ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 549 ชายหนุ่มชุดเขียว

“ฟิ้ว!” ปราณกระบี่สีขาวที่เห็นได้ชัดว่ามีขนาดใหญ่กว่าก่อนหน้านั้นเท่าตัวพุ่งยิงออกไป และหมุนวนอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็พร่ามัวหายไปบนใจกลางสันหลังของชายฉกรรจ์

“อ๊าก!”

ปีศาจหยินหยางร้องออกมาอย่างเวทนา พอกระอักเลือดออกมาแล้ว ร่างของเขาก็ล้มลงกลางอากาศ

ระหว่างที่ตกลงมานั้น ลำแสงสีเขียวจำนวนมากก็ปรากฏบนตัวชายฉกรรจ์ และรวมตัวตรงปากแผล ร่างขนาดใหญ่ของเขาหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่อึดใจก็ร่วงลงพื้นกลายเป็นชายหนุ่มชุดเขียว ขณะเดียวกันบาดแผลบนหลังก็สมานกันดังเดิม

“สมควรตาย บังอาจทำลายร่างปีศาจหยินหยางที่ข้าลำบากฝึกฝนมาหลายสิบปี! เดิมทีการกลับนิกายในครั้งนี้ ก็สามารถเข้าสู่ระดับผลึกในบ่อหยินหยางได้แล้ว! ฮึ! เอาชีวิตของเจ้ามาชดใช้เถอะ!” ชายหนุ่มชุดเขียวพลิกตัวขึ้นมาจ้องมองหลิ่วหมิง แววตาเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น พอเขาตบเอว แสงสีทองสี่ลำก็ม้วนตัวออกมา และกลายเป็นนักรบชุดเกราะสีทองสี่ตัวที่มีขนาดจั้งกว่าๆ ก่อนที่จะร่วงลงพื้น

“เอ๋! นี่คือนักรบเกราะทองคำในงานประมูลชุดนั้นนี่?” พอหลิ่วหมิงเห็นหุ่นนักรบชุดเกราะทั้งสี่ก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นมา

“ที่แท้ผู้ฝึกฝนนิกายปีศาจลี้ลับที่ประมูลหุ่นนักรบไปได้ก็คือคนผู้นี้นั่นเอง มันก็ถูก! หลังจากร่างของเขาฟื้นคืนเป็นปกติแล้ว น้ำเสียงก็เหมือนกับในงานประมูลไม่มีผิด……” หลิ่วหมิงครุ่นคิดอยู่รอบหนึ่งก็เข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมด แววตาของเขาเผยแววสังหารออกมาโดยไม่รู้ตัว

ในห้องประมูลในก่อนหน้านั้น มีผู้ฝึกฝนระดับผลึกอยู่ข้างตัวคนผู้นี้ ดูท่าคงจะต้องจัดการคนผู้นี้โดยเร็ว มิเช่นนั้นหากผู้ฝึกฝนระดับผลึกผู้นั้นตามมาถึง และร่วมมือกันล่ะก็ คงต้องลงไม้ลงมือไม่น้อย

ระหว่างที่คิดไตร่ตรองนั้น ชายหนุ่มชุดเขียวกลับร่ายคาถาออกมา และสะบัดแขนปล่อยอักขระสีทองใส่ระหว่างคิ้วของหุ่นนักรบทั้งสี่

ทันใดนั้น แสงสีทองก็เริ่มเปล่งประกายบนตัวหุ่นนักรบ และมันก็แผ่พลังกดดันระดับของเหลวขั้นปลายอออกมา

สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปในทันที เขาย่อมไม่อยู่นิ่งรอให้ฝ่ายตรงข้ามกระตุ้นหุ่นนักรบ ทันใดนั้นร่างของเขาก็พร่ามัว และกระโจนเข้าหาชายหนุ่มชุดเขียว

ร่างของเขาอยู่กลางอากาศ แสงสีแดงเปล่งประกายในแขนเสื้อ กระบี่บินสีแดงเล่มหนึ่งพุ่งออกไป และกลายเป็นสายรุ้งม้วนตัวเข้าหาชายหนุ่มชุดเขียว

ชายหนุ่มชุดเขียวหัวเราะอย่างเยือกเย็น ร่างของเขาค่อยๆ สั่นไหว และม่านแสงสีขาวก็ปกคลุมตนเองกับหุ่นนักรบทั้งหมดไว้

มันคือธงกระดูกขาวที่ได้รับความเสียหายในก่อนหน้านั้น ไม่รู้ว่าเขาเก็บคืนไปเมื่อใด และกระตุ้นขึ้นมาใหม่อีกครั้ง แต่ทว่าพลังของม่านแสงสีขาวในขณะนี้ลดลงไปมาก และมีทีท่าไม่มั่นคงเท่าไหร่ ประจักษ์ชัดว่าไม่อาจต้านทานได้นาน

การกระทำของชายหนุ่มชุดเขียวในขณะนี้ เป็นแค่การเยื้อเวลาเพื่อกระตุ้นหุ่นนักรบทั้งสี่เท่านั้น

แม้หุ่นนักรบทั้งสี่จะมีพลังไม่ต่ำไปกว่าระดับของเหลวขั้นปลาย แต่ก็ต้องใช้พลังจิตไม่น้อย หากชายหนุ่มจะกระตุ้นมัน ยังต้องใช้เวลาประมาณหนึ่ง

พอม่านแสงสีขาวก่อตัวขึ้น แสงสีแดงก็พุ่งเข้ามาถึง แสงกระบี่ที่ยาวหลายจั้งฟันลงมาอย่างโหดเหี้ยม

“ตู้ม!”

ม่านแสงสีขาวสั่นสะท้านขึ้นมา แสงบนตัวมืดลงเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้แตกกระจายในทันที

ชายหนุ่มชุดเขียวที่อยู่ท่ามกลางม่านแสงกลับไม่สนใจสิ่งนี้ มือทั้งสองปล่อยพลังใส่หุ่นนักรบทั้งสี่อยู่ไม่หยุด

ครู่ต่อมา ร่างของหลิ่วหมิงเคลื่อนไหวมาอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มชุดเขียวอย่างรวดเร็ว ไอดำลอยบนอยู่บนแขน และทุบลงบนม่านแสงอย่างรุนแรง

“เพล้ง!”

ม่านแสงสีขาวสั่นสะท้านอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็แตกกระจายออกมา

“สำเร็จแล้ว!”

ขณะนั้นเอง ชายหนุ่มชุดเขียวหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง แสงสีทองสี่ลำตรงหน้าพุ่งขึ้นฟ้า ในที่สุดหุ่นนักรบก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว!

หลิ่งหมิงเห็นเช่นนี้ก็กระทืบเท้าลงพื้นอย่างรุนแรง ร่างของเขาหายวับไปทันที ครู่ต่อมาก็มาปรากฏอยู่ด้านหลังของชายหนุ่มชุดเขียว และกำลังจะทำอะไรบางอย่าง

ทันใดนั้น แสงสีทองก็เปล่งประกายตรงหน้า เงาร่างสูงจั้งกว่าๆ ขวางอยู่ใจกลางระหว่างเขากับชายหนุ่มชุดเขียว จากนั้นกำปั้นสีทองขนาดเท่าศีรษะก็โจมตีออกมาอย่างรุนแรง

“ปัง!”

แขนที่ปกคลุมไปด้วยเกล็ดมังกรของหลิ่วหมิง ปะทะกับกำปั้นสีทองของหุ่นนักรบในฉับพลัน

พลังมหาศาลพุ่งเข้ามา หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็อาศัยพลังพุ่งถอยไปไกลหลายจั้ง แต่ร่างของเขาบิดเบี้ยวเล็กน้อยสองที ก็สลายพลังมหาศาลนี้ไปจนหมดสิ้น จากนั้นก็ค่อยๆ ลอยละล่องลงพื้น

“รสชาติของหุ่นนักรบเป็นอย่างไรบ้าง! ไม่สบายเลยใช่ไหม!” พอชายหนุ่มชุดเขียวเห็นหลิ่งหมิงกระเด็นออกไปหลายจั้ง ก็ค่อยๆ หันมากล่าวด้วยความพอใจ

หลังจากมีเสียงดังฟู่ๆ เงาร่างสีทองอีกสามเงาก็พร่ามัวพุ่งขึ้นฟ้า และค่อยๆ ร่วงลงมาอย่างมั่นคง หุ่นนักรบทั้งสี่ยืนเป็นรูปสี่เหลี่ยมระหว่างชายหนุ่มชุดเขียวกับหลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงขมวดคิ้วขึ้นมา สีหน้าดูลังเลเล็กน้อย ประจักษ์ชัดว่าหุ่นนักรบเหล่านี้รับมือได้ยากกว่าที่เขาคิดมาก

ชายหนุ่มชุดเขียวมองหุ่นนักรบตรงหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นก็ละสายตาไปมองหลิ่วหมิง และหัวเราะอย่างเยือกเย็น ขณะเดียวกันก็โบกแขนปล่อยแสงสีทองสองลำใส่หุ่นนักรบสองตัวที่อยู่ตรงหน้าสุด

หุ่นนักรบตรงกลางสองตัวกลายเป็นแสงสีทองพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง และอีกสองตัวก็ทำท่าป้องกันเพื่อปกป้องชายหนุ่มชุดเขียวไว้ด้านใน

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ตาเป็นประกายขึ้นมา และรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก

ความจริงแล้วหุ่นนักรบเหล่านี้ได้ก่อตัวเป็นค่ายกลสี่ทิศ เพื่อใช้ในการป้องกัน ขณะเดียวกันก็มีพลังในการโจมตีด้วย หากใช้หุ่นนักรบทั้งสี่ก่อตัวขึ้นเป็นค่ายกล อานุภาพของมันย่อมเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย

แต่ไม่รู้ว่าชายหนุ่มชุดเขียวผู้นี้มั่นใจจนเกินไปหรือว่าโง่กันแน่ ถึงได้แยกหุ่นนักรบทั้งสี่ออกจากกัน เช่นนี้แล้วเพียงแค่ทำลายได้ตัวหนึ่ง ก็ไม่สามารถวางค่ายกลสี่ทิศได้แล้ว

หลังจากหลิ่วหมิงวางแผนไว้ในใจแล้ว ก็แตะเท้าลงพื้นโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง จากนั้นร่างของเขาก็พุ่งขึ้นฟ้า และพุ่งถอยออกไปพร้อมกับเศษเงา

ขณะเดียวกัน พอเขาทำท่ามือ กระบี่บินสีแดงตรงหน้าก็สั่นไหวเบาๆ จากนั้นก็กลายเป็นสายรุ้งกระบี่ยาวหลายจั้ง และเปล่งแสงเจิดจ้า

ชายหนุ่มชุดเขียวเห็นเช่นนี้ ก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง น้ำเสียงดูไม่ใส่ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย

ครู่ต่อมา เกิดเสียงดัง “ตู้ม!”

สายรุ้งกระบี่สีแดงฟันใส่หุ่นนักรบตัวที่อยู่ทางซ้ายอย่างรุนแรง

แต่ทว่าหุ่นนักรบเพียงแค่หยุดชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็สะบัดกำปั้นใส่สายรุ้งกระบี่ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทิ้งไว้เพียงรอยกระบี่จางๆ บนพื้นผิวเท่านั้น และมันก็ไล่ตามหลิ่วหมิงไป

ขณะเดียวกัน หุ่นนักรบที่อยู่ทางขวาก็ไล่ตามเข้ามาใกล้แล้ว มันอ้าปากพ่นลำแสงสีทองขนาดเท่าปากถ้วยพุ่งใส่หลิ่วหมิงอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ

หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจมาก เขารู้ดีว่าไม่อาจหลบหลีกได้โดยง่าย ร่างของเขาจึงหยุดชะงักในทันที จากนั้นเกล็ดมังกรจำนวนมากก็ปกคลุมแขนของเขาไว้อย่างแน่นหนา และสะบัดออกไปรับมือกับลำแสง

“ตู้ม!”

ภายใต้การปล่อยกำปั้นของหลิ่วหมิง ทำให้ลำแสงสีทองถูกโจมตีจนแตกกระจาย

“ร้ายกาจ!”

แม้ดูเหมือนเขาจะโจมตีลำแสงสีทองอย่างง่ายดาย แต่ทว่าแขนของเขาก็สั่นสะเทือนจนรู้สึกชาเล็กน้อย

แสงลำนี้มีอานุภาพเกือบจะเทียบเท่าได้กับการโจมตีด้วยพลังทั้งหมดของผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลาย

ในขณะนั้น หุ่นนักรบทางด้านซ้ายก็ตามมาถึง และอยู่ห่างจากตรงหน้าเขาเพียงลัดมือเดียว พอแขนของมันพร่ามัว กำปั้นสีทองอร่ามก็ชกใส่หลิ่วหมิง และเกิดเป็นระลอกคลื่นสีทองยาวๆ

หลิ่วหมิงก็ตอบสนองรวดเร็วมาก ทันทีที่เขาบิดตัวจนบิดเบี้ยว ก็สามารถหลบกำปั้นนี้ไปได้ ขณะเดียวกันก็หันไปชกหุ่นนักรบอย่างรุนแรง

“ปัง!” ครู่ต่อมา กำปั้นของหลิ่วหมิงที่ถูกปกคลุมไปด้วยกำปั้นสีดำ ก็ปะทะกับกำปั้นอีกลูกของหุ่นนักรบ ในขณะที่หุ่นนักรบโซซัดโซเซร่นถอยออกไปสองก้าวนั้น หลิ่วหมิงก็พุ่งถอยออกไปหลายจั้งอีกครั้ง

เขายังไม่ทันตั้งหลักได้ ลำแสงสีทองก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ

ผ่านไปไม่นาน หุ่นนักรบทั้งสองก็ถูกหลิ่วหมิงล่อให้ออกห่างชายหนุ่มชุดเขียวไปหลายสิบจั้ง

หุ่นนักรบอีกสองตัวกลับคุ้มครองอยู่ข้างๆ ชายหนุ่มชุดเขียวโดยไม่ยอมออกห่าง และไม่ตามเข้ามา

“นี่ก็พอประมาณแล้ว”

หลิ่วหมิงโจมตีลำแสงสีทองจนแตกสลายอีกครั้ง จากนั้นก็ชำเลืองมองชายหนุ่มชุดเขียวทีหนึ่ง และตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณบนเอว

หมอกดำสองกลุ่มพุ่งออกจากถุงหนังสองใบ

ในขณะที่ไอดำลอยวนนั้น ก็มีเสียงหัวเราะออกมา หัวบินหมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบ และตกลงข้างตัวหลิ่วหมิง

และหมอกดำอีกกลุ่มก็หมุนวนร่วงมาอยู่ข้างเท้าหลิ่วหมิง พอไอหมอกสลายไปก็เผยให้เห็นร่างของแมงป่องกระดูก

“ปีศาจบ่มเพาะ!” พอชายหนุ่มชุดเขียวเห็นท่าทีของหลิ่วหมิง ก็ดูเหมือนจะหัวเราะอย่างเยือกเย็น และไม่ใส่ใจแต่อย่างใด มือทั้งสองก็ควบคุมหุ่นนักรบทั้งสองอยู่ไม่หยุด เพื่อที่จะโจมตีหลิ่วหมิงให้เสียชีวิตในทีเดียว

สำหรับนิกายปีศาจลี้ลับอย่างพวกเขาแล้ว ปีศาจรับใช้เป็นสิ่งที่เห็นจนชินชา ทั้งยังอ่อนแอกว่าเจ้าของมาก ในขณะทำการต่อสู้ก็มีบทบาทจำกัด ยิ่งไปกว่านั้นเวลาเผชิญหน้ากับหุ่นนักรบที่แข็งแกร่ง การโจมตีโดยทั่วไปก็ไม่อาจสร้างความเสียหายให้หุ่นนักรบได้เลยแม้แต่น้อย

“ไป! ก่อกวนหุ่นนักรบทั้งสองตัวไว้!” หลิ่วหมิงกระตุ้นจิต และถือโอกาสที่หุ่นนักรบทั้งสองยังไม่ทำการโจมตีสั่งปีศาจทั้งสองผ่านจิต

พอแมงป่องกระดูกได้รับคำสั่ง ร่างขนาดเท่าปากถ้วยของมันก็ปล่อยไอดำออกมา และขยายใหญ่จนมีขนาดเท่าแผ่นหินโม่ พอดีดขาหลังทั้งหก ร่างของมันก็กระโดดขึ้นมา ก้ามยักษ์โจมตีหน้าอกของหุ่นนักรบทางด้านซ้ายอย่างรุนแรง

หุ่นนักรบถูกพลังมหาศาลปะทะเช่นนี้ ก็จำต้องถอยไปหนึ่งก้าว ขณะที่กำลังจะต่อยให้แมงป่องกระเด็นออกไปนั้น พลันมีเสียง “ฟิ้วๆ!” ดังติดต่อกัน เส้นสีดำเล็กๆ จำนวนมากโจมตีใบหน้ากับหน้าอกของหุ่นนักรบจนเกิดเป็นรูเข็มบางๆ

เกือบจะในเวลาเดียวกัน หัวบินก็หมุนวนไปหาหุ่นนักรบทางด้านขวา เส้นผมสีเขียวจำนวนมากพุ่งยิงออกไปด้วยเสียงอันดัง

หุ่นนักรบเกราะทองคำไม่สนใจการโจมตีของเส้นผมสีเขียว พอมันอ้าปาก ลำแสงสีทองก็ถูกพ่นใส่หน้าหัวบิน

หัวเล็กๆ ทั้งสองข้างส่งเสียงร้อง “แคล็กๆ!” พอมันอ้าปาก เปลวไฟสีเขียวก็ถูกพ่นออกมาทันที เมื่อปะทะกับลำแสงสีทอง ทั้งสองก็สลายไป

ครู่ต่อมา เส้นผมสีเขียวม้วนตัวเป็นตาข่ายสีเขียวขนาดใหญ่ในทันที และปกคลุมหุ่นนักรบตนนี้ไว้อย่างแน่นหนา

พลังของหุ่นนักรบเกราะทองคำก็ไม่อาจดูเบาได้ ภายใต้การสะบัดแขนทั้งสอง แม้ว่าจะไม่อาจหลุดออกไปได้ แต่ก็มีเส้นผมจำนวนไม่น้อยที่ฉีกขาดออกมา

และในขณะเดียวกัน ไม่รู้ว่าในมือของหลิ่วหมิงถือยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลืองตั้งแต่เมื่อไหร่ และใช้มือทั้งสองประกบมันไว้ จากนั้นก็ส่งพลังเวทเข้าไป

เมื่อแสงสีทองส่องแสงเจิดจ้า เงาร่างสีทองที่สูงจั้งกว่าๆ ก็ปรากฏออกมา

…………………………………

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset