ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 504 สามวิธีการ

ขณะเดียวกัน ภายในห้องลึกลับบางแห่งของนิกายยอดบริสุทธิ์ ที่อยู่ในหอที่มีม่านแสงปกคลุมอยู่

ผู้อาวุโสท่านหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกสีแดง เขากำลังชื่นชมเตาหลอมสีแดงที่ถืออยู่ในมือ มันคือเตาหลอมสามอัคคีที่หอดำเนินการนำกลับมาในก่อนหน้านั้น แต่ขนาดของมันเล็กกว่าเดิมสิบกว่าเท่า

ชุดสีแดงของผู้อาวุโสค่อนข้างเก่า ใบหน้าธรรมดา ผมสีดอกเลายุ่งเหยิงอยู่บนศีรษะ ดวงตาเป็นสีฟ้าอ่อนๆ และเปล่งแสงแปลกประหลาดออกมา

เขาจ้องมองของชิ้นนี้อยู่พักใหญ่ๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นมาในฉับพลัน และโยนเตาหลอมเล็กไปกลางอากาศ พอทำท่ามือด้วยมือเดียว และปล่อยพลังออกไป แสงสีแดงก็กระพริบหายไปในเตาหลอมเล็ก

ทันใดนั้น ลวดลายสีแดงก็เปล่งประกายบนผิวเตาหลอม ร่างของมันขยายใหญ่ขึ้นมา และหมุนตัวติ้วๆ กลางอากาศอยู่ไม่หยุด ไม่นานก็กลายเป็นเตาหลอมยักษ์ที่สูงสองสามจั้ง และหล่นลงมาเสียงดังโครม ขณะเดียวกัน คลื่นพลังจิตวิญญาณที่สั่นสะเทือนออกมา ก็หนาแน่นขึ้นเล็กน้อย และม้วนตัวออกไปทั่วทิศ

พอผู้อาวุโสโบกแขนเสื้อ ฝาเตาหลอมยักษ์ก็ค่อยๆ เปิดออกมา หมอกควันสีขาวพุ่งออกมาจากในนั้น

จากนั้นเขาก็พุ่งขึ้นด้านบน ดวงตาทั้งคู่หรี่ลง และจ้องมองเตาหลอมยักษ์ ทันใดนั้นเขาก็ต้องร้องอุทานออกมา

“ข้าจำได้ว่าตอนที่สมบัติชิ้นนี้ถูกขโมยไป คือตอนที่ศิษย์น้องจงใช้อยู่ และในนั้นยังมีโอสถเม็ดหนึ่งที่ยังปรุงไม่เสร็จ ซึ่งบ่มเพาะจิตวิญญาณอยู่ในนั้น ดูเหมือนจะเป็นการทดสอบโอสถบางอย่างตามตำราโอสถ คุณสมบัติของโอสถยังไม่คงที่ ว่าแต่โอสถนี้มีชื่อว่าอะไรนะ โอสถเลี้ยงกระบี่ หรือว่าโอสถต้านกระบี่? เฮ้อ…..อายุมากแล้ว ความจำไม่ค่อยดีเลย แต่ดูเหมือนมันจะมีผลต่อการฝึกฝนสายกระบี่มาก ดูเหมือนว่าพลังของศิษย์ทรยศผู้นั้น ไม่สามารถเปิดเตาหลอมนำโอสถออกมา หากไม่ใช่ว่าจิตวิญญาณที่บ่มเพาะล้มเหลว จึงทำให้โอสถนี้ถูกทำลายไปล่ะก็ คงเป็นเพราะบ่มเพาะจิตวิญญาณสำเร็จแล้ว มันจึงพุ่งออกจากเตาหลอมเอง และคงตกอยู่ในอบอ้าว ช่างเถอะ! เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ รอศิษย์น้องจงกลับถึงนิกายแล้วค่อยบอกเขาก็ได้ แต่ว่าตอนนี้สมบัติชิ้นนี้ว่างแล้ว ในที่สุดข้าก็สามารถใช้หลอมเจ้าสิ่งนั้นได้แล้ว” ผู้อาวุโสลูบผม และหัวเราะก่อนกล่าวออกมา

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา ขวดเล็กสีทองอร่ามใบหนึ่งปรากฏอยู่ในมือ บนนั้นยังมียันต์สีเงินแปะอยู่ผืนหนึ่ง

พอฝาขวดเปิดออก กลิ่นไอเหม็นคาวก็โชยออกมาทันที

เขาเทของเหลวสีเขียวลงไปในเตาหลอม และควักพืชสมุนไพรแปลกๆ จำนวนหนึ่งออกจากยันต์เก็บของบนเอว และโยนลงเตาหลอมพร้อมกัน หลังจากโบกแขนเสื้อเบาๆ ฝาเตาหลอมก็ค่อยๆ ปิดลง

ผู้อาวุโสลอยลงมาเบาๆ และเริ่มร่ายคาถาออกมา ขณะที่มือทั้งสองทำท่ามือ นิ้วทั้งสิบก็ดีดออกไปอย่างต่อเนื่อง พลังลึกลับพุ่งทะลักออกไป และค่อยๆ จมลงในเตาหลอมยักษ์

เตาหลอมยักษ์สั่นสะเทือนเบาๆ เปลวไฟสามสีตรงด้านล่างพุ่งขึ้นมาทันที จากนั้นเปลวไฟอันโชติช่วงก็ปกคลุมเตาหลอมยักษ์ไว้ เปลวไฟทั้งสามสีประสานกันไปมาไม่หยุด หลังจากมีแสงสามสีแวววาวหมุนวนอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เปลวไฟสามสีก็แบ่งออกไปสามชั้น ซึ่งได้แก่ชั้นนอก ชั้นกลาง และชั้นใน

พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ผู้อาวุโสถึงพยักหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นก็หมุนตัวไปกลับบนเก้าอี้โยก และหลับตาพักผ่อนอีกครั้ง

……

เช้าวันที่สอง หลิ่วหมิงยังคงหลับอย่างเอาเป็นเอาตายในห้องนอน การเดินทางในแดนอบอ้าวทำให้เขาอ่อนล้าไม่น้อย จึงต้องพักผ่อนให้มากๆ

แต่ผู้ที่มีความรอบคอบระมัดระวังอย่างเขา ยังคงใช้พรสวรรค์หนึ่งจิตสองพลังปล่อยพลังจิตครึ่งหนึ่งไปดูสถานการณ์อยู่นอกถ้ำ

ทันใดนั้น แสงหลบหลีกสีเหลืองลำหนึ่งก็พุ่งเข้ามา พอแสงดับลงก็เผยให้เห็นรูปร่างของชายหนุ่มสวมชุดสีฟ้าที่มีอายุราวๆ ยี่สิบกว่าปี

จากนั้นก็มีเสียงราบเรียบดังขึ้นข้างหูหลิ่วหมิง “ข้าเป็นศิษย์หอคุมกฎ ตั้งใจมามอบแต้มคุณูปการ ศิษย์น้องอยู่ในถ้ำหรือไม่?”

หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็ออกมาจากห้องนอนทันที ประตูถ้ำค่อยๆ เปิดออกมา หน้าประตูมีชายหนุ่มรูปงามยืนอยู่

“ศิษย์น้องหลิ่ว ข้ามามอบแต้มคุณูปการให้เจ้า นำป้ายของเจ้าออกมาเถอะ!” ชายหนุ่มชุดฟ้ากวาดสายตาสังเกตดูหลิ่วหมิงทีหนึ่ง และเอ่ยปากออกมา

หลิ่วหมิงได้ยินก็หยิบป้ายออกมาจากเอว และยื่นให้อย่างไม่รีบร้อน

เมื่อชายหนุ่มชุดฟ้าโบกแขนเสื้อ พู่กันหยกด้ามหนึ่งก็ปรากฏออกมา พอแตะลงเบาๆ ก็มีแสงสีทองพุ่งออกจากปลายพู่กัน และกระพริบจมหายไปในแผ่นป้าย  ทำให้มีแต้มคุณูปการบนป้ายเพิ่มมาอีกสามพันแต้ม

“ขอบคุณศิษย์พี่ผู้นี้มาก” หลิ่วหมิงรู้แต่แรกแล้วว่า การทำลายรังอัคคีจิตวิญญาณในครั้งนี้ จะมีแต้มคุณูปการให้อย่างแน่นอน แต่มันมากกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้ สิ่งนี้ทำให้เขาคุมมือคารวะชายหนุ่มชุดฟ้าด้วยความดีใจ

“ศิษย์น้องหลิ่วไม่ต้องเกรงใจ ข้าเองก็ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับการแสดงฝีมือของศิษย์น้องหลิ่วในแดนอบอ้าวแล้ว” ดูเหมือนชายหนุ่มชุดฟ้าจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงกล่าวกับเขาด้วยรอยยิ้ม

หลิ่วหมิงรู้สึกตะลึงเล็กน้อย ดูท่าชายหนุ่มชุดฟ้าผู้นี้ คงไม่ใช่ศิษย์ธรรมดาทั่วไป แต่เขาก็รับแผ่นป้ายมาแขวนไว้บนเอวด้วยสีหน้าปกติ

ทั้งสองเพียงแค่พูดคุยไม่กี่ประโยค จากนั้นชายหนุ่มชุดฟ้าก็ประสานมือกล่าวลา พอเขาหมุนตัว ก็กลายเป็นแสงหลบหลีกสีเหลืองพุ่งไปยังเขาอีกลูก

“หอคุมกฎทำงานได้มีประสิทธิภาพสูงจริงๆ” หลิ่วหมิงมองไปยังทิศทางที่ชายหนุ่มชุดฟ้าพุ่งออกไป และพูดพึมพำออกมาหนึ่งประโยค จากนั้นก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในถ้ำ และประตูตรงด้านหลังก็ค่อยๆ ปิดลง

หลิ่วหมิงเดินไปเดินมาในห้องโถงใหญ่ภายในถ้ำ หลังจากดวงตาทั้งคู่เป็นประกายขึ้นมา เขาก็รีบเดินไปยังห้องลับทันที

……

สองเดือนต่อมา

มีไอดำลอยวนอยู่ในห้องลับภายในถ้ำที่พักของหลิ่วหมิง

มังกรหมอกดำกับพยัคฆ์หมอกดำที่ดูราวกับมีชีวิต กำลังหมุนวน และปรากฏขาดๆ หายๆ อยู่ท่ามกลางไอหมอกที่พวยพุ่ง

ท่ามกลางของทั้งสอง หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่เงียบๆ มือทั้งสองทำท่ามืออยู่ แสงสีดำจางๆ เปล่งประกายอยู่บนตัว เห็นได้ชัดว่าเขากำลังเข้าฌาน

ทันใดนั้น สีหน้าเขาก็พลันเปลี่ยนไป ดวงตาทั้งคู่เปิดออกมา ภายใต้เสียงมังกรร้องพยัคฆ์คำราม มังกรพยัคฆ์หมอกดำก็กลายเป็นกลุ่มไอสีดำจมเข้าไปในศีรษะของเขา

ต่อมา ไอดำบนตัวก็ค่อยๆ จมเข้าไปในร่างอย่างรวดเร็ว เขาไม่ได้ลุกขึ้นมา แต่กลับขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าดูเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่

“ในที่สุดพลังเวทก็ถึงคอขวดแล้ว สามารถทะลวงระดับของเหลวขั้นปลายได้แล้ว” หลิ่วหมิงพูดพึมพำออกมา

หลังจากนั่งเข้าฌานฟื้นฟูมาสองเดือน พลังเวทของเขาก็ฟื้นฟูจนถึงจุดสุดยอดแล้ว และหลังจากฝึกฝนไปหนึ่งรอบ หลายวันก่อน เขาก็รู้สึกว่าพลังเวทในร่างถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ไม่ว่าจะฝึกฝนอย่างไรหรือทานโอสถเพิ่มพลังเวทแค่ไหน พลังเวทก็ไม่อาจพัฒนาได้เลยแม้แต่น้อย คิดว่าคงสามารถทะลวงระดับของเหลวขั้นปลายได้แล้ว

และการทะลวงระดับของเหลวขั้นปลาย ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

หลังจากเขาคิดใคร่ครวญแล้ว ก็ตัดสินใจไปหอนานัปการเพื่อหาอ่านคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง ดูสิว่าจะหาวิธีเพิ่มอัตราความสำเร็จในการทะลวงระดับของเหลวขั้นปลายได้หรือไม่ นอกจากนี้ยังสามารถหาที่มาและผลลัพธ์ของโอสถสีเงินเม็ดนั้นด้วย

เขาลุกขึ้นมาทันที หลังจากปัดชุดตัวเองแล้ว ก็ออกไปจากห้องลับ และจัดถ้ำให้เรียบร้อยไปรอบหนึ่ง จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว หมอกดำพวยพุ่งใต้เท้า และพาเขาพุ่งไปทางหอนานัปการทันที

……

เวลาผ่านไปราวๆ หนึ่งถ้วยชา มีเมฆดำลอยผ่านด้านนอกของหอนานัปการ จากนั้นชายหนุ่มชุดคลุมสีเขียวก็ร่อนลงมา ซึ่งก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง

เขามองอักขระสีดำบนแผ่นป้ายแล้วเดินเข้าไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

หลังจากสอบถามศิษย์ดำเนินการคนหนึ่งแล้ว เขาก็เดินไปตรงทางเดินด้านหลังหอใหญ่

ห้องโถงใหญ่ของหอนานัปการ ใช้เป็นสถานที่ให้ศิษย์นำแต้มคุณูปการมาแลกโอสถ ยันต์ และอาวุธต่างๆ และคัมภีร์ล้ำค่าที่ต้องใช้แต้มคุณูปการในการเข้าไปอ่าน จะอยู่ในหอด้านหลังห้องโถงใหญ่

หลังจากผ่านระเบียงทางเดินแคบๆ ที่ยาวร้อยกว่าจั้ง ก็จะเป็นพื้นราบเรียบขนาดหมู่กว่าๆ

และใจกลางพื้นราบเรียบก็มีหอที่สูงราวๆ สิบกว่าจั้งตั้งอยู่

หลังจากหลิ่วหมิงสังเกตดูเล็กน้อยแล้ว ก็ก้าวยาวๆ เข้าไปด้านใน

ชั้นแรกของหอมีขนาดไม่ใหญ่มาก ดูเหมือนจะมีขนาดไม่กี่สิบจั้ง พื้นที่สองในสามส่วนมีชั้นคัมภีร์วางอยู่เต็มไปหมด

พอหลิ่วหมิงกวาดสายตามองออกไป จะเห็นว่ามีคนอยู่ในนั้นราวๆ สิบกว่าคน ซึ่งล้วนเป็นศิษย์สายนอกทั้งหมด และดูเหมือนว่าชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง ไม่มีคลื่นพลังเวทบนตัวเลยแม้แต่น้อย สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกตกตะลึงมาก

และตรงประตูหอ มีศิษย์รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาซื่อๆ สวมชุดศิษย์ดำเนินการ นั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น และพลิกอ่านคัมภีร์เล่มหนึ่งอย่างออกรส พอเห็นหลิ่วหมิงเข้ามา เขาก็แหงนหน้ามอง

“ศิษย์พี่ผู้นี้ ข้าน้อยอยากยืมคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับการทะลวงเขตแดนของเหลวขั้นปลาย ไม่ทราบว่าจะหาได้จากตรงไหนบ้าง?” ยังไม่ทันที่ฝ่ายตรงข้ามจะเอ่ยปาก หลิ่วหมิงก็ประสานมือคารวะแล้วกล่าวออกมาก่อน

“ชั้นคัมภีร์ทางด้านตะวันออกบนชั้นสอง คงจะมีคัมภีร์ที่เจ้าต้องการ” ชายรูปร่างสูงใหญ่กล่าวอย่างไม่รีบร้อน

“ข้าน้อยยังอยากจะยืมอ่านคัมภีร์เกี่ยวกับชนิดของโอสถและการแนะนำด้วย”

“แนะนำโอสถ…….คงอยู่ชั้นที่สองเหมือนกัน ข้าจำได้ว่าอยู่ตรงมุมตะวันตก” ศิษย์รูปร่างสูงใหญ่เงียบไปครู่หนึ่ง และลูบศีรษะเบาๆ ก่อนกล่าวออกมา

“ขอบคุณศิษย์พี่มาก” หลิ่วหมิงประสานมือคารวะแล้วกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็เดินขึ้นไปบนชั้นสอง

ศิษย์รูปร่างสูงใหญ่สังเกตดูหลิ่วหมิงทีหนึ่ง และไม่ได้พูดอะไรออกมา จากนั้นก็นั่งอ่านคัมภีร์ในมือเล่มนั้นต่อ

ชายวัยกลางคนที่ไม่อาจรับรู้ถึงระดับการฝึกฝนของเขาได้นั้น ก็ชำเลืองมองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง จากนั้นก็จมดิ่งอยู่กับคัมภีร์ไม้ไผ่ในมือ

ชั้นคัมภีร์ทางด้านตะวันออกบนชั้นสอง หลิ่วหมิงเจอแผ่นไม้ไผ่ที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มอัตราความสำเร็จในการทะลวงคอขวดได้อันหนึ่ง แต่มีแสงสีขาวปกคลุมอยู่บนพื้นผิว ทั้งยังมีเครื่องหมายบอกจำนวนแต้มคุณูปการที่ต้องใช้ในการอ่านอยู่ด้านข้าง ซึ่งต้องใช้หนึ่งร้อยยี่สิบแต้ม

เขาหยิบแผ่นป้ายออกจากตัว และโบกผ่านแผ่นไม้ไผ่เบาๆ จากนั้นแสงสีเขียวก็ม้วนตัวออกมา และจมหายเข้าไปในชั้นจำกัดบนแผ่นไม้ไผ่อย่างไร้ร่องรอย

หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิลง และนำแผ่นไม้ไผ่ไปแปะไว้บนหน้าผาก และทำการอ่านดูอย่างละเอียด

……

สองสามชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงก็เดินออกจากหอเล็กๆ ด้วยสีหน้าสงบ ขณะนี้ แต้มคุณูปการบนแผ่นป้ายลดลงไปหลายร้อยแต้ม

และหลังจากอ่านไปหนึ่งรอบ เขาก็ค้นพบวิธีเพิ่มความสำเร็จในการทะลวงระดับของเหลวขั้นปลายอยู่หลายวิธี

วิธีแรกตามที่บันทึกไว้คัมภีร์ มีโอสถหลากหลายชนิดที่มีผลลัพธ์เพิ่มอัตราความสำเร็จในการทะลวงคอขวดระดับชั้นของเหลวขั้นปลาย และตลาดในนิกายก็สามารถหาซื้อได้ แต่ละเม็ดต้องใช้หนึ่งแสนกว่าหินจิตวิญญาณเข้าแลก ทั้งยังขาดแคลนเป็นอย่างมาก และในระหว่างการทะลวงคอขวด สามารถทานได้ชนิดละหนึ่งเม็ดเดียวเท่านั้น

วิธีที่สอง นิกายยอดบริสุทธิ์มียันต์ทะลวงเส้นลมปราณโดยเฉพาะ พอเอาไว้บนตัว ก็สามารถกระตุ้นเส้นลมปราณภายในร่างให้ขยายใหญ่ในระยะเวลาสั้นๆ ได้ เพิ่มแรงทะลวงของพลังเวท ทำให้อัตราความสำเร็จในการทะลวงคอขวดเพิ่มมากขึ้น ผลลัพธ์การเพิ่มพลังของยันต์ชนิดนี้ สูงกว่าการใช้โอสถในก่อนหน้านั้นมาก แต่ยันต์แต่ละผืนต้องใช้แต้มคุณูปการสองหมื่นแต้มในการแลก

วิธีที่สาม นิกายยอดบริสุทธิ์มีสมบัติชิ้นหนึ่ง ชื่อว่ากระจกหยินหยางแยกผสาน สามารถนำปราณพลังฟ้าดินบริเวณใกล้ๆ มาทำให้เป็นปราณหยินหยางผสาน แม้ว่าจะมีพลังเสริมในการทะลวงคอขวดเป็นอย่างมาก แต่สมบัติชิ้นนี้มีแต่ศิษย์สายในขึ้นไปเท่านั้น ถึงจะมีสิทธิ์ใช้แต้มคุณูปการจำนวนมหาศาลในการแลกมันมาใช้ได้

วิธีการสุดท้าย หลิ่วหมิงไม่สามารถใช้ได้ในขณะนี้ คงได้แต่หาวิธีใช้สองวิธีการแรกแล้ว

…………………………………

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset