หลิ่วหมิงมองดูป้ายนิกายบนเอวแล้วคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้าไปมา
หากอยากจะรวบรวมแต้มคุณูปการให้ครบสองหมื่นแต้มในระยะเวลาสั้นๆ ย่อมเป็นไปไม่ได้ เขาไม่ยอมเสี่ยงอันตรายไปรับภารกิจยากๆ ของนิกายเพียงเพราะแต้มคุณูปการที่ขาดเพียงเล็กน้อยเด็ดขาด เพราะจำนวนของแต้มคุณูปการมีส่วนสัมพันธ์กับความยากง่ายของภารกิจ เขาไม่อยากเสียชีวิตด้วยเหตุผลแปลกๆ
ส่วนบัญชีความเป็นความตายนั้น เขายิ่งไม่ได้พิจารณาด้วยซ้ำ ด้านหนึ่งเป็นเพราะว่าผู้ฝึกฝนชั่วร้ายเหล่านั้นลึกลับเป็นอย่างมาก ไม่สามารถจับเส้นสนกลในได้เลยแม้แต่น้อย ไม่มีเวลาพอที่จะไปตามหา ส่วนอีกด้านหนึ่ง ผู้ฝึกฝนชั่วร้ายหนึ่งร้อยอันดับแรกล้วนไม่ใช่คนดี ตัวเขาเองก็ไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวชั่วคราว และรางวัลของผู้ที่ยังไม่เข้าร้อยอันดับแรก มันก็ไม่เพียงพอสำหรับเขา
น่าเสียดายที่เขาไม่อาจรอถึงตอนที่ดูดกลืนพลังเวท ทำให้พลังเวทบริสุทธิ์แล้วค่อยทะลวงคอขวด มิเช่นนั้นต่อให้ไม่อาศัยพลังจากภายนอก เขาก็มีความเชื่อมั่นในการทะลวงเขตแดนของเหลวขั้นปลายไม่ใช่น้อย
หลิ่วหมิงใช้จิตกวาดดูโอสถสีเงินในหอยสังข์ย่อส่วนที่อยู่บนเอว และยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
ครั้งนี้เขาใช้แต้มคุณูปการพลิกดูคัมภีร์แนะนำโอสถอย่างไม่เสียดาย แต่ยังคงไม่ค้นพบอะไร แม้ในใจจะรู้ว่าโอสถนี้ไม่ธรรมดา แต่ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมัน ย่อมไปอาจเสี่ยงอันตรายไปทำอะไรกับมันได้
สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย หลังจากถอนหายใจเบาๆ แล้ว ก็ได้แต่พักเรื่องนี้ไว้ชั่วคราว
……
ผ่านไปราวๆ ครึ่งชั่วยาม หลังจากหลิ่วหมิงไปจากหอนานัปการแล้ว ก็ผ่านยอดเขาสูงตระหง่านหลายลูก และผ่านเทือกเขาที่ทอดยาวติดต่อกันผืนหนึ่ง จนมาถึงอากาศเหนือหุบเขาขนาดใหญ่ที่มีภูเขาล้อมรอบ บริเวณนั้นมีแสงหลบหลีกของผู้คนที่สัญจรไปมา
หลังจากเขากวาดสายตาดูเครื่องหมายบนแผนที่ของนิกายยอดบริสุทธิ์ที่อยู่ในมือแล้ว ก็มั่นใจว่าหุบเขาขนาดใหญ่นี้เป็นตลาดในนิกายยอดบริสุทธิ์
พอทอดสายตามองออกไป ตลาดในหุบเขาแห่งนี้ครอบครองพื้นที่ราวๆ หนึ่งพันหมู่ ดูคล้ายกับเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง
ทั่วทั้งตลาดมีลานหินสีดำเป็นศูนย์กลาง มีทางเดินทอดยาวไปเหนือตกออกใต้ ถนนทางใต้ทอดยาวไปตรงทางเข้าหุบเขา ริมถนนทั้งสองด้านมีตึกรามบ้านช่องขนาดต่างๆ ทั่วทั้งตลาดถูกจัดเรียงเป็นรูปวงรี
แม้จะบอกว่าเป็นตลาดในนิกาย แต่มันก็เหมือนกับตลาดในโลกภายนอก มีชั้นจำกัดเหินเวหาวางอยู่ห่างจากตลาดไปหลายลี้
หลังจากหลิ่วหมิงร่อนลงบนพื้นที่โล่งมุมหนึ่งแล้ว ก็ค่อยๆ เดินเข้าไปยังทางเข้าหุบเขา
พอหลิ่วหมิงเข้าไปในตลาด ก็ค้นพบว่าผู้คนบนท้องถนนคึกคักเป็นอย่างมาก ผู้คนที่ผ่านไปมามีผู้ที่สวมชุดศิษย์สายนอก และผู้ที่มีจำนวนมากสุดย่อมเป็นศิษย์ธรรมดา
ขณะที่เดินไปด้วย เขาก็กวาดสายตาดูร้านค้าสองข้างทางอยู่ตลอด ซึ่งมีขนาดค่อนข้างใหญ่
ไม่นาน หลิ่วหมิงก็มาถึงลานใจกลางหุบเขาขนาดใหญ่ แต่จะเห็นว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ของลานกว้าง มีแผงขายของตั้งเรียงรายเต็มไปหมด
สิ่งที่ทำให้หลิ่วหมิงค่อนข้างรู้สึกตกใจก็คือ แผงร้านค้าในตลาดส่วนมากล้วนเป็นของศิษย์ธรรมดา และมีของศิษย์สายนอกเพียงส่วนน้อยเท่านั้น
หลิ่วหมิงเดินดูหนึ่งรอบอย่างไม่รีบร้อน และเลี้ยวไปยังทางถนนเส้นหนึ่งที่อยู่ด้านหน้า จากนั้นก็เดินเข้าร้านค้าเล็กๆ ที่ดูไม่เตะตาร้านหนึ่งที่ตั้งอยู่มุมถนน
ไม่นาน เขาก็เดินออกมาแล้วหันหน้าเดินอ้อมไปทางถนนแคบๆ สายหนึ่ง และเดินเข้าไปในร้านค้าอีกร้านหนึ่ง
เขาทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนเวลาผ่านไปราวๆ ครึ่งชั่วยาม ขณะที่เขาเดินออกจากร้านค้าขนาดกลางแห่งหนึ่งนั้น สีหน้าของเขาก็ดูผ่อนคลายมาก ถุงผ้าบนเอวมีหินจิตวิญญาณเพิ่มขึ้นมาจากก่อนหน้าสี่แสนกว่าหินจิตวิญญาณ และแก่นบริสุทธิ์กับวัสดุที่ได้มาจากแดนอบอ้าว ก็ถูกเขาขายออกไปจนหมด
เนื่องจากเป็นตลาดในนิกาย หลิ่วหมิงจึงไม่คำนึงถึงอะไรมาก เพียงแค่ขายวัสดุให้กับร้านค้าที่ดูไม่เตะตาไม่กี่แห่ง แต่มีกำลังทรัพย์ที่เพียงพอก็เท่านั้น
ส่วนผลึกพลังเวทของราชาอัคคีจิตวิญญาณนั้น แม้จะเป็นวัสดุชั้นยอดในการปรุงโอสถ แต่เนื่องจากมีจำนวนจำกัด และวิชาปรุงโอสถที่เขาเรียนในก่อนหน้านั้น ยังไม่ถึงขั้นที่จะปรุงโอสถที่เขตแดนของเหลวขั้นปลายต้องการได้ หลังจากคิดใคร่ครวญดูแล้ว ก็ถูกเขาขายออกไปเม็ดละสองหมื่นหินจิตวิญญาณ
ต่อมา เขาเดินกลับเข้าไปในลานกว้าง และเดินไปหน้าแผงที่เขาแอบหมายตาไว้ในก่อนหน้านี้ และสอบถามเกี่ยวกับโอสถสองสามชนิดที่เกี่ยวข้องกับการทะลวงคอขวด
หนึ่งชั่วยามต่อมา หลิ่วหมิงก็กล่าวลากับผู้อาวุโสผมล้านที่ตั้งแผงร้านค้าด้วยรอยยิ้ม ภายในหอยสังข์ย่อส่วนของเขาในขณะนี้ มีโอสถสีฟ้ากับสีดำอย่างละหนึ่งเม็ด
สามารถซื้อโอสถที่ช่วยเพิ่มอัตราการทะลวงเขตแดนให้สำเร็จได้สองเม็ดในทีเดียว ทำให้หลิ่วหมิงดีใจเป็นพิเศษ เพราะโดยปกติแล้วโอสถชนิดนี้ หาได้ยากนัก
พอนึกถึงผู้อาวุโสร่างเตี้ยเล็ก ทั้งยังหลังค่อมและหัวล้านเล็กน้อยแล้ว หลิ่วหมิงยังคงรู้สึกประหลาดใจอยู่ คนผู้นี้เป็นศิษย์ธรรมดาระดับของเหลวขั้นต้น แต่กลับรู้ว่าเขาต้องการอะไร จึงนำโอสถทั้งสองเม็ดออกมาในทันที
หลังจากหลิ่วหมิงตรวจสอบดู ก็มั่นใจว่าโอสถทั้งสองเม็ดคือ ‘โอสถผลึกดำ’ กับ ‘โอสถวารีสีฟ้า’ ตามบันทึกในคัมภีร์ที่ช่วยยกระดับการทะลวงคอขวดนั่นเอง
หลังจากเขาถกราคาเล็กน้อยแล้ว ก็ซื้อมาในราคาเม็ดละหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นหินจิตวิญญาณ
เขาเร่งฝีเท้าเล็กน้อย เพื่อเดินไปอีกด้านหนึ่งของลานกว้าง
แต่ทว่าหลังจากเขาเดินออกไปได้ร้อยกว่าจั้ง กลับเห็นผู้คนกำลังล้อมแผงของหญิงนางหนึ่ง และแผงตรงหน้านางก็มียันต์ที่เปล่งแสงสีเขียวผืนหนึ่ง
ยันต์ผืนนี้เปล่งแสงสีเขียวแวววาว บนพื้นผิวมีลวดลายจิตวิญญาณสีเงินทับซ้อนเป็นชั้นๆ ราวกับตาข่ายจำนวนมากที่ปกคลุมอยู่
ตอนแรกหลิ่วหมิงรู้สึกตกใจมาก แต่หลังจากจ้องมองด้วยสีหน้าตกตะลึงแล้ว ก็ค้นพบว่ายันต์ผืนนี้คือยันต์ทะลวงเส้นลมปราณที่ต้องใช้สองร้อยแต้มคุณูปการในการแลก!
คิดไม่ถึงว่ายันต์ชนิดนี้ จะมาปรากฏตัวบนแผงร้านค้าใจกลางลานกว้างของตลาดในนิกาย สิ่งนี้ย่อมทำให้เขาทั้งรู้สึกตกใจระคนดีใจ
หากเขาสามารถใช้หินจิตวิญญาณซื้อยันต์นี้ได้ล่ะก็ ย่อมช่วยประหยัดเวลาในการไปสะสมแต้มคุณูปการมาก
หลิ่วหมิงเบียดตัวเข้าไปมุงดูด้วยสีหน้าสงบ
แต่จะเห็นว่าชายฉกรรจ์หน้าตาอัปลักษณ์ผู้หนึ่ง กำลังพูดอะไรกับหญิงผู้นี้อยู่
“ศิษย์น้องจินอวี้หวน ข้าได้ยินมาว่ายันต์ทะลวงเส้นลมปราณของเจ้านี้ จะให้อย่างเดียวและไม่ขาย แต่ต้องไปกับเจ้าสักครั้ง ช่วยเจ้าทำเรื่องอย่างหนึ่งให้สำเร็จก็พอแล้ว ไม่ทราบว่าศิษย์น้อง คิดว่าข้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ชายอัปลักษณ์กล่าว ขณะเดียวกัน ก็แผ่กลิ่นไอระดับของเหลวขั้นปลายของตนเองออกมา และจ้องมองยันต์ทะลวงเส้นลมปราณบนแผงด้วยสายตาละโมบ
“หากเจ้ารับปากไปสถานที่อันตรายกับข้า และรับรองความปลอดภัยให้ข้าได้ ยันต์ทะลวงเส้นลมปราณจะเป็นค่าตอบแทนในครั้งนี้” หญิงสาวสวยสดงดงามสังเกตดูชายฉกรรจ์เล็กน้อย หลังจากเม้มริมฝีปากแล้ว ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“อ๋อ? ถ้าอย่างนั้น ไม่ทราบว่าศิษย์น้องจินจะให้ข้าไปสถานที่อันตรายแห่งใดกับเจ้า?” พอได้ยินหญิงสาวกล่าวเช่นนี้ ชายหน้าอัปลักษณ์ก็ตาเป็นประกาย จากนั้นก็หัวเราะและกล่าวออกมา
“สถานที่ใดนั้น ข้าไม่สะดวกที่จะบอก บอกได้แค่ว่าสถานที่แห่งนี้อันตรายอย่างแน่นอน ต่อให้เป็นศิษย์สายนอกไป ก็มีโอกาสเสียชีวิตไม่น้อย” หญิงใบหน้าสวยสดงดงามหยุดชะงักเล็กน้อย แต่กลับไม่คิดจะบอกชายฉกรรจ์หน้าตาอัปลักษณ์ตรงๆ
ผู้คนที่มุงดูอยู่เห็นเช่นนี้ ก็พากันกระซิบกระซาบอย่างอดไม่ได้ หลิ่วหมิงเองก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
ยอมมอบยันต์ทะลวงเส้นลมปราณที่มีมูลค่าสูงเช่นนี้ สถานที่ที่นางพูดถึงย่อมเป็นสถานที่ที่อันตรายอย่างแน่นอน หากศิษย์ธรรมดาไปล่ะก็ เกรงว่าคงมีอันตรายถึงชีวิตจริงๆ ทั้งยังไม่บอกก่อนว่าเป็นสถานที่แห่งใด มองจากมุมบางแห่งแล้ว นับว่าเป็นเรื่องที่โหดร้ายอยู่บ้าง
“ได้! ไม่มีปัญหา เพียงแค่ศิษย์น้องมอบยันต์ทะลวงเส้นลมปราณนี้ให้ข้า ข้าจะไปกับเจ้าในทันที” เหนือความคาดหมายของหลิ่วหมิงไปหน่อย ชายอัปลักษณ์เพียงแค่ไตร่ตรองเล็กน้อย ก็ตอบรับด้วยตาที่เป็นประกาย
หญิงสาวงดงามดวงตาเป็นประกายด้วยความดีใจ พอสะบัดแขนเสื้อ แผ่นกระดาษประณีตหนาๆ แผ่นหนึ่งก็ปรากฏในมือ และคลี่ไปให้ชายฉกรรจ์หน้าตาอัปลักษณ์ดู
“สัญญาเวทของนิกาย?” พอชายอัปลักษณ์รับของสิ่งนี้มาอ่านดู สีหน้าก็เปลี่ยนไปในฉับพลัน
พอหลิ่วหมิงเขม้นตามอง ก็ต้องรู้สึกประหลาดใจเช่นกัน
สิ่งนี้ใช่แผ่นกระดาษซะที่ไหนกัน เห็นชัดๆ ว่าเป็นแค่ยันต์ที่แปลกประหลาดเท่านั้น
แต่บนผิวยันต์ผืนนี้มีแสงสีขาวสลัวๆ อักขระสีเลือดที่ดูโบราณหน่อยๆ ประทับอยู่บนนั้นเป็นจำนวนมาก มุมหนึ่งของกระดาษมีตราของนิกายประทับอยู่
“เจ้าเด็กนี่หมายความว่าอย่างไรกัน กะอีแค่ยันต์ทะยวงเส้นลมปราณ กลับให้ข้าลงนามสัญญาเวท” ชายอัปลักษณ์กร่นด่าออกมา
“ในเมื่อท่านรับปากไปกับข้า การลงนามในสัญญาเวทมีอะไรที่ไม่เหมาะสมเล่า?” หญิงสาวเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วและตอบกลับด้วยความโมโห
ชายอัปลักษณ์กลับโยนสัญญาเวทใส่จินอวี้หวน หลังจากทำเสียงฮึดฮัดออกมาแล้ว ก็หันตัวเดินหนีไปทันที
เห็นได้ชัดว่าเขาวางแผนที่จะหลอกเอายันต์ทะลวงเส้นลมปราณมาไว้ก่อน ส่วนหลังจากนี้จะไปกับนางหรือไม่นั้น ก็ไม่อาจพูดได้
แม้ผู้คนที่มุงดูอยู่อยากจะได้ยันต์ทะลวงเส้นลมปราณใจจะขาด แต่พอเห็นสัญญาเวทในมือของหญิงสาว กลับมองหน้ากันอย่างอดไม่ได้ และต่างก็ปิดปากไม่กล้าพูดอะไรออกมา
แม้หลิ่วหมิงจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสัญญาเวทนี้ แต่ขณะนั้นที่จ้องมองยันต์ทะลวงเส้นลมปราณที่วางอยู่บนแผงนั้น เขาก็ทำการครุ่นคิดอยู่ไม่หยุด
อย่างที่รู้ว่าตอนนี้ เขาอยู่ห่างจากการถูกดูดกลืนพลังเวทไม่มากแล้ว และการทะลวงระดับของเหลวขั้นปลาย ก็เป็นเรื่องจวนตัวแล้ว ต่อให้จะมีโอสถสองเม็ดที่ซื้อมาด้วยหินจิตวิญญาณจำนวนมากในก่อนหน้านั้น เขาก็ยังรู้สึกว่าไม่ค่อยปลอดภัยอยู่ดี
เพราะชีพจรจิตวิญญาณของเขามีคุณสมบัติต่ำเกินไป
และหากจะสะสมแต้มคุณูปการสองหมื่นแต้มในระยะเวลาสั้นๆ เพื่อไปแลกกับยันต์ทะลวงเส้นลมปราณล่ะก็ จะต้องไปทำภารกิจของหอในที่ให้แต้มเป็นจำนวนมากอย่างเลี่ยงไม่ได้ หากเป็นเช่นนี้ ไม่สู้ไปกับหญิงสาวตรงหน้าจะยังเร็วกว่าเสียอีก
แต่ว่าหญิงสาวที่ชื่อจินอวี้หวนไม่ได้บอกว่าจะไปที่ไหน ทำให้หลิ่วหมิงพะว้าพะวังยิ่งนัก
ส่วนสัญญาเวทนั้น เขากลับไม่ค่อยสนใจมากนัก
แต่หลังจากหลิ่วหมิงยืนพินิจพิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่งแล้ว ก็ไม่สามารถต้านทานแรงยั่วยวนของของยันต์ทะลวงเส้นลมปราณได้ จึงตัดสินใจถามหญิงสาวทันที
แต่ขณะที่เขากำลังจะเดินเข้าไปนั้น พลันมีชายสวมชุดศิษย์สายนอกสองสามคน แหวกฝูงชนเข้ามา และเดินมาตรงหน้าแผงของจินอวี้หวน
…………………………………