ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 499 เกาะผลึก

ราชาอัคคีจิตวิญญาณเห็นเช่นนี้ ก็คำรามเสียงออกมา เปลวไฟสีขาวสองกลุ่มหมุนติ้วๆ ในมือ และกลายเป็นดาบเพลิงสีขาวสองเล่มที่ยาวฉื่อกว่าๆ อย่างรวดเร็ว พอโบกมือทั้งสอง แสงสีขาวลำหนึ่งก็แผดเสียงเข้าหากระบี่ยักษ์กลางอากาศ ส่วนอีกลำก็พุ่งไปรับมือกับแสงสีม่วงทั้งหก

พอสายรุ้งสีฟ้ากับแสงสีขาวสัมผัสกันเล็กน้อย แสงไฟสีขาวก็พุ่งทะลุผิวกระบี่ไป และสายรุ้งสีฟ้าก็มีขนาดเล็กลงกว่าเดิมหลายเท่า ซึ่งดูเหมือนจะกลับมาเป็นกระบี่เล็กดังเดิม ขณะเดียวกัน ก็มีรอยแตกร้าวปรากฏบนผิวกระบี่

พอราชาอัคคีจิตวิญญาณคว้ามือข้างหนึ่งไปทางอากาศ ดาบเพลิงสีขาวก็ระเบิดตัวออกมา เปลวไฟสีขาวคุโชนปกคลุมกระบี่เล็กสีฟ้าไว้อย่างสมบูรณ์

หลิ่วหมิงรู้สึกหนักอึ้งในใจ จากนั้นก็สูญเสียการเชื่อมต่อกับกระบี่เล็กสีฟ้า

ครู่ต่อมา เศษกระบี่ที่ถูกหลอมเหลวก็ร่วงลงมา

อีกด้านหนึ่ง แสงสีม่วงหกลำพุ่งใส่ดาบเพลิงสีขาวติดต่อกัน จากนั้นก็ระเบิดตัวออกมา และแสงสีม่วงกับแสงสีขาวก็พุ่งขึ้นด้านบนพร้อมกัน

แต่ผ่านไปซักพัก เปลวไฟสีขาวอันคุโชนก็ปกคลุมแสงสีม่วงไว้ได้ทั้งหมด

พอจั้งเสวียนเห็นท่าไม่ดี ก็ทำท่ามือด้วยมือเดียวทันที

“ฟิ้ว!” แสงสีม่วงสามลำที่อ่อนแอลงเล็กน้อยหลุดออกจากเปลวไฟสีขาว และพุ่งเข้าไปในแขนเสื้อ

ขณะนี้ ร่างของราชาอัคคีจิตวิญญาณเริ่มพร่ามัว หลังจากเปลวไฟสีขาวอันคุโชนแยกออกเป็นสองส่วนแล้ว ร่างขนาดมหึมาก็แยกเป็นสองส่วนเช่นกัน เผยให้เห็นอัคคีจิตวิญญาณยักษ์สองตัวที่มีรูปร่างเหมือนกันลอยอยู่กลางอากาศ

อัคคีจิตวิญญาณยักษ์ทั้งสองแหงนหน้าคำรามออกมาพร้อมกัน พอกระพริบแค่ทีเดียว ก็มาอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิงกับจั้งเสวียน และดูเหมือนจะสะบัดแขนทั้งคู่พร้อมกัน จากนั้นดาบสีขาวสี่เล่มก็พุ่งออกจากมือ

หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่ลง และพยายามปล่อยพลังจิตหาร่างที่แท้จริงของราชาอัคคีจิตวิญญาณ

จั้งเสวียนเองก็เบิกดวงตาสีม่วงจ้องมองราชาอัคคีจิตวิญญาณตาไม่กระพริบ

สุดท้าย สิ่งที่ทำให้ทั้งสองตกใจก็คือ ราชาอัคคีจิตวิญญาณสองตัวที่อยู่ตรงหน้าเป็นร่างจริงทั้งหมด ไม่รู้ว่ามันใช้เคล็ดวิชาอะไร ถึงแยกร่างได้อย่างน่ามหัศจรรย์

หลิ่วหมิงทำเสียงฮึดฮัดโดยไม่ทันได้คิดอะไรมาก หมอกทรายสีทองพวยพุ่งตรงหน้า และกลายเป็นคลื่นทรายสีทองม้วนไปทางราชาอัคคีจิตวิญญาณ

“ฟู่!” คมดาบสีขาวสองเล่มพุ่งทะลุผนังทราย และไขว้เข้าหากันก่อนพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงนำมุกพลังวารีสองเม็ดออกมาด้วยความตกใจ พอประกบมือทั้งคู่ ไอหมอกสีดำก็เกาะตัวบนกำปั้นทั้งสอง และโจมตีออกไป

“ตู๊ม!”

ดาบเพลิงสีขาวสองเล่มระเบิดออกมาพร้อมกัน และประสานเข้ากับไอหมอกดำที่มุกพลังวารีสร้างขึ้นมา พอมีเสียงดัง “ชื่อๆ!” เปลวไฟสีขาวอันคุโชนก็ถูกกลืนกินไปกว่าครึ่งหนึ่ง

และหลิ่วหมิงก็อาศัยจังหวะนี้ ร่นถอยออกไปสิบกว่าจั้ง พอโบกแขนเสื้อ หมอกทรายสีทองก็พวยพุ่งอยู่ตรงหน้า

อีกด้านหนึ่ง ร่มยักษ์สีเขียวที่จั้งเสวียนกระตุ้นอยู่ ก็ไม่อาจต้านทานการพุ่งเข้ามาของคามดาบสีขาวได้ พอมันปะทะกัน ม่านแสงสีเขียวก็แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ

แต่แสงสีม่วงเปล่งประกายในดวงตาของเขาทันที เงาร่างพร่ามัวอยู่บนอากาศในระยะสองสามจั้ง ดาบเพลิงสีขาวทั้งสองเบี่ยงเบนผ่านด้านข้างทั้งสองของเขาไปอย่างน่าประหลาดใจ

“เต๊ง!” “เต๊ง!” มันฟันลงพื้นด้านหลังจนเกิดร่องลึกยาวสองร่อง

พอเห็นว่าการโจมตีอย่างกระทันหันไม่ได้ผล อัคคีจิตวิญญาณยักษ์ทั้งสองก็รู้สึกตะลึงเล็กน้อย แต่ยังไม่ทันที่พวกหลิ่วหมิงทั้งสองจะโจมตีกลับ มันก็กลายเป็นเปลวไฟสีขาวสองกลุ่มพุ่งยิงไปด้านหลัง หลังจากพวยพุ่งรวมตัวกันแล้ว ก็กลับมาเป็นราชาอัคคีจิตวิญญาณตามเดิม

“คนนิกายยอดบริสุทธิ์……ต้องตายทั้งหมด……” ราชาอัคคีจิตวิญญาณจ้องมองทั้งสองด้วยแววตาเยือกเย็น และเปล่งเสียงที่ฟังไม่ชัดออกมา จากนั้นก็กระทืบเท้าในฉับพลัน มือทั้งสองไขว้ไว้ตรงหน้าอก และร่ายคาถาแปลกประหลาดออกมา

เกิดเสียงดังโครมครามไปทั่วทั้งหุบเขา เมฆอัคคีบริเวณหลุมยักษ์พวยพุ่งเข้าไปหามันอย่างบ้าคลั่ง และกลายเป็นคลื่นอัคคีสีขาวอันร้อนแรงม้วนตัวขึ้นมาจากทั้งสองด้าน จากนั้นก็กลายเป็นวงแหวนไฟขนาดยักษ์ พริบตาเดียวก็ขังหลิ่วหมิงกับจั้งเสวียนไว้ในนั้น

คลื่นอัคคีสีขาวม้วนตัวไปตรงกลางระหว่างพวกเขาทั้งสอง

หลิ่วหมิงและจั้งเสวียนรู้สึกตกใจมาก ทำได้เพียงแต่กระตุ้นอาวุธจิตวิญญาณเพิ่มการต้านทานอย่างสุดชีวิต คลื่นอัคคีที่โผเข้ามาติดต่อกันนี้ ทำให้พวกเขาไม่อาจโจมตีกลับไปได้ชั่วขณะหนึ่ง

อัคคีจิตวิญญาณเห็นเช่นนี้ ก็แยกมือทั้งสองออกจากกัน และก่อตัวดาบเพลิงสีขาวแต่ละเล่มออกมา แม้ว่าจะมีขนาดเล็กกว่าก่อนหน้านั้น แต่มีจำนวนมากกว่ามาก ดูเหมือนจะมีราวๆ ร้อยเล่ม และมันก็ตั้งขวางอยู่ตรงหน้า

“ฟู่ๆ!” พอแสงสีขาวเปล่งประกาย ดาบเพลิงสีขาวจำนวนมากก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ครู่ต่อมา มีแสงสีขาวเปล่งประกายท่ามกลางคลื่นอัคคีที่โจมตีพวกหลิ่วหมิงทั้งสองอยู่ และมีดาบเพลิงฟันออกมาอย่างไม่ขาดสาย

หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็มีสีหน้าดูไม่ได้ขึ้นมา ด้านหนึ่งกระตุ้นค่ายกลทรายทองคำให้หมุนวนข้างกายอย่างรวดเร็ว  ด้านหนึ่งก็โยนมุกพลังวารีไปกลางอากาศ ทันใดนั้น มันก็กลายเป็นไอหมอกดำสลัวๆ ม้วนตัวลงมาปกคลุมตนเองไว้อย่างแน่นหนา

“เปรี๊ยะๆ!” เสียงโจมตีดังขึ้นมา เปลวไฟคุโชนถูกม่านทรายสีทองต้านทานไว้ แต่ดาบเพลิงสีขาวกลับพุ่งออกจากคลื่นอัคคี และทะลุม่านทรายก่อนจมเข้าไปในไอหมอกดำ ทำให้ไอหมอกดำกระเพื่อมจนมีไอน้ำพุ่งออกมา

หลิ่วหมิงอาศัยทรายทองคำร่วงกับมุกพลังวารีเป็นเกราะป้องกันสองชั้น ในที่สุดก็พอที่จะต้านทานคลื่นอัคคีกับดาบเพลิงสีขาวที่ทะลักเข้ามาราวกับสายน้ำไว้ได้

และทางด้านจั้งเสวียนก็มีปรากฏการณ์อันตรายเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ร่มยักษ์สีดำในก่อนหน้าได้รับความเสียหายในระดับหนึ่ง

ขณะนี้ เขาได้แต่ใช้โล่ยักษ์สีเหลืองต้านทานคลื่นอัคคี และดวงตาสีม่วงก็กระตุ้นเคล็ดวิชาต้านทานดาบเพลิงสีขาวไว้

แต่เห็นได้ชัดว่าพลังเผ่าเนตรอินทนิลที่เขาใช้ ทำให้สิ้นเปลืองพลังอย่างน่าตกใจ หลังจากต้านได้ซักพัก ใบหน้าก็ซีดขาวขึ้นมา พลังจิตก็ดูเหมือนจะอ่อนล้าลงเล็กน้อย

ขณะที่คลื่นอัคคีผสมปนเปกับดาบเพลิงจำนวนมากโจมตีเข้ามานั้น เคล็ดวิชาที่ดวงตาของจั้งเสวียนกระตุ้นออกมา ก็ทำให้อากาศบิดเบี้ยว และเปลี่ยนทิศทางของดาบเพลิง จนมันกระเด็นไปกลางอากาศ

ทันใดนั้น มีแสงสีขาวเปล่งประกายตรงหน้า จิตของเขาไม่ทันได้จับตำแหน่งของมัน เพียงแค่รู้สึกเย็นตรงแขนซ้าย และดาบเพลิงสีขาวก็ฟันลงมาราวกับสายฟ้าแลบ

จั้งเสวียนเองก็เป็นผู้ที่ได้ชื่อว่าเหี้ยมหาญมาก พอเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ ดวงตาสีม่วงก็ดูเฉียบขาดขึ้นมา จากนั้นก็อ้าปากพ่นลูกธนูโลหิตใส่แขนข้างที่ขาด

“ฟู่!” พริบตาเดียวหมอกโลหิตก็ดับเปลวไฟสีขาวบนแขนที่ขาดได้ จากนั้นก็รัดพันแขนที่ขาดให้ลอยอยู่กลางอากาศ

“พี่หลิ่ว ช่วยข้าถ่วงเวลาหน่อย!” เสียงของจั้งเสวียนดังขึ้นข้างหูหลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงตาเป็นประกายขึ้นมาทันที จากนั้นก็ทำท่ามือโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และเคลื่อนไหวไปอยู่ตรงหน้าจั้งเสวียนพร้อมกับหมอกทรายสีทอง

หมอกทรายกลายเป็นม่านทรายสีทองปิดบังจั้งเสวียนไว้อย่างหนาแน่น

ขณะเดียวกันเขาก็ตะโกนออกมา เกล็ดมังกรสีแดงปรากฏออกมาตามจุดสำคัญต่างๆ พอทำท่ามือด้วยมือเดียว ไอหมอกที่เปลี่ยนแปลงมาจากมุกพลังวารีก็โหมซัดสาด ซึ่งดูหนาแน่นกว่าก่อนหน้านั้นมาก

พริบตานั้น คลื่นอัคคีกับดาบเพลิงทั้งหมดต่างก็ถูกต้านทานไว้ด้านนอก

“ขอบคุณพี่หลิ่ว ให้เวลาข้าอีกสักหน่อย”

จั้งเสวียนที่อยู่ในม่านทรายสีทองส่งเสียงอย่างราบเรียบมาหนึ่งประโยค จากนั้นก็พลิกฝ่ามือหยิบยันต์สีเหลืองออกมา หลังจากขยี้จนแตกกระจายแล้ว ก็แปะไว้บริเวณที่แขนขาด และมันก็หยุดโลหิตที่พุ่งออกมาได้

ต่อมา เขาก็เริ่มร่ายคาถา และแสงสีม่วงก็เปล่งประกายในดวงตาอยู่ไม่หยุด โลหิตที่ซึมออกจากแขนที่ลอยอยู่กลางอากาศ ประสานกันไปมากับไอหมอกสีม่วง หลังจากค่อยๆ เกาะตัวเข้าด้วยกันแล้ว ก็กลายเป็นหอกกระดูกลอยอยู่กลางอากาศ และมีหมอกโลหิตสีม่วงปกคลุมไว้

หอกกระดูกยาวจั้งกว่าๆ ด้ามของมันมีอักขระสีม่วงเปล่งประกายอยู่รำไร ปลายอันแหลมคมเป็นสีม่วงจางๆ มีปราณโลหิตที่ดูคล้ายกับอสรพิษเล็กจำนวนมากอยู่ท่ามกลางหมอกโลหิตสีแดงดำ และหมุนวนรอบหอกกระดูกอยู่ไม่หยุด

ดวงตาทั้งคู่ของจั้งเสวียนเป็นประกายสีม่วง พอคว้ามือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ หอกกระดูกสีเลือดก็สั่นสะท้าน และดูเหมือนพร้อมที่จะพุ่งออกไปได้ตลอดเวลา

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ทำท่ามือด้วยมือทั้งสองโดยไม่ต้องคิด จุดแสงสีเขียวเปล่งปรากฏขึ้นตรงหน้า หลังจากรวมตัวอย่างรวดเร็วแล้ว คมวายุสิบกว่าสายก็ปรากฏออกมา จากนั้นก็พุ่งไปหาราชาอัคคีจิตวิญญาณพร้อมเสียงแหลมแสบแก้วหู

พอราชาอัคคีจิตวิญญาณเห็นคมวายุพุ่งเข้ามา มันก็อ้าปากพ่นลูกเปลวไฟออกไป

“ตู๊มต๊าม!” คมวายุและลูกไฟระเบิดออกมาเป็นเมฆอัคคีสีเขียวแดง และปิดกั้นการมองเห็นของราชาอัคคีจิตวิญญาณ กับหลิ่วหมิงไว้

หลิ่วหมิงอาศัยโอกาสนี้ขยับตัวออกไปทันที เผยให้เห็นหอกอันน่ากลัวที่ถูกหมอกโลหิตปกคลุมไว้

“ไป!”

ดวงตาของจั้งเสวียนกลายเป็นสีแดงอมม่วง จากนั้นก็กระแทกมือข้างหนึ่งใส่หอกกระดูก ขณะเดียวกันก็ตะโกนออกมา

“ฟู่!” หอกกระดูกราวกับลูกธนูที่หลุดออกจากสาย จากนั้นก็กลายเป็นแสงโลหิตพุ่งเข้าใส่ราชาอัคคีจิตวิญญาณอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ไม่กี่อึดใจก็ทะลุคลื่นอัคคี และมาปรากฏอยู่ตรงหน้าราชาอัคคีจิตวิญญาณ

โล่กระดูกที่มาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้ราชอัคคีจิตวิญญาณรู้สึกตกใจมาก เปลวไฟบนตัวม้วนออกไป และกลายเป็นกำแพงอัคคีกว้างจั้งกว่าๆ สูงสามสี่จั้งขวางอยู่ตรงหน้า

แต่หอกกระดูกโลหิตเพียงแค่ชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็เจาะทะลุกำแพงอัคคีไป

ราชาอัคคีจิตวิญญาณแผดเสียงร้องแหลมออกมา จากนั้นร่างของมันก็พร่ามัวหายไปจากที่เดิม

แต่ในขณะเดียวกัน หอกกระดูกโลหิตก็วกกลับมาอย่างรวดเร็ว และพุ่งไปทางด้านซ้ายทันที จากนั้นก็กระพริบหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ครู่ต่อมา เกิดเสียงดังอู้อี้ อากาศที่ดูว่างเปล่าพลันมีเปลวไฟสีขาวพวยพุ่งออกมา หลังจากแสงไฟดับลง ก็เผยให้เห็นร่างของราชาอัคคีจิตวิญญาณ และหอกกระดูกเล่มนั้น ก็ปักอยู่บนท้องน้อยของมัน ทั้งยังเปล่งแสงสีแดงอมม่วงแปลกประหลาดออกมา

ราชาอัคคีจิตวิญญาณก้มมองหอกบนตัวด้วยสีหน้าที่คาดไม่ถึง พอมันคำรามเสียงออกมา ก็ขยับแขนดึงหอกกระดูกในฉับพลัน ขณะเดียวกัน เปลวไฟก็คุโชนบนมือ และเปลวไฟสีขาวก็เผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าธุลี

ขณะเดียวกัน เปลวไฟก็พวยพุ่งออกมาจากบาดแผนตรงท้องของมัน ขอบแผลถูกหมอกสีม่วงจางๆ ปิดกั้นไว้ ทำให้ไม่อาจสมานเข้าหากันได้

วงแหวนเพลิงที่ล้อมรอบหลิ่วหมิงกับจั้งเสวียนก็มืดลง หลังจากเปล่งประกายไม่กี่ทีก็สลายไป

ประจักษ์ชัดว่าภายใต้สถานการณ์ที่ราชาอัคคีจิตวิญญาณระดับผลึกตนนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทำให้มันไม่อาจแสดงพลังออกมาได้เช่นเดิมอีก

จั้งเสวียนในขณะนี้ มีใบหน้าซีดขาวไร้ซึ่งโลหิต และร่างของเขาก็โงนเงน อาการบาดเจ็บบนตัวกับการแสดงวิชาต่างเผ่าติดต่อกัน ทำให้เขาใช้พลังกายและพลังเวทไปเกือบหมดสิ้น

“พวกเจ้า……จะต้องตายทั้งหมด”

ราชาอัคคีจิตวิญญาณคำรามเสียงที่ฟังไม่ชัดออกมา ดวงตาทั้งคู่จ้องมองจั้งเสวียน มือทั้งคู่เกาะตัวดาบเพลิงสีขาวสองเล่ม หลังจากรวมมันทั้งสองเข้าด้วยกันแล้ว ก็กลายเป็นหอกยาวที่สีเปลวไฟสีขาวพวยพุ่ง และโยนใส่จั้งเสวียนอย่างรุนแรง

จั้งเสวียนรู้สึกเพียงแค่ว่ามีเปลวไฟม้วนตัวตรงหน้า จากนั้นหอกยาวสีขาวก็พุ่งเข้ามาถึง คิดจะหลบหลีกก็ไม่ทันเสียแล้ว จิตใจของเขาจึงจมดิ่งลงไปทันที

…………………………………

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset