ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 489 ร่วมมือ

ชายหนุ่มชุดขาวผู้นี้ก็คือคนที่เสนอให้ผู้คนเดินทางด้วยกันในก่อนหน้านั้น แม้จะไม่รู้ว่าในตอนท้ายจะมีกี่คนที่เข้าร่วมกับเขา แต่ดูจากการที่เขาอยู่ตัวคนเดียวในตอนนี้ เกรงว่าผู้ร่วมเดินทางคงเผชิญกับเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงแล้ว

พอหลิ่วหมิงปรากฏอยู่ไกลๆ จั้งเสวียนก็มองเข้ามาด้วยสายตาที่เยือกเย็น หลังจากเห็นว่าเป็นหลิ่วหมิง เขาถึงละสายตากลับมา

แต่ชายหนุ่มชุดขาวกลับลืมตาในฉับพลัน หลังจากมองหลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้ว ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น

“ศิษย์น้องก็กลับมาที่นี่ด้วย คงถูกอสูรเพลิงกลุ่มใหญ่ที่อัคคีจิตวิญญาณควบคุมลอบโจมตีใช่หรือไม่?”

“ไม่ผิด! ศิษย์พี่ทั้งสองก็เป็นเช่นนี้ล่ะสิ?” หลิ่วหมิงค่อยๆ ก้าวเข้ามา และพยักหน้าตอบรับ

จั้งเสวียนได้ยินหลิ่วหมิงกล่าวเช่นนี้ เขาก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วและไม่กล่าวอะไรออกมา

ชายหนุ่มชุดขาวถอนหายใจยาวๆ และค่อยๆ เล่าเหตุการณ์ที่เผชิญในครึ่งวันมานี้ออกมา

ที่แท้เขาออกเดินทางร่วมกับคนอีกสองคน ตอนแรกก็เริ่มสังหารอสูรเพลิงระดับต่ำจำนวนหนึ่งติดต่อกัน ด้วยเหตุนี้จึงมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นมามาก จึงคิดที่จะเข้าไปในส่วนที่อยู่ลึกเข้าไป

แต่ขณะที่ผ่านพื้นที่รกร้างว่างเปล่าแห่งหนึ่ง ทั้งสามก็ถูกอสูรเพลิงปิดล้อมอย่างกระทันหัน แต่เนื่องจากอสูรเพลิงเหล่านี้มีระดับการฝึกฝนไม่สูง ทั้งสามจึงไม่คิดจะหนีไปในทันที แต่กลับอยากจะเก็บวัสดุของอสูรเพลิงให้มาก จึงเริ่มต่อสู้กับมันอย่างดุเดือด

สุดท้าย ในขณะที่ทั้งสามเห็นว่าสังหารฝูงอสูรไปได้พอประมาณ และร่างกายก็อ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปมากนั้น พลันมีอัคคีจิตวิญญาณปรากฏออกมาพร้อมกันหลายตัว และลอบโจมตีเพื่อนร่วมทางอีกสองคนจนเสียชีวิต หากไม่ใช่ว่าจั้งเสวียนผ่านมาบริเวณนั้นพอดี และแสดงฝีมือจนอัคคีจิตวิญญาณหนีไปด้วยความตกใจล่ะก็ เกรงว่าครั้งนี้คงไม่อาจโชคดีรอดพ้นมาได้

“ตลอดทางข้าก็เจอเหตุการณ์เช่นนี้เหมือนกัน มักจะถูกอัคคีจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งลอบโจมตีติดๆ กัน อัคคีจิตวิญญาณที่เดิมทีไม่ปรากฏในเขตพื้นที่แห่งนี้ ก็ปรากฏตัวอยู่บ่อยครั้ง ระดับความอันตรายของมันก็ไม่เหมือนกับข้อมูลที่ได้รับมา คิดว่าแดนอบอ้าวคงมีเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ข้าว่าพวกเราควรออกไปจากการทดสอบ และรายงานเรื่องนี้ให้ทางนิกายทราบถึงจะเป็นแผนการที่ดีที่สุด” หลิ่วหมิงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา

“ข้าเองก็คิดเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าอัคคีจิตวิญญาณเหล่าเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง แดนอบอ้าวอันตรายขึ้นมาเป็นอย่างมาก ตามระเบียบของนิกาย พวกเราสามารถออกไปจากการทดสอบนี้ได้” ชายชุดขาวได้ยินหลิ่วหมิงเสนอเช่นนี้ เขาก็เห็นด้วย

“ในเมื่อทั้งสองกล่าวเช่นนี้ ข้าก็ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ” เสวียนจั้งฟังแล้วก็ค่อยๆ พยักหน้าเห็นด้วย

“ถ้าเช่นนั้นพวกเรารีบไปจากที่นี่เถอะ ยิ่งยืดเวลานานอุปสรรคก็ยิ่งมาก ข้ายังมีบาดแผลตามตัว ต้องขอไปก่อนแล้ว” ชายหนุ่มชุดขาวเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็พลิกฝ่ามือหยิบตราหยกออกมาทันที และปล่อยพลังเข้าไปในนั้น

“ฟู่!”

แสงเปล่งประกายบนผิวตราหยก ทันใดนั้นก็มีแสงสีขาวก็พุ่งขึ้นฟ้า แต่พอมันจมหายไปบนฟ้าไม่นาน ก็ระเบิดออกมาเป็นจุดแสง

และในขณะเดียวกัน ตราหยกในมือชายหนุ่มก็แตกละเอียดเป็นผุยผง

ทั้งสามเห็นเช่นนี้ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที พวกเขาต่างก็จ้องมองด้านบนตาไม่กระพริบ

แต่พอเวลาผ่านไปราวๆ ครึ่งถ้วยชา กลับยังคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“เกิดอะไรขึ้น? ไม่ใช่บอกว่าบีบตราหยกจนแตกละเอียดแล้ว ก็จะถูกส่งออกไปหรอกหรือ ?” น้ำเสียงของชายหนุ่มชุดขาวสั่นสะท้านเล็กน้อย

หลิ่วหมิงกับจั้งเสวียนสบตากันทีหนึ่ง ซึ่งสีหน้าของทั้งสองต่างดูไม่ได้เป็นอย่างมาก

จากนั้นพวกเขาก็ทยอยกันบีบตราหยกในมือจนแตกละเอียด แต่ผลลัพธ์กลับเป็นดังที่คาดไว้ ไม่มีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้นเลย

สำหรับภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในก่อนหน้านั้น ทำให้หลิ่วหมิงคาดเดาอย่างลางๆ ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงในแดนอบอ้าวหรือไม่ ตอนนี้ตราหยกยังสูญเสียผลลัพธ์ไป มันจึงเป็นการยืนยันว่าการคาดเดาของเขาเป็นจริงอย่างแน่นอน

“ตอนนี้ตราหยกไร้ซึ่งผลลัพธ์ ถ้าอย่างนั้นคงไม่สามารถไปจากสถานที่แห่งนี้ภายในระยะเวลาสั้นๆ ได้ ไม่รู้ว่าหัวหน้าสาขาทั้งแปดที่อยู่ด้านนอกจะรับรู้สถานการณ์ในนี้หรือไม่ แต่ภาระอันเร่งด่วนเช่นนี้ พวกเราคงได้แต่พยายามรักษาชีวิต และหาวิธีหลุดพ้นไปเอง นอกเสียจากว่าสหายทั้งสองจะมีวิธีการอื่นในการออกไปจากที่นี่” หลิ่วหมิงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา

“พวกเราเข้ามาที่นี่ได้ ล้วนถูกหัวหน้าสาขาทั้งแปดรวมพลังส่งเข้ามา ไหนเลยจะมีวิธีการอื่นในการออกไป” ชายหนุ่มชุดขาวกล่าวด้วยใบหน้าซีดขาว

“ข้าก็ไม่มีวิธีการอื่น” จั้งเสวียนตาเป็นประกายสองสามทีแล้วกล่าวออกมา

“ดูท่าตอนนี้คงต้องไปรวมตัวกับคนอื่นๆ แล้วหารือวิธีการรับมือก่อน ในเมื่ออัคคีจิตวิญญาณเหล่านั้นไม่ถูกจำกัดพื้นที่แล้ว หากพวกเราอยู่ที่นี่ต่อล่ะก็ เกรงว่าคงจะอันตรายเป็นอย่างมาก” ชายชุดขาวคิดไตร่ตรองไปรอบหนึ่งแล้วกล่าวออกมา

“พวกเราย่อมต้องไปจากที่นี่อย่างแน่นอน ศิษย์คนอื่นๆ คงไปตามส่วนต่างๆ ของแดนอบอ้าวที่มีอัคคีจิตวิญญาณ และศิษย์ส่วนมากก็เลือกไปหากลุ่มอัคคีจิตวิญญาณที่อยู่ใจกลางแดนอบอ้าว บริเวณนั้นคงมีศิษย์นิกายเรารวมตัวกันอยู่มากที่สุด แต่ในเมื่อตอนนี้อัคคีจิตวิญญาณต่างก็ปรากฏตัวในเขตพื้นที่อื่นๆ คิดว่าในเขตพื้นที่นั้นคงมีอัคคีจิตวิญญาณรวมตัวอยู่ไม่ค่อยมาก พวกเราควรไปรวมตัวกับพวกเขาที่นั่น แต่ในเมื่ออัคคีจิตวิญญาณสามารถพาอสูรธาตุไฟเหล่านี้มาลอบโจมตีพวกเราได้ คิดว่าคนอื่นๆ ก็คงไม่อาจโชคดีรอดพ้นไปได้ ไม่รู้ว่าจะมีสักกี่คนที่สามารถรอดไปถึงที่นั่นอย่างปลอดภัย อีกอย่าง เห็นได้ชัดว่าเส้นทางบนแผนที่เหล่านั้นใช้ไม่ได้อีกแล้ว พวกเราจำต้องบุกเบิกเส้นทางอื่น” จั้งเสวียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

“อันนี้ง่ายมาก พวกเราเพียงแค่เลือกเส้นทางที่ไม่ได้ทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่ก็พอแล้ว แม้อาจจะพบจะดับอันตรายอย่างอื่น แต่ก็ยังดีกว่าถูกอัคคีจิตวิญญาณเหล่านั้นจับตามอง” เดิมทีหลิ่วหมิงก็คิดเช่นนี้ พอได้ยินคำพูดนี้ออกมาจากปากจั้งเสวียน แม้จะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ยังคงกล่าวเห็นด้วย

ชายหนุ่มชุดขาวไม่มีข้อโต้แย้งในเรื่องนี้

หลังจากหารือกันไปรอบหนึ่งแล้ว ทั้งสามก็ตัดสินใจรอจนพลังเวทของชายหนุ่มชุดขาวฟื้นคืนเล็กน้อย จากนั้นก็จะออกเดินทางไปยังใจกลางแดนอบอ้าวที่มีอัคคีจิตวิญญาณกลุ่มใหญ่รวมตัวกันทันที

ชายหนุ่มชุดขาวหยิบขวดหยกสีเขียวออกจากแขนเสื้อข้างหนึ่ง และเทโอสถสีแดงออกมาทานสองเม็ด จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิหลับตาทำสมาธิต่อ

ผ่านไปไม่นาน ใบหน้าที่ซีดขาวของชายหนุ่มก็ค่อยๆ มีเลือดฝาดขึ้นมา

หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิลงบนก้อนหินสีแดงก้อนหนึ่ง และปล่อยพลังจิตไปสังเกตดูรอบด้านอยู่ตลอดเวลา ขณะเดียวกันก็ครุ่นคิดอะไรบางอย่างเงียบๆ

จั้งเสวียนก็ยืนกอดอกอยู่ที่เดิม และมองออกไปไกลๆ ราวกับกำลังคิดอะไรอยู่

สองชั่วยามผ่านไป ชายหนุ่มชุดขาวก็ถอนหายใจยาวออกมา และยืนขึ้นทันที

จากนั้นทั้งสามก็เหาะต่ำๆ ไปยังทิศทางบางแห่งที่ตั้งไว้

……

ผ่านไปไม่กี่ชั่วยาม

พวกหลิ่วหมิงทั้งสามก็เดินอยู่บนทางเส้นเล็กๆ ที่กว้างสามสี่จั้ง ด้านหนึ่งเป็นเขาลูกเล็กๆ ที่ทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุด อีกด้านหนึ่งเป็นป่าสีแดงที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด

ทันใดนั้น จั้งเสวียนที่เดินอยู่หน้าสุดก็หยุดฝีเท้าลง มีซากศพสามศพนอนอยู่บนพื้นที่อยู่ไม่ไกล ดูจากชุดที่สวมใส่พอจะมองออกได้ลางๆ ว่าเป็นศิษยสายนอกของสาขาอื่นๆ และบริเวณรอบๆ มีศพหมาป่าเพลิงนอนเรี่ยราดอยู่สิบกว่าศพ

ซากศพของศิษย์สายนอกทั้งสาม ต่างก็ถูกเผาจนไหม้เกรียม แขนขาก็ถูกฉีกทึ้งจนไม่เป็นชิ้นดี แม้กระทั่งหน้าอกของหนึ่งในนั้น ก็ถูกควักออกมา

ดูท่าก่อนตายศิษย์ทั้งสามคงจะต่อสู้กับหมาป่าเพลิงอย่างดุเดือด

“อัคคีจิตวิญญาณเหล่านั้นคงจะไปแล้ว” ตาสีม่วงของจั้งเสวียนเป็นประกาย หลังจากกวาดดูรอบด้านแล้ว ก็กล่าวออกมาอย่างราบเรียบ

หลิ่วหมิงขยับตัวแค่ทีเดียว ก็มาถึงตรงหน้าซากศพเหล่านี้ และก้มลงตรวจสอบอย่างละเอียด สุดท้ายก็ไม่ค้นพบอาวุธจิตวิญญาณกับโอสถใดๆ เลย

หลิ่วหมิงถอนหายใจเบาๆ จากนั้นก็ส่ายหน้าและลุกขึ้นมา หลังจากนั้นก็ปล่อยลูกเปลวไฟสามลูกเผาศพเหล่านี้จนกลายเป็นขี้เถ้า

ระหว่างทาง ทั้งสามก็ไม่เผชิญกับการโจมตีแบบเดิมอีกเลย พบเพียงแค่อสูรเพลิงธรรมดาไม่กี่ตัวเท่านั้น และย่อมถูกพวกเขาสังหารอย่างไม่ใส่ใจ

ผ่านไปอีกครึ่งวัน ทั้งสามก็มาถึงทะเลสาบกลมๆ แห่งหนึ่ง

พอมองออกไป ก็ดูเหมือนว่าทะเลสาบทั้งผืนจะนิ่งสงบราวกับไม่มีชีวิตชีวา พื้นผิวของมันถูกหมอกควันสีแดงปกคลุมไว้ ทำให้มองเห็นได้จำกัด

“เดี๋ยวก่อน!” จั้งเสวียนที่อยู่ด้านหน้าเอ่ยปากออกมาในฉับพลัน มือขนาดใหญ่ราวกับใบพัดยื่นออกมาขวางไว้ เพื่อบ่งบอกให้หลิ่วหมิงและชายหนุ่มชุดขาวหยุดลง

“พี่จั้งค้นพบอะไรหรือ?” ชายหนุ่มชุดขาวเอ่ยปากถามด้วยสีหน้าฉงน

“มีอัคคีจิตวิญญาณซ่อนอยู่แถวนี้ ดูเหมือนจะมีราวๆ สี่ห้าตัว” ดวงตาสีม่วงของจั้งเสวียนกวาดดูอากาศตรงหน้า และกล่าวออกมา

พอคำพูดนี้ดังออกมา ทั้งสองย่อมรู้สึกตกใจเป็นธรรมดา

หลิ่วหมิงรีบปล่อยพลังจิตออกไปค้นดูอยู่รอบหนึ่ง แต่กลับไม่รับรู้ถึงร่องรอยของอัคคีจิตวิญญาณเลย จึงอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้

แต่ทว่าเมื่อเขาส่งพลังจิตไปยังส่วนที่อยู่ไกลออกไป กลับค้นพบว่าตรงหน้ามีคลื่นพลังจิตวิญญาณผสมปนเปกันอยู่

พอหลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่มองผ่านไอหมอกสลัวๆ ก็ค้นพบว่าดวงดาวดารดาษที่อยู่ไม่ไกล แท้จริงแล้วคือฝูงอสูรเพลิงที่กำลังกระโจนเข้ามา

“ทั้งสอง เกรงว่าพวกเราคงถูกซุ่มโจมตีแล้ว” สีหน้าหลิ่วหมิงเคร่งขรึมลง พอสะบัดแขนเสื้อ กระบี่เล็กสีฟ้าก็ปรากฏในมือ

ชายหนุ่มชุดขาวก็รีบควักพัดจิตวิญญาณสีดำออกมาตั้งขวางไว้ตรงหน้า

จั้งเสวียนอ้าปากพ่นกระบี่เล็กสีเหลืองออกมา และทำท่ามือชี้ไปทางอากาศบนหินผาก้อนหนึ่ง

สายรุ้งสีเหลืองสายหนึ่งพุ่งยิงออกไป!

“เพล้ง!”

ภายใต้แสงสีเหลืองที่เปล่งประกาย หินผาก้อนนั้นก็ถูกผ่าออกเป็นสองส่วน ขณะเดียวกัน กลุ่มอัคคีสีแดงก็พวยพุ่งออกมา มันคืออัคคีจิตวิญญาณร่างมนุษย์นั่นเอง

จั้งเสวียนกำมืออีกข้างไว้แน่น และทุบลงพื้นด้านล่างอย่างรุนแรง

ทันใดนั้น พื้นดินบริเวณนี้ก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เสาดินจำนวนมากพุ่งขึ้นจากพื้นว่างเปล่าตรงหน้า ภายใต้แสงไฟที่เปล่งประกาย ก็มีร่างอัคคีจิตวิญญาณปรากฏตรงหน้าอีกสี่ตัว

อัคคีจิตวิญญาณเหล่านี้ถูกเปลวไฟสีแดงห่อหุ้มไว้ พอเห็นว่าร่องรอยของตนเองถูกเปิดเผย มันก็ส่งเสียงร้องแหลมออกมาพร้อมกัน

ชายหนุ่มชุดขาวได้ยินเช่นนี้ ก็มีสีหน้าซีดขาวขึ้นมา แต่ดูเหมือนหลิ่วหมิงกับจั้งเสวียนจะไม่เป็นอะไร

“พี่หลิ่ว ท่านไปรับมือกับอสูรเพลิงเหล่านั้น อัคคีจิตวิญญาณเหล่านี้มอบให้ข้าจัดการเถอะ!” จั้งเสวียนเห็นเช่นนี้ ก็กวาดสายตามองดูหลิ่วหมิงด้วยความแปลกใจก่อนที่จะกล่าวออกมา

จากนั้นเขาก็โยนยันต์ออกไปผืนหนึ่ง และมันก็กลายเป็นแสงสีเหลืองปกป้องตนเองไว้ ส่วนมืออีกข้างก็ท่ามืออย่างต่อเนื่อง เพื่อควบคุมแสงสีเหลืองที่กลายร่างมาจากกระบี่บินสีเหลืองให้ไปปิดล้อมอัคคีจิตวิญญาณสามตัวไว้ ภายใต้แสงเย็นสะท้านอันน่าครั่นคร้าม ทำให้อัคคีจิตวิญญาณสามตัวนี้ต้องร่นถอยเป็นระยะๆ และหยุดกรีดร้องในฉับพลัน

หลังจากเสียงร้องแหลมลดลงไป ชายหนุ่มชุดขาวก็มีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย พอพัดจิตวิญญาณสีดำในมือถูกยกขึ้นมา พายุบ้าระห่ำจำนวนมากก็ม้วนตัวขึ้น และพุ่งไปตอบโต้อัคคีจิตวิญญาณอีกสองตัวทันที

…………………………………

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset