ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 566 เงาร่างมายาที่แข็งแกร่งที่สุด

หลิ่วหมิงจ้องมองทรายทองคำร่วงที่ถูกโจมตี และซาทงเทียนยังคงโจมตีอย่างเชี่ยวชาญ

หลังจากครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว เขาก็ตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณบนเอวทันที ทันใดนั้นไอดำสองสายก็ม้วนตัวออกมา และพุ่งเข้าใส่ซาทงเทียนอย่างรวดเร็ว!

หลังจากไหมทองคำที่ปกคลุมเต็มฟ้าถูกปราณกระบี่สีเขียวโจมตีจนแตกกระจายไปหมดแล้ว ซาทงเทียนก็ถอยออกไปสิบกว่าจั้งด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลาย

แต่ขณะที่เขาเงยหน้ามองหมอกดำสองสายที่กระโจนเข้ามานั้น ก็ต้องแสดงสีหน้าตกใจอีกครั้ง

สิ่งที่อยู่ท่ามกลางไอหมอกอันพวยพุ่งก็คือหัวบินกับแมงป่องกระดูก กลิ่นไอแข็งแกร่งที่แผ่ออกมาไม่ด้อยไปกว่าระดับของเหลวขั้นปลายเลย !

ท่ามกลางกลุ่มไอดำที่อยู่ทางด้านซ้ายมือ แมงป่องกระดูกพุ่งเข้ามาถึงก่อนหัวบิน พอมันสะบัดหัวมังกรสีม่วงแวววาวบนหางตะขอ เส้นเล็กๆ สีดำจำนวนหลายสิบกว่าเส้นก็พุ่งยิงออกไป

และหัวบินที่อยู่ทางด้านขวาก็พุ่งยิงผมยาวสีเขียวออกมาอย่างไม่ยอมน้อยหน้า

ซาทงเทียนมีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก เขาพลิกฝ่ามือหยิบยันต์สีฟ้าออกมาผืนหนึ่ง พอขยี้จนแหลกละเอียด มันก็กลายเป็นเกราะป้องกันปกคลุมเขาไว้ ขณะเดียวกันกระบี่บินในมือก็พุ่งยิงปราณกระบี่สีเขียวจางๆ ออกไปหลายสิบสาย เพื่อรับมือกับเส้นละเอียดสีเขียวดำที่พุ่งมาถึงตรงหน้าอย่างรวดเร็ว

เสียงโลหะเสียดสีกันดังขึ้นมา

ภายใต้การประสานกันไปมาของปราณกระบี่ ทำให้แสงสีเขียวเป็นเส้นๆ กระพริบหายไป!

ซาทงเทียนเห็นเช่นนี้ก็เปลี่ยนท่ามือทันที ปราณกระบี่สีเขียวที่เหลือกลายเป็นเงากระบี่ขนาดต่างๆ และฟันไปทางแมงป่องกระดูกอย่างไม่คิดจะหยุดยั้ง!

แมงป่องกระดูกยกก้ามยักษ์ขึ้นมารับเงากระบี่ตรงๆ โดยไม่คิดจะหลบหลีก

“เพล้ง!”

พอก้ามยักษ์กับเงากระบี่สัมผัสกัน แมงป่องกระดูกก็กระเด็นออกไป

ซาทงเทียนเผยแววตาประหลาดใจออกมา ภายใต้การใช้วิชาขี่กระบี่ของเขา กลับทิ้งไว้เพียงรอยสีขาวจางๆ บนก้ามยักษ์ของแมงป่องกระดูกตัวนี้เท่านั้น และดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ เลย!

ในขณะนั้นเอง หัวบินก็พุ่งเข้ามาถึง มันพร่ามัวแค่ทีเดียวก็แยกออกเป็นเก้าหัว ภายใต้การสะบัดศีรษะ ไหมสีเขียวก็ม้วนตัวออกไปเต็มฟ้า และห่อหุ้มเกราะป้องกันของซาทงเทียนไว้อย่างแน่นหนา

และพอหลิ่วหมิงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ก็มาปรากฏตัวเหนือร่างของซาทงเทียนอย่างไร้สุ้มเสียง เพียงแค่ชี้มือข้างหนึ่งลงไปด้านล่าง แสงสีทองเป็นจุดๆ ก็ปรากฏออกมาบริเวณนั้น และสั่นไหวกลายเป็นตาข่ายยักษ์ก่อนที่จะม้วนตัวลงไป

ตามมาด้วยเสียงมังกรร้องพยัคฆ์คำราม หลังจากไอดำบนตัวหลิ่วหมิงพุ่งขึ้นฟ้า มันก็กลายเป็นมังกรดำสองตัวกับพยัคฆ์ดำหนึ่งตัว พอเขาขยับแขนทั้งสอง เงากำปั้นสีทองจำนวนมากก็พุ่งลงไปราวกับสายฝนกระหน่ำ

……

ผ่านไปสองสามอึดใจ อากาศเหนือพื้นที่ว่างเปล่านอกวังมายานภาหยก พอมีแสงสีเขียวเปล่งประกาย ร่างของซาทงเทียนก็ปรากฏออกมา

เพียงแต่ว่าตอนนี้ดวงตาทั้งคู่ของเขาปิดสนิท ดูเหมือนจะสลบไสลไม่ได้สติ ชุดผ้าแพรบนตัวได้ขาดรุ่งริ่งไปนานแล้ว ใบหน้าแคบยาวก็ซีดขาวราวกับกระดาษ พอเขาปรากฏออกมาก็ร่วงลงไปโดยตรง

“ศิษย์หลานซา!”

เฮ่าเยวี่ยเห็นเช่นนี้ก็อึ้งไปทันที แต่ก็ได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว พอยกแขนเสื้อขึ้น แสงสีเขียวลำหนึ่งก็กลายเป็นแส้ม้วนตัวไปพันร่างของซาทงเทียนไว้ และดึงกลับมาวางบนพื้นตรงหน้าเบาๆ

พอเขากวาดสายตาทั้งคู่สังเกตดูก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นมา และหยิบลูกปัดหยกสีขาวออกมาอีกครั้ง จากนั้นก็เริ่มรักษาบาดแผลบนร่างของซาทงเทียน

ห่างออกไปไม่ไกล ชายแซ่ไต้แห่งสำนักเฮ่าหรานกำลังยืนเอามือไขว้หลังด้วยสีหน้าอึมครึม และด้านข้างของเขาก็มีชายหนุ่มแซ่ซังนอนอยู่ เท้าทั้งสองที่ขาดได้ถูกต่อเข้าด้วยกันแล้ว

แต่ทว่าศิษย์รุ่นหลังที่ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ทั้งสองต่างก็ให้ความสำคัญนั้น ดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บออกมาติดต่อกัน สิ่งนี้ทำให้ผู้อาวุโสผมขาวกับบรรดาผู้ฝึกฝนต่างก็รู้สึกตกตะลึงขึ้นมา

……

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เวลาที่วังมายานภาหยกจะปิดตัวลงก็เหลือแค่สามวันแล้ว

ช่วงเวลาเหล่านี้ หลิ่วหมิงสังหารอสูรมายาอีกหลายตัวในห้องโถงไปจำนวนหนึ่ง จนมาถึงวันนี้ อสูรมายาที่เหลืออยู่ก็มีแม้กระทั่งพลังระดับผลึกขั้นกลางด้วย บ้างก็มีบาดแผลอยู่บนตัว คงจะเป็นฝีมือของผู้ฝึกฝนหลายคนในก่อนหน้า

สิ่งที่ทำให้หลิ่วหมิงค่อนข้างเบิกบานใจก็คือ ทุกครั้งที่สังหารอสูรมายา นอกจากจะมีมุกนภาหยกของอสูรมายาร่วงลงมาแล้ว เขายังได้รับมุกนภาหยกที่ผู้ฝึกฝนจำนวนหนึ่งในก่อนหน้านั้นทิ้งไว้

สิ่งนี้ทำให้จำนวนมุกนภาหยกในยันต์เก็บของมีมากถึงห้าหกร้อยกว่าเม็ด ในนั้นมีมุกสีเงินเกือบสิบเม็ดแล้ว แต่ว่ามุกสีทองยังมีแค่เม็ดเดียวเท่านั้น

วันนี้ เมื่อหลิ่วหมิงสังหารอสูรคางคกระดับผลึกขั้นต้นภายในห้องโถงแห่งหนึ่งแล้ว ก็ปราดสายตามองออกไป เขาค้นพบว่าห้องโถงทางด้านตะวันออกไม่เหมือนกับที่ผ่านมาเล็กน้อย พื้นผิวประตูหินถูกลวดลายจิตวิญญาณสีเงินปกคลุมไว้อย่างแน่นหนา

เขาครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็เดินเข้าไปช้าๆ หลังจากลังเลเล็กน้อยแล้ว ก็ผลักประตูเดินเข้าไป

ครู่ต่อมา ฉากตรงหน้าทำให้เขารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก!

ทิวทัศน์ของห้องโถงแห่งนี้แตกต่างจากก่อนหน้านั้นโดยสิ้นเชิง

ห้องโถงในก่อนหน้านั้น นอกจากจะมีอสูรมายาและเงาร่างมายาแล้ว ที่เหลือล้วนว่างเปล่า และพื้นที่ของห้องโถงก็ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับพลังของคู่ต่อสู้ด้วย ยิ่งฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งเท่าไหร่ ห้องโถงก็ยิ่งกว้างขวางมากขึ้น

แต่ห้องโถงตรงหน้านี้ พอมองออกไปก็ดูเหมือนจะมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ทั้งยังมีต้นไม้ภูเขาและทัศนียภาพอื่นๆ ครบครัน

แต่อีกด้านหนึ่งเป็นพื้นราบเรียบ ตรงหน้าพื้นที่ราบเรียบดูเหมือนจะเป็นป่าที่เขียวชอุ่มเป็นดง และอีกด้านหนึ่งเป็นยอดเขาหลายลูกที่ทอดยาวติดต่อกัน ห้องโถงสูงจนมองไม่เห็นเพดาน ทั้งยังมีเมฆลอยอยู่เป็นก้อนๆ ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกว่าตนเองอยู่นอกวังมายานภาหยกแล้ว

หลิ่วหมิงกำหนดจิตเล็กน้อย พอทำท่ามือด้วยมือเดียว เขาก็พุ่งขึ้นฟ้า และเหาะไปยังยอดเขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง จากนั้นก็ทำการสังเกตดูบริเวณรอบๆ

ขณะนั้นเอง มีเสียงดังก้องฟ้าดังมาจากสถานที่ที่อยู่ไม่ไกล มีแสงสีทองเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด

เขาครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็กระโดดลงจากยอดเขา และแสดงวิชาซ่อนตัวเล็กน้อย จากนั้นก็มองไปยังแสงสีทองที่พุ่งเข้ามาอย่างเงียบๆ

ผ่านไปสักพัก เขาก็มาถึงบนยอดเขาที่ค่อนข้างสูงลูกหนึ่ง พอหรี่ตาทั้งคู่ลง ก็มองเห็นสภาพแวดล้อมอย่างชัดเจน

ห่างออกไปร้อยกว่าลี้ แสงสีทองกับสีม่วงกำลังไล่ล่ากันอยู่เหนือป่า

ท่ามกลางแสงสีม่วงที่อยู่ด้านหน้า มีเงาร่างอรชรที่คุ้นเคยปรากฏอยู่รำไร พอหลิ่วหมิงกวาดตามองออกไป ก็ต้องพูดพึมพำออกมาหนึ่งประโยค “คิดไม่ถึงว่าจะเป็นนาง!”

แสงสีทองที่ตามมาด้านหลังกระพริบหายไปจากจุดเดิมในทันที ไม่นานก็มาปรากฏตรงหน้าแสงสีม่วง และเงาร่างชายใบหน้าไร้ความรู้สึกที่สวมหนุ่มชุดสีทอง ก็ปรากฏออกมา ในมือของเขาถือกระบี่ยาวที่เปล่งแสงสีทองสลัวๆ อยู่

ประจักษ์ชัดว่า แสงหลบหลีกตรงหน้าคาดไม่ถึงว่าจะมีฉากนี้เกิดขึ้น ทันใดนั้นเงาร่างหญิงสาวที่มีสีหน้าดูไม่ได้ก็ปรากฏออกมา ซึ่งนางก็คือหญิงสาวชุดม่วงแห่งตระกูลโอวหยางนั่นเอง พอนางยกแขนเสื้อขึ้น มีดบินสีขาวสลัวๆ ก็พุ่งยิงออกไป

จากนั้นมือทั้งสองของนางก็เคลื่อนไหวไปมา และปล่อยพลังออกไปติดต่อกัน มีดบินสั่นสะท้านอยู่กลางอากาศอย่างต่อเนื่อง ลวดลายบนพื้นผิวเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด

เสียงมังกรดังลั่นไปทั่วฟ้า!

มีดบินสีขาวเปล่งประกาย และกลายเป็นมังกรสีขาวโพลนที่ยาวราวๆ สิบกว่าจั้ง เกล็ดแวววาวบนตัวเปล่งแสงเจิดจ้าออกมา แสงสีเขียวในดวงตาทั้งสองหมุนวนอยู่ไม่หยุด กรงเล็บทั้งสี่โค้งงอ แลดูแหลมคมยิ่งนัก

“ไป!”

หญิงสาวชุดม่วงส่งเสียงออกมา และชี้ไปทางชายหนุ่มชุดสีทอง

มังกรสีขาวหมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบ จากนั้นก็พ่นเปลวไฟสีขาวใส่ชายหนุ่มชุดสีทอง

ชายหนุ่มชุดสีทองเห็นเช่นนี้ กลับไม่คิดจะหลบหลีกเลยแม้แต่น้อย กระบี่ยาวสีทองในมือดูเหมือนจะถูกสะบัดเบาๆ อย่างไม่ใส่ใจ และแสงกระบี่สีทองก็ม้วนตัวออกไป

ไม่ว่ามังกรสีขาวตรงหน้าจะพ่นเปลวไฟสีขาวอย่างบ้าระห่ำแค่ไหน แสงกระบี่เพียงแค่พร่ามัวทีเดียว ก็ฟันลงบนหัวของมันอย่างเหลือเชื่อ

“ตู้ม!”

มังกรสีขาวส่งเสียงร้องออกมา เกล็ดบนตัวถูกแสงกระบี่สีทองม้วนตัวเข้าใส่จนแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ และกลับมาเป็นมีดบินเช่นเดิม

หญิงสาวชุดม่วงมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ พอโบกมือข้างหนึ่ง มีดบินก็พุ่งกลับมาอยู่ในมือท่ามกลางแสงสีขาวที่เปล่งประกาย

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

เขาเห็นอย่างชัดเจนว่า แสงสีขาวที่พุ่งกลับมาในมือของหญิงสาวก็คือมีดบินปีกตาข่ายที่เป็นต้นแบบอาวุธเวทเล่มนั้น

และเงาร่างของชายหนุ่มชุดสีทองเพียงแค่ปล่อยกระบี่อย่างไม่ใส่ใจ มังกรที่กลายร่างมาจากอาวุธนี้ก็โดนฟันจนแตกกระจาย พลังของมันช่างน่าตกใจเป็นอย่างมาก

ขณะที่หลิ่วหมิงรู้สึกหวาดกลัว และยังคิดไม่ออกว่าจะเดินหน้าหรือถอยหลังนั้น ชายหนุ่มชุดสีทองกลับเดินผ่านอากาศมาหาหญิงสาวชุดม่วงอย่างช้าๆ ขณะเดียวกันพลังดุดันบางอย่างก็ม้วนตัวเข้ามา

หญิงสาวชุดม่วงทำเสียงฮึดฮัด ไม่รู้ว่ามีโล่สีทองที่มีรูปพยัคฆ์สลักอยู่ ปรากฏอยู่บนมือตั้งแต่เมื่อไหร่ พอโยนออกไปเบาๆ มันก็ขยายใหญ่จั้งกว่าๆ และขวางอยู่ตรงหน้า

จากนั้นโล่สีทองก็เปล่งประกายออกมา ค่ายกลสีทองปรากฏออกมาเป็นวงๆ ภายใต้การจ้องมองอย่างละเอียด จะค้นพบว่ามันมีมากถึงสามสิบสามชั้น และมีเสียงพยัคฆ์คำรามดังออกมา

บนโล่ยักษ์ ลายเส้นจิตวิญญาณสีทองทั้งสามสิบสามเส้นสว่างขึ้นมา พอแสงสีทองเปล่งประกาย พยัคฆ์สีทองที่ยาวสองจั้งกว่าๆ ก็กระโดดออกมาจากในนั้น และกระโจนเข้าหาฝ่ายตรงข้ามอย่างโหดเหี้ยม

ขณะเดียวกัน พอหญิงสาวชุดม่วงสะบัดข้อมือ โล่กับพยัคฆ์สีทองก็พุ่งออกไปด้านหน้า พริบตานั้นแสงสีทองมีจำนวนนับหมื่นลำ อานุภาพน่าตกใจเป็นยิ่งนัก

เงาร่างชายหนุ่มชุดสีทองกลับขยับกระบี่ยาวสีทองด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก พอมันพร่ามัว ก็ไปฟันใส่หัวพยัคฆ์

“ตู้ม!”

หลิ่วหมิงรู้สึกว่าหูทั้งสองสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ขณะที่ยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นนั้น เสียงระเบิดดังราวกับฟ้าถล่มดินทลายก็พุ่งเข้าไปในหัวอย่างบ้าคลั่ง เขารู้สึกใจเย็นสะท้านขึ้นมา ดวงตาทั้งคู่ถูกสะเก็ดแสงที่อยู่ไม่ไกลทำให้ปิดตาลงอย่างช่วยไม่ได้

เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็เขม้นตาจ้องมองทุกอย่างจนชัดเจน จะเห็นว่ากลุ่มแสงสีม่วงกำลังพุ่งยิงเข้ามา ส่วนหญิงสาวชุดม่วงที่อยู่ด้านในก็โชกไปด้วยเหงื่อ และดูเหมือนจะหนีอย่างร้อนรน

ตรงด้านหลังของนาง เงาร่างชายหนุ่มชุดสีทองกลับตามติดเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน โดยที่หนึ่งก้าวของเขาไกลถึงสิบกว่าจั้ง

ท่ามกลางกลุ่มแสงสีทองที่พวยพุ่งอยู่ด้านหลังของทั้งสอง โล่ที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดชิ้นนั้น ได้ถูกฟันเป็นสองส่วน และลอยอยู่กลางอากาศแล้ว

………………………………

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset