ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 450 ผู้ได้รับคัดเลือก

กฎการคัดเลือกนั้นง่ายมาก ก่อนอื่นให้ผู้เข้าร่วมคัดเลือกทำการประลอง ผู้ชนะยืนอยู่บนสังเวียน ผู้แพ้ให้ลงจากสังเวียนไป

สุดท้ายแล้วผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยืนรออยู่บนสังเวียนหนึ่งก้านธูป หากยังไม่มีใครกล้าท้าสู้ ก็จะได้เป็นตัวแทนไปเดิมพันการต่อสู้กับพันธมิตรจินอวี้

เฟิงจ้านเป็นคนควบคุมการประลองคัดเลือกเอง หลังจากพูดกฎไปหนึ่งรอบแล้ว ก็ขอให้ทุกคนให้ความสำคัญกับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ อย่าได้ทำการเข่นฆ่าเป็นอันขาด จากนั้นก็พาเฟิงไฉ่กับเว่ยจ้งไปยังแท่นสูงขนาดเล็กที่อยู่ไม่ไกล เพื่อทำการรับชมการต่อสู้ และประกาศให้เริ่มการประลองได้

พอสิ้นเสียงประกาศไม่นาน ก็มีคนสี่คนแบ่งเป็นสองกลุ่ม เหาะขึ้นบนสังเวียนอย่างรวดเร็ว และทำการต่อสู้ทันที

และบริเวณรอบๆ สังเวียน ย่อมมีคนกระตุ้นค่ายกลที่ได้จัดวางไว้แต่แรกแล้ว ทันใดนั้นม่านแสงสีขาวก็ปรากฏออกมาเป็นชั้นๆ และปกคลุมสังเวียนทั้งสองไว้

ฝูงชนที่รวมตัวกันอยู่ที่นี่ แม้จะไม่เบียดเสียห้อมล้อมสังเวียนจนแน่นขนัดเหมือนคนธรรมดา แต่ก็พากันมองมาจากที่ไกลๆ ด้วยสีหน้าตื่นเต้น

ไม่นานก็มีเสียงดังกึกก้องมาจากแท่นสังเวียนทั้งสอง จากนั้นก็ปรากฏผลแพ้ชนะออกมา และย่อมมีคนขึ้นไปท้าสู้บนแท่นสังเวียนต่อ

หลิ่วหมิงกับซินหยวนไม่ได้รีบร้อนลงมือ พวกเขาเพียงแค่มองดูการประลองบนแท่นสังเวียนที่อยู่ไกลๆ

“แขกในพรรคที่อยู่ระดับของเหลวขั้นกลางขึ้นไปมีทั้งหมดยี่สิบแปดคน และผู้ดูแลสาขาของพรรคมีสิบคน คงจะมีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลางทั้งหมด ขณะนี้พลังแกนกลางในพรรค คงจะมารวมตัวกันที่นี่แปดถึงเก้าในสิบส่วน” ซินหยวนมองดูคู่ต่อสู้บนแท่นสังเวียน และค่อยๆ กล่าวออกมา

“อ๋อ! คนเหล่านั้นต่างก็มาเข้าร่วมการประลองหรือ?” พอหลิ่วหมิงได้ยินก็ถามอย่างไม่ใส่ใจ

พูดถึงความเข้าใจในพรรคฉางเฟิง หลิ่วหมิงย่อมเทียบกับซินหยวนที่เข้าสังคมเก่งไม่ได้

“มันกลับไม่ใช่อย่างนั้น จากที่ข้าสอบถามมา การประลองในครั้งนี้รวมข้ากับเจ้าแล้ว ก็มีทั้งหมดแค่สิบแปดคน ส่วนคนอื่นๆ ต่างก็มาร่วมชมความสนุกสนานเท่านั้น” ซินหยวนกวาดสายตาดูกลุ่มคนที่อยู่ข้างๆ แล้วหัวเราะก่อนกล่าวออกมา

……

ครึ่งวันผ่านไป

ขณะนี้การต่อสู้บนแท่นสังเวียนทั้งสองกลับดุเดือดกว่าก่อนหน้านั้นไม่น้อย

บนแท่นสังเวียนแห่งหนึ่ง หลิ่วหมิงกำลังถือกระบี่จิตวิญญาณสีเงินต่อสู้กับนักพรตวัยกลางคนที่ชุดคลุมสีเทาผู้หนึ่ง

แม้นักพรตชุดคลุมสีเทาผู้นี้จะมีการฝึกฝนระดับเดียวกับหลิ่วหมิง  แต่พอหอกยาวสีเลือดในมือเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ครู่หนึ่ง มันก็กลายเป็นอสรพิษโลหิตสีแดง และอ้าปากพ่นลำแสงสีแดงออกมา  วิชาที่เขาฝึกฝนดูอำมหิตมาก คิดไม่ถึงว่าจะทำให้หลิ่วหมิงมือไม้ยุ่งเป็นพัลวันอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

แต่พอนักพรตชุดคลุมสีเทาวางมือลง แสงสีแดงก็เปล่งประกายออกมา หัวหอกกลายเป็นอสรพิษยักษ์ที่ยาวหลายจั้งพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง แต่กลิ่นคาวเลือดโชยเข้าถึงก่อน

เมื่อหลิ่วหมิงได้กลิ่นของมัน ก็รู้สึกจิตใจว้าวุ่น และหน้ามืดตาลายอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เขาทำเสียงฮึดฮัด และกระตุ้นพลังจิตอันแข็งแกร่งทันที จากนั้นความรู้สึกผิดปกติก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

พอสะบัดข้อมือ กระบี่จิตวิญญาณสีเงินในมือก็ส่งเสียงดังกังวาน และกลายเป็นเงากระบี่ต้านทานอยู่ตรงหน้า

“เต้ง!” เงาร่างอสรพิษโลหิตกับเงากระบี่สีเงินหายไปพร้อมกัน และหัวหอกสีเลือดก็ถูกหลิ่วหมิงคว้าเอาไว้ได้

นักพรตชุดคลุมสีเทาเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา เขากระตุกแขนทั้งสองในฉับพลัน เพื่อดึงหอกยาวออกจากฝ่ามือของฝ่ายตรงข้าม แต่อาวุธชิ้นนี้ไม่อาจเคลื่อนไหวได้เลยแม้แต่น้อย

พอหลิ่วหมิงสะบัดข้อมือข้างหนึ่ง พลังมหาศาลก็พรั่งพรูออกไป ทำให้นักพรตชุดคลุมสีเทาล่าถอยออกไปหลายจั้ง

และในขณะเดียวกัน พอกระบี่ในมือหลิ่วหมิงเปล่งแสงสีเงินออกมา มันก็ถูกเขวี้ยงออกไปจนกลายเป็นสายรุ้งสีเงินฟันใส่ฝ่ายตรงข้าม

นักพรตชุดคลุมสีเทาเพิ่งจะตั้งหลักได้ ก็รู้สึกว่ามีแสงสีเงินสว่างวาบตรงหน้า ขณะที่กำลังรู้สึกตกใจนั้น อักขระสีเลือดจำนวนมากก็ลอยออกจากหอกยาวในมือ หลังจากหมุนติ้วๆ รวมตัวกันแล้ว มันก็กลายเป็น โล่แสงโลหิตต้านทานอยู่ตรงหน้า

“เต๊ง!”

โล่กลมๆ สั่นสะท้านในทันที แสงโลหิตสว่างขึ้นมา หลังจากกระพริบหายไปแล้ว ก็มีรูกระบี่ปรากฏอยู่ตรงกลาง

นักพรตชุดคลุมสีเทารู้สึกเย็นที่แก้ม แสงสีเงินลำหนึ่งกระพริบผ่านด้านข้างไป ปราณแกร่งที่คุ้มตัวอยู่แตกสลายภายในพริบตา จนไม่อาจต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย

จากนั้นเสียงกระบี่ก็ดังมาจากด้านหลัง!

นักพรตหันกลับไปทันที แต่จะเห็นว่าสายรุ้งสีเงินแฉลบไปตามพื้นสังเวียนอย่างไร้สุ้มเสียง จนทิ้งรอยกระบี่ลึกที่ยาวสิบกว่าจั้งไว้

เหงื่อเย็นไหลนองเต็มหลังของเขาในทันที!

มาถึงตอนนี้ ไหนเลยเขาจะไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามยั้งมือให้แล้ว มิเช่นนั้นเพียงแค่แสงกระบี่เมื่อครู่โดนตัวเขาเพียงเล็กน้อย เกรงว่าวันนี้คงต้องเสียชีวิต ณ ที่นี้แล้ว

“วิชาขี่กระบี่ของสหายหลิ่วยอดเยี่ยมมาก ข้าน้อยมิอาจเทียบได้” นักพรตวัยกลางคนกุมมือให้ จากนั้นก็เก็บหอกโลหิตและหมุนตัวเดินลงสังเวียนไป

หลิ่วหมิงก็กล่าวอย่างนุ่มนวล “ท่านออมมือแล้ว!” จากนั้นก็เก็บกระบี่บินกลับมา ขณะเดียวกันก็กวาดสายตามองลงด้านล่าง

“หลิ่วหมิง แขกระดับสูง ชนะ!”

เฟิงจ้านที่อยู่บนแท่นสูงเห็นเช่นนี้ ก็ประกาศออกมาอย่างราบเรียบ ประจักษ์ชัดว่าแม้วิชาขี่กระบี่ของหลิ่วหมิงจะน่าตกใจ แต่ก็ยังไม่เข้าตาผู้แข็งแกร่งระดับผลึกผู้นี้

“หลิ่วหมิงผู้นี้เป็นใครกันแน่ แม้แต่ผู้ดูแลหลี่ก็ยังพ่ายแพ้ให้ ในพรรคนี้เขาเป็นผู้แข็งแกร่งรองมาจากรองประมุขพรรคทั้งสองเท่านั้นนะ”

“ข้าว่าเป็นเพราะผู้ดูแลหลี่ยังไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดมากกว่า”

“พวกเจ้าจะรู้อะไร เดิมทีการฝึกฝนกระบี่ก็เป็นเรื่องยากมากแล้ว การท้าสู้เหนือขั้นยิ่งเป็นเรื่องธรรมดามาก”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”

ผู้ชมที่มีพอจะมีความรู้กลับอดวิพากษ์วิจารณ์ออกมาไม่ได้ แต่ก็ด้วยเหตุนี้กลับไม่มีใครกล้าขึ้นไปท้าสู้บนสังเวียนชั่วขณะหนึ่ง

ขณะเดียวกัน บนแท่นสังเวียนอีกแห่ง

เกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น!

หลุมขนาดใหญ่ที่ลึกหลายจั้ง ปรากฏอยู่บนแท่นสังเวียนทันที

จากนั้นเศษหินก็กระเด็นไปทั่วทิศ ชายฉกรรจ์ชุดคลุมสีเขียวปรากฏตัวข้างหลุมด้วยแสงสีเขียวที่เปล่งประกายตามผิวหนัง แขนขนาดใหญ่ที่มีไอหมอกสีเขียวลอยวนเวียนยังคงทำท่าโจมตีค้างไว้

ไม่รู้ว่าคนผู้นี้ใช้เคล็ดวิชาอะไร ตอนแรกทำให้ร่างขยายใหญ่กว่าเดิมหนึ่งเท่ากว่าๆ และผิวหนังของเขาก็ดูราวกับถูกปกคลุมด้วยเกล็ดอันแข็งแกร่ง พริบตาเดียวก็มีพลังขึ้นมามหาศาล

เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่เขาปล่อยกำปั้นออกไป ชายร่างผอมแห้งตรงหน้ากลับหลบไปได้ราวกับรู้ล่วงหน้า หลังจากเป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้ง ชายฉกรรจ์ก็รู้สึกได้ลางๆ ว่าพลังเวทในร่างเริ่มจะยืนหยัดไม่ไหวแล้ว

และห่างจากหลุมขนาดใหญ่ไปไม่ไกล ก็มีเงาร่างปรากฏออกมา เขาก็คือซินหยวนที่เพิ่งจะหลบการโจมตีของชายฉกรรจ์ชุดเขียวมาได้

เขาเพียงแค่หัวเราะใส่ชายฉกรรจ์ พอคำรามเสียงออกมา กล้ามเนื้อบนแขนทั้งสองก็ขยายใหญ่ขึ้น จากนั้นก็ตวัดกระบองสีดำไปยังชายฉกรรจ์

พริบตานั้นเกิดเสียงดังกึกก้อง!

เงากระบองสีดำจำนวนมากปรากฏออกมา และม้วนตัวออกไปอย่างบ้าคลั่ง

ชายฉกรรจ์ชุดเขียวรู้สึกว่าแสงสีดำที่โจมจีเข้ามาพร่ามัวในทันที ครู่ต่อมาเงากระบองรอบด้านก็แผดเสียงหวู่ๆ! และม้วนตัวมาที่เขา

เงากระบองมายังไม่ทันถึง พลังไร้รูปบางอย่างก็ปรากฏออกมารอบด้าน จนทำให้ดูอึดอัดขึ้นมา

ชายฉกรรจ์รู้สึกตกใจมาก แสงสีเขียวเปล่งประกายทั่วผิวหนัง ชั้นป้องกันปรากฏออกมาหนึ่งชั้น และเกิดการสั่นสะเทือนขึ้นมา ขณะเดียวกันพลังมหาศาลก็เข้ามาจากด้านซ้าย ทันใดนั้นทั้งคนและชั้นป้องกัน ก็พากันกระเด็นออกไป และกระแทกลงบนแท่นสังเวียนอย่างรุนแรง

เขาร้องออกมาอย่างน่าเวทนา จากนั้นแสงคุ้มกันก็แตกสลายในทันที ขณะเดียวกันก็รู้สึกเจ็บแขนอย่างแสนสาหัส แสงสีเขียวบนผิวก็กระพริบหายไป

คิดไม่ถึงว่าผิวหนังทั่วตัวที่ดูแข็งแกร่งราวกับหินเหล็ก จะมีโลหิตไหลออกมา จากนั้นร่างเขาก็ลดขนาดลงจนเป็นปกติราวกับมีรอยรั่ว และล้มลงบนพื้นจนไม่อาจลุกขึ้นมาได้

“สหายซินมีพลังมหาศาลมาก ข้าน้อยขอยอมแพ้” ชายฉกรรจ์ชุดเขียวรู้ว่าตนเองไม่สามารถต่อสู้ได้แล้ว จึงกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น

“ซินหยวน แขกระดับสูง ชนะ!” มีเสียงเฟิงจ้านดังเข้ามาจากที่ไกลๆ

……

“ท่านพ่อ แม้แขกทั้งสองคนนี้จะมีการฝึกฝนแค่ระดับของเหลวขั้นกลาง แต่พลังของพวกเขาไม่อาจมองข้ามได้ ไม่แน่ว่าผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายทั่วไป อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา ดูท่าการประลองคัดเลือกในครั้งนี้คงได้ผลลัพธ์ออกมาแล้ว” เฟิงไฉ่ยังคงอยู่ด้านข้างเฟิงจ้าน นางกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มอันน่ามอง

เฟิงจ้านไม่ได้ตอบนางโดยตรง เพียงแค่ค่อยๆ พยักหน้าเท่านั้น

พอศิษย์นิกายห้าวิญญาณอย่างเว่ยจ้งได้ยินเฟิงไฉ่กล่าวเช่นนี้ ก็ทำเสียงฮึดฮัดอย่างอดไม่ได้ และแสดงแววตาดูถูกเหยียดหยามออกมา

หลิ่วหมิงกับซินหยวน คนหนึ่งอาศัยพลังมหาศาล อีกคนหนึ่งใช้วิชาขี่กระบี่จนไม่มีคนกล้าขึ้นแท่นสังเวียนเป็นเวลานาน

จนเมื่อเวลาหนึ่งก้านธูปใกล้จะมาถึง ถึงมีคนขึ้นไปท้าประลองด้วยความไม่พอใจ แต่ยังคงถูกทั้งสองโจมตีจนพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย

ครึ่งชั่วยามผ่านไป ในที่สุดก็ไม่มีใครกล้าขึ้นไปท้าประลอง

“ดี! ดีมาก! คิดไม่ถึงว่าสหายทั้งสองที่เพิ่งเข้าพรรคมาใหม่ จะคมในฝักเช่นนี้ บวกกับมีคุณชายเว่ยคอยช่วยด้วยล่ะก็ คิดว่าครั้งนี้พรรคของเราคงจะชนะพันธมิตรจินอวี้อย่างไม่ต้องสงสัย พอถึงเวลานั้นคงต้องเพิ่งสหายทั้งสองแล้ว” เฟิงจ้านกวาดสายตามองดูผู้คนทั้งหมด หลังจากนั้นก็กล่าวชมเชยหลิ่วหมิงกับซินหยวนด้วยรอยยิ้ม

“ท่านประมุขชมเกินไป พวกข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถ” หลิ่วหมิงคุมมือคารวะเฟิงจ้านอยู่บนแท่นสังเวียน และกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ซินหยวนที่ยืนอยู่บนแท่นสังเวียนอีกแห่งก็กล่าวด้วยความเกรงใจไปสองสามประโยค

”ฮ่าๆ! ท่านทั้งสองถ่อมตัวเกินไปแล้ว รอได้ชัยชนะจากเดิมพันการต่อสู้แล้ว พรรคเราจะจัดงานเฉลิมฉลองอย่างแน่นอน”

เฟิงจ้านหัวเราะฮ่าๆ แล้วกล่าวออกมา ขณะเดียวกันก็ยกมือขึ้น เพื่อบ่งบอกว่าให้ฝูงชนเงียบ จากนั้นก็ประกาศออกมา

“ตอนนี้ข้าขอประกาศว่า ตัวแทนสามคนของพรรคฉางเฟิงที่จะเข้าร่วมเดิมพันการต่อสู้ก็คือ คุณชายเว่ยจ้ง หลิ่วหมิง และซินหยวน”

พอกล่าวจบ แขกที่ปกติสนิทสนมกับซินหยวนก็พากันขึ้นมาแสดงความยินดี

“พี่ซิน พี่หลิ่ว ยินดีด้วย!” กวนอวี๋จ้องมองทั้งสองด้วยสีหน้าที่ไม่เป็นธรรมชาติ

ครั้งนี้เขาก็ได้ลงชื่อเข้าร่วมประลองด้วย แต่น่าเสียดายที่ชนะแค่ครั้งเดียว จากนั้นก็ถูกชายฉกรรจ์ชุดเขียวผู้นั้นโจมตีจนพ่ายแพ้

พอคนอื่นๆ เห็นว่าการประลองจบลงแล้ว ก็คุยผูกไมตรีกับทั้งสองสองสามประโยค จากนั้นก็คารวะเฟิงจ้าน และพากันจากไปเป็นกลุ่มๆ

“หวังว่าแขกทั้งสองจะพักผ่อนให้มากๆ ในเวลาที่เหลือ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเดิมพันการต่อสู้ ในระหว่างเวลานี้ หากมีอะไรให้ข้าช่วยเหลือก็พูดออกมาได้เลย ทางพรรคจะพยายามจัดหามาให้” ขณะนี้เฟิงจ้าน เฟิงไฉ่ และเว่ยจ้งต่างก็ลงจากแท่นสูงมาอยู่ข้างๆ หลิ่วหมิงทั้งสองแล้ว และยังให้สัญญาด้วยความเบิกบานใจ

“พวกข้าจะไม่ทำให้ท่านประมุขผิดหวังอย่างแน่นอน”

หลิ่วหมิงและซินหยวนย่อมกล่าวขอบคุณออกมา ไม่นานก็ไปจากเกาะเล็กๆ แห่งนี้

…………………………………

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset