั้งตนหนึ่งอย่างดุเดือด

โครงกระดูกนี้ต่างจากที่หลิ่วหมิงพบเจอในก่อนหน้านั้นอย่างสิ้นเชิง บนร่างของมันมีเกราะเหล็กที่เป็นคราบสนิมห่อหุ้มไว้ ในมือถือขวานที่ชำรุดกว่าครึ่งหนึ่งอยู่หนึ่งเล่ม ในขณะเดียวกันไอสีเทาก็พวยพุ่งอยู่บนร่างของมัน การเคลื่อนไหวของมันรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ แต่การใช้ขวานโจมตีของมันกลับเชื่องช้ากว่าปกติ

แต่ที่น่าแปลกก็คือพอเห็นขวานที่ฟันเข้ามา ไม่ว่าหลิ่วหมิงหรือว่าแมงป่องกระดูกขาวกลับต้องหลบหลีกไปไกลๆ ราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ โดยไม่กล้าเข้าใกล้แม้แต่น้อย

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่แมงป่องกระดูกขาวหลบหลีกช้าไปหน่อย เห็นได้ชัดว่าขวานอยู่ห่างจั้งกว่าๆ แต่เสียงที่ดัง “ตู้ม!” ของมันราวกับว่าโจมตีอย่างรุนแรงจนแมงป่องกระดูกขาวกระเด็นออกไปหลายจั้ง ในขณะเดียวกันเดียวกันก็ปรากฏรอยแตกขนาดเล็กบนหลังของมัน

แต่ในขณะนั้น หลิ่วหมิงกลับคำรามเสียงออกมา หลังจากที่เขาประกบมือแล้วแยกออกจากกันอีกครั้ง คมวายุยักษ์ยาวครึ่งจั้งเส้นหนึ่งได้ปรากฏออกมาทันที หลังจากสะบัดแขนมันก็กลายเป็นแสงสีเขียวพุ่งยิงออกไป

เสียงดัง “ฟิ้ว!”

ครั้งนี้กลายเป็นโครงกระดูกหุ้มเกราะที่กระเด็นไปโดนหินงอกขนาดใหญ่ด้านหลัง เกราะเล็กบนตัวและร่างกายกว่าครึ่งส่วนถูกฟันออกจากกัน คมวายุยักษ์ที่ดูราวกับบานประตูฝังเข้าไปในร่างของมัน

พอโครงกระดูกคำรามก็สะบัดขวานในมือขึ้น คมวายุยักษ์ถูกมันทำลายจนแตกกระจาย บังเกิดไอสีเทาพวยพุ่งตรงปากแผลของมัน แล้วปากแผลก็ประสานเข้าหากันอย่างรวดเร็ว

แต่ในขณะนั้นเอง พลันมีเสียงดัง “ซู่! ซู่!” จากบริเวณนั้น พอเส้นสีดำสิบกว่าเส้นแวบผ่านไป มันก็เจาะเข้าไปยังแต่ละส่วนของโครงกระดูก พร้อมด้วยคลื่นพลังจากบนอากาศ หางตะขอสีดำขลับพุ่งลงมา หลังจากที่มันดูเลือนลางแล้วก็เจาะลงบนกระโหลกศีรษะ พลันของเหลวสกปรกสีดำก็พุ่งออกมา

ไอสีเขียวพวยพุ่งที่ด้านบนของโพรง ร่างครึ่งหนึ่งของแมงป่องกระดูกขาวโผล่ออกมาจากหินบนนั้น

เปลวไฟสีเขียวเปล่งประกายอยู่ในเบ้าตาของโครงกระดูกยักษ์ มันยกแขนข้างหนึ่งจับหางแมงป่องกระดูกขาวบนหัวไว้ แล้วดึงออกไปอย่างง่ายดายราวกับดึงหัวผักกาด จากนั้นมันก็สะบัดจนแมงป่องกระดูกขาวตาลายขึ้นมา

แต่ในขณะนั้นเอง โซ่สีดำขนาดใหญ่ก็พุ่งยิงเข้ามาจากที่ไกลๆ หลังจากนั้นมันก็พันรอบตัวโครงกระดูกอย่างแน่นหนาทันที

และในขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงก็ร่ายคาถาแล้วเอามือทั้งสองประกบไว้ตรงระหว่างอก ลูกเปลวไฟสีแดงปรากฏขึ้นกลางอากาศและขยายขนาดใหญ่ขึ้น พริบตาเดียวก็มีขนาดใหญ่หลายฉื่อ ไอร้อนระอุม้วนตัวพุ่งออกไปจากในนั้น

โครงกระดูกร่างมนุษย์เห็นเช่นนั้น ก็รู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง มันแผดเสียงออกมาแล้วออกแรงต่อสู้กับโซ่ที่มัดตัว โซ่ดำบังเกิดเสียงดัง “เปรี้ยะๆ!” แล้วก็เริ่มแตกออกจากกัน จนโครงกระดูกเกือบจะสลัดตัวออกมาจากในนั้นได้

ตอนนี้เองหลิ่วหมิงก็หยุดร่ายคาถา ลูกเปลวไฟยักษ์พุ่งยิงออกไปด้วยเสียงอันดังก้อง หลังจากที่มันดูพร่ามัวก็กลายเป็นแสงสีแดงปกคลุมโครงกระดูกร่างมนุษย์ให้จมอยู่ในนั้น

เสียงดังสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วฟ้าและปฐพี!

เมฆอัคคีสีแดงพุ่งขึ้นไปบนฟ้าจนกลายเป็นรูปดอกเห็ด!

โพรงค์หินสั่นไหว คลื่นไอร้อนระอุม้วนตัวพุ่งออกไปทำลายหินงอกหินย้อยบริเวณนั้นจนราบเป็นหน้ากลอง เศษหินจำนวนมากกระเด็นชนผนังหินทั่วทิศ

ภายใต้การสื่อสารทางจิตกับหลิ่วหมิง แมงป่องกระดูกขาวรีบมุดลงไปใต้พื้นก่อนหน้านั้นแล้ว

เผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ สีหน้าหลิ่วหมิงก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย แต่กลับจ้องมองเมฆอัคคีสีดำตาไม่กระพริบ

เมฆอัคคีนี้ม้วนตัวไปหลายตลบ ในที่สุดก็สลายไป โครงกระดูกร่างมนุษย์ก็หายไปด้วย เหลือไว้แค่ชิ้นส่วนเล็กๆ ของเกราะเหล็กกับขวานที่ชำรุดครึ่งหนึ่งไว้บนพื้น

หลิ่วหมิงถอนหายใจยาวออกมา และไม่ได้รีบเดินเข้าไปในทันที แต่กลับหันหน้าไปทางปากทางเข้าแล้วกล่าวเรียบๆ ออกมา

“ศิษย์พี่ซือหม่า ดูมานานขนาดนี้แล้วไม่คิดจะออกมาเจอหน้ากันหน่อยหรือ?”

……………………………………….

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset