อีกด้านหนึ่งของแท่นประลองก็ยังไม่มีคนเดินขึ้นมา
“หมายเลขสามร้อยหกสิบสี่ พานเทียนเฟิงจากสาขาเสวียนเหมี่ยว หากไม่ขึ้นแท่นประลองล่ะก็ จะถือว่าสละสิทธิ์ล่ะนะ” ผู้ดำเนินการระดับผลึกรออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตะโกนออกมาด้วยสีหน้าอึมครึม
พอคำพูดนี้หลุดออกไป ฝูงชนด้านล่างก็พากันกระซิบกระซาบขึ้นมา
“ไม่ต้องเร่ง ข้าอยู่นี่แล้ว” ขณะนั้นเองชายหนุ่มขาวอวบสวมชุดผ้าแพรสีเงิน ท่าทีสะโอดสะอง ก็มาปรากฏตัวบนแท่นประลอง
พอคนผู้นี้เหยียบลงบนแท่นประลอง ผู้คนที่อยู่ด้านล่างก็ส่งเสียงฮือฮาขึ้นมา
“ว่ากันว่าแม้พานเฟิงเทียนผู้นี้จะมีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลาย แต่พลังแท้จริงของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าระดับผลึกเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าจริงเท็จประการใด”
“ท่านกล่าวไม่ถูกต้อง แม้ข้าจะไม่รู้พลังที่แท้จริงของคนผู้นี้ แต่ตระกูลพานก็นับว่ามีหน้ามีตาในนิกายไม่น้อย ว่ากันว่าพานเทียนเฟิงเข้าสู่ระดับของเหลวขั้นปลายเมื่ออายุแค่ยี่สิบกว่าปีเท่านั้น สาเหตุส่วนใหญ่ล้วนเกิดจากการที่ทางตระกูลให้โอสถเพิ่มพลังเวทที่มีชื่อเสียงต่างๆ จนบรรลุขั้นขึ้นมาได้”
ขณะที่ด้านล่างแท่นประลองกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นั้น พานเทียนเฟิงก็มองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง พอสะบัดแขนเสื้อ ค้อนเล็กสีดำก็ปรากฏอยู่ในมือ และกล่าวออกมาด้วยท่าทีหยิ่งยโส
“ข้าพานเทียนเฟิงจากสาขาเสวียนเหมี่ยว ศิษย์น้องผู้นี้ไม่ต้องบอกชื่อเสียงเรียงนามแล้ว ขอใช้ชัยชนะในวันนี้มาเปิดคมอาวุธจิตวิญญาณของข้าที่เพิ่งซื้อมาใหม่นี้เถอะ”
หลิ่วหมิงไม่ตอบกลับแต่อย่างใด แต่พอหดรูม่านตาสังเกตดูค้อนเล็กที่เปล่งแสงสีดำอยู่ในมือของชายหนุ่ม เขาก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย
ค้อนเล็กนี้เป็นสิ่งที่เขานำไปขายในตลาดด้วยราคาสองล้านหินจิตวิญญาณเมื่อไม่กี่วันก่อน ดูเหมือนว่าเถ้าแก่ร้านหลอมอาวุธแห่งนั้นก็แซ่พานเช่นกัน
หลิ่งหมิงคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มองดูพานเทียนเฟิงตรงหน้าอีกครั้ง และค่อยๆ เหยียดมุมปากขึ้นเล็กน้อย
พานเทียนเฟิงเห็นเช่นนี้กลับรู้สึกโมโหอย่างอดไม่ได้ มือทั้งสองทำท่ามือกระตุ้นพลังเวทไปยังค้อนเล็กสีดำอย่างบ้าคลั่ง พอสะบัดข้อมือ ค้อนเล็กสีดำก็ถูกโยนขึ้นบนอากาศ
ค้อนเล็กสีดำสั่นไหวอย่างรุนแรง ทันใดนั้นมันก็เปล่งแสงสีดำออกมา พริบตาเดียวก็ขยายใหญ่จั้งกว่าๆ อักขระสีดำจำนวนมากเปล่งประกายอยู่บนพื้นผิว
ขณะที่พลังจิตวิญญาณสั่นสะเทือนไปทั่วทิศร่างรุนแรง ก็ทำให้ผู้ชมบริเวณอื่นๆ รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก และพากันหันมามองแท่นประลองที่เก้า
บนแท่นสูงที่อยู่ไม่ไกล ดูเหมือนว่าผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้หลายคนก็รับรู้ถึงความเคลื่อนไหวทางด้านนี้ได้ จึงละสายตามองมา
เมื่อรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นศูนย์กลางของความสนใจ พานเทียนเฟิงก็รู้สึกดีใจมาก จากนั้นก็กัดฟันปล่อยพลังออกไปติดต่อกัน
ค้อนยักษ์สีดำแผดเสียงออกมา ลวดลายสีดำบนพื้นผิวค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
หลิ่วหมิงยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม และจ้องมองค้อนยักษ์กลางอากาศด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
ค้อนเล็กสีดำเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่มีสามสิบชั้นจำกัด ตอนนี้ดูเหมือนจะมีอานุภาพน่าตกใจมาก แต่พานเทียนเฟิงกลับกระตุ้นชั้นจำกัดแค่ยี่สิบกว่าชั้น ดูท่าหากไม่ใช่ว่าพลังเวทของเขาไม่เพียงพอ ก็คงทำการปรับแต่งไม่ทัน
ขณะนั้นเอง พานเทียนเฟิงก็คำรามเสียงต่ำและกระโดดขึ้นมาทันที จากนั้นก็คว้าค้อนเล็กกลางอากาศไว้ และโบกไปยังฝั่งตรงข้ามอย่างรุนแรง
“ฟู่!”
มีเสียงดังขึ้นบนพื้นแท่นประลอง เงาค้อนสีดำกลุ่มหนึ่งปรากฏออกมา และพวยพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง
หลิ่งหมิงเคลื่อนไหวแค่ทีเดียว ก็มาปรากฏตัวอยู่กลางอากาศที่สูงสิบกว่าจั้ง ซึ่งสามารถหลบการโจมตีได้อย่างง่ายดาย
เงาค้อนสีดำโจมตีลงบนขอบม่านแสงทันที หลังจากส่งเสียงดังตู๊ม มันก็กลายเป็นจุดแสงสีดำสลายไป แต่ม่านแสงก็สั่นสะท้านเบาๆ เห็นได้ชัดว่ามันมีอานุภาพไม่น้อย
ศิษย์จำนวนมากเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกใจเย็นสะท้าน สายตาที่มองดูค้อนสีดำเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
พอพานเทียนเฟิงเห็นว่าหลิ่วหมิงหลบการโจมตีนี้ได้อย่างง่ายดาย หน้าเขาก็เริ่มแดงขึ้นมา
จากนั้นเขาก็กระตุ้นเคล็ดวิชาและโบกสะบัดค้อนยักษ์หนึ่งที ภายใต้การเปล่งประกายของแสงสีดำ เงาค้อนสิบกว่ากลุ่มก็ม้วนตัวออกไป
ดวงตาหลิ่วหมิงเป็นประกาย หลังจากร่างของเขาพร่ามัว ก็มาปรากฏตัวตรงมุมแท่นประลอง ทำให้เงาค้อนโจมตีใส่แต่ความว่างเปล่า
หลังจากผ่านการโจมตีเช่นนี้ไปสามสี่ครั้ง พานเทียนเฟิงก็มีสีหน้าซีดขาวเล็กน้อย และหายใจถี่ขึ้น แต่นอกจากหลิ่วหมิงจะหลบหลีกอยู่บ่อยครั้งแล้ว ก็ไม่นำอาวุธจิตวิญญาณออกมาเลย
ค้อนนี้สิ้นเปลืองพลังเวทเป็นอย่างมาก แม้แต่หลิ่วหมิงเองก็รับไม่ไหว แล้วนับประสาอะไรกับศิษย์คนนี้ล่ะ
ปรากฏการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้ ทำให้ผู้ชมรอบแท่นประลองหัวเราะออกมาอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
“เจ้าหลบหลีกอยู่บ่อยครั้งเช่นนี้ จะนับว่าเป็นประลองได้อย่างไร! หรือว่าแค่เห็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดของข้า ก็กลัวแล้วหรือ?” พานเทียนเฟิงเห็นเช่นนี้ก็ตะคอกด้วยความโกรธ
“ไม่ผิด” หลิ่วหมิงได้ยินก็ถูจมูกแล้วพูดออกมาโดยไม่ต้องคิด
พอคำพูดนี้ออกจากปาก ศิษย์จำนวนมากที่อยู่บริเวณนั้นก็หัวเราะออกมา
“เจ้า……เจ้ากล้าต่อสู้กับข้าอย่างองอาจหรือไม่!” พานเทียนเฟิงประนามด้วยความโมโห
ขณะนี้ ใบหน้าขาวเกลี้ยงเกลาของเขากลับแดงขึ้นมา พอนึกถึงว่าตนเองเป็นถึงนายน้อยตระกูลพาน แต่กลับถูกฝ่ายตรงข้ามเล่นลูกไม้เช่นนี้ เขาก็เรียกค้อนยักษ์กลับมาด้วยความโมโห และใส่พลังเวทเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ค้อนยักษ์สีดำเปล่งแสงสีดำออกมา
“ได้!” หลิ่วหมิงตอบอย่างตรงไปตรงมา แต่ยังคงไม่นำอาวุธจิตวิญญาณออกมาเลย เขาเอามือทั้งสองไขว้หลังด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย
พานเทียนเฟิงเห็นเช่นนี้ ก็ถือค้อนยักษ์พุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง
ขณะที่พานเทียนเฟิงพุ่งเข้ามาถึงตรงหน้านั้น หลิ่วหมิงกลับตั้งใจเผยช่องโหว่ออกมา
ผลลัพธ์คือดวงตาของคนผู้นี้เผยแววดีใจออกมา และทุบค้อนยักษ์ใส่หลิ่วหมิงอย่างรุนแรง ทันใดนั้นมันก็กลายเป็นเงาสีดำสลัวๆ ม้วนตัวออกไปอย่างบ้าคลั่ง
แต่หลิ่วหมิงแค่ขยับตัวเบาๆ ก็สามารถหลบเงาค้อนจำนวนมากไปได้อย่างเหลือเชื่อ และมาปรากฏตัวอีกแห่งหนึ่ง ทำให้ฝ่ายตรงข้ามคว้าน้ำเหลว
“เจ้า……” พานเทียนเฟิงเห็นเช่นนี้ก็เบิกตาสองข้าง สุดท้ายยังไม่ทันได้พูดอะไรออกมา สีหน้าของเขาก็ซีดขาว และหมดสติก่อนล้มลงพื้นด้วยเสียงดัง “โครม!”
ประจักษ์ชัดว่าการโจมตีในก่อนหน้านั้น ทำให้พลังเวทของเขาถูกค้อนสีดำดูดจนหมดสิ้น และไม่อาจยืนหยัดได้อีก
ตั้งแต่ตอนที่พานเทียนเฟิงนำค้อนเล็กสีดำออกมา จนถึงตอนที่หมดสติล้มลงบนพื้นนั้น ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งถ้วยชาเท่านั้น และตั้งแต่ต้นจนจบหลิ่วหมิงก็ไม่ได้นำอาวุธจิตวิญญาณออกมาเลย และยังไม่เคยลงมือโจมตีด้วย แต่กลับได้ชัยชนะมาแล้ว
สิ่งนี้สามารถกล่าวได้ว่าไม่เคยมีในประวัติศาสตร์การประลองใหญ่ของนิกายยอดบริสุทธิ์มาก่อน
และผู้ชมที่ดูอยู่ก็รู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง
แน่นอน! นี่ก็เป็นเพราะว่าพานเทียนเฟิงอาศัยโอสถในการสะสมพลังเวท พลังต้นกำเนิดจึงไม่บริสุทธิ์ มิเช่นนั้นต่อให้จะใช้พลังเวทแค่ไหน ก็ไม่ถึงกับทนรับไม่ไหวเช่นนี้
“การประลองในรอบนี้ หลิ่วหมิงจากสาขาห่านฟ้าชนะ!”
หลังจากมีเสียงประกาศผลดังออกมา หลิ่วหมิงก็ยิ้ม และหายวับไปจากแท่นประลอง
“จุ๊ๆ! พานเทียนเฟิงผู้นี้เป็นศิษย์สาขาเสวียนเหมี่ยวของพวกท่านล่ะสิ!” หญิงงดงามหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวออกมา
ชายอ้วยเตี้ยที่อยู่ด้านข้างก็มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
พานเทียนเฟิงผู้นี้มีคุณสมบัติไม่เลว แต่กลับมีนิสัยเกียจคร้าน แม้ว่าพลังเวทส่วนมากจะเกิดจากการทานโอสถมหาศาล แต่วันนี้ก็เข้าถึงระดับของเหลวขั้นปลายแล้ว ลำพังแค่อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่มีอยู่หลายชิ้น ย่อมมีโอกาสเอาชนะคู่ต่อสู้ระดับเดียวกันค่อนข้างมาก
แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่า ศิษย์ผู้นี้จะนำอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่ตนเองไม่สามารถควบคุมได้ออกมา ผลลัพธ์ถึงได้ออกมาเป็นเช่นนี้
“อ่ะแฮ่ม! ศิษย์สาขาห่านฟ้าผู้นั้นก็ไม่ธรรมดาจริงๆ พอมองก็รู้ว่าคู่ต่อสู้ใช้พลังเวทค่อนข้างมาก…..ท่านหัวหน้าเหลียง คนผู้นี้คือหลิ่วหมิงที่เพิ่งเข้ามาใหม่สินะ!” ชายอ้วนเตี้ยกระแอมไอเบาๆ และเปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันที
“ไม่ผิด! เป็นเขานั่นเอง” เหลียงจ้านเกอตอบกลับอย่างสุภาพ
“ได้ยินมาว่าวิชาที่คนผู้นี้ฝึกฝนในก่อนหน้า ก็เป็นวิชาของศิษย์สายใน การทดสอบในแดนอบอ้าวก็ได้เผยแววโดดเด่นออกมา ดูจากวันนี้แล้วคงมีความสามารถอยู่จริงๆ” ชายอ้วนเตี้ยกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
เหลียงจ้านเกอได้ยินกลับยิ้มให้เล็กน้อย และไม่พูดอะไรมาก
ชายอ้วนเตี้ยเห็นเช่นนี้ก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก
เจียงจ้งกลับเอามือฟั่นหนวด และยิ้มโดยไม่กล่าวอะไรออกมาเลย
ขณะนี้ หัวหน้าสาขาอีกหลายคนกับรองหัวหน้าสาขาต่างก็มีสีหน้าแตกต่างกันไป บ้างก็ไม่สนใจเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย สนใจแต่ศิษย์ของตัวเองเท่านั้น
แต่ทางด้านทารกเฮ่าเยวี่ยก็มองแท่นประลองที่เก้าทีหนึ่งด้วยแววตาที่เป็นประกาย
ชายแซ่หลูที่เป็นผู้อาวุโสดูแลยอดเขาและหญิงที่อยู่ด้านข้างกลับจดจ่ออยู่กับการต่อสู้อย่างดุเดือดบนแท่นประลองอีกแห่ง
แท่นประลองแต่ละแห่งกำลังทำการต่อสู้กันอย่างดุเดือด หลิ่วหมิงเพียงแค่นั่งขัดสมาธิอยู่ในมุมเงียบสงบบางแห่งอย่างเงียบๆ และไม่ค่อยสนใจสถานการณ์การต่อสู้อื่นๆ มากนัก
ตอนบ่าย หลิ่วหมิงก็เอาชนะผู้ฝึกฝนกระบี่ที่ในมือถือกระบี่เล็กสีเขียวได้อย่างง่ายดาย ฝ่ายตรงข้ามเพิ่งจะฝึกฝนวิชาขี่กระบี่ได้ไม่นาน ซึ่งยังไม่สำเร็จขั้นต้นด้วยซ้ำ จึงถูกหลิ่วหมิงใช้ประสบการณ์คว้าเอาช่องโหว่ และโจมตีจนพ่ายแพ้ภายในกำปั้นเดียว
ขณะที่การต่อสู้ในวันที่สองใกล้จะสิ้นสุดนั้น หลิ่วหมิงก็เห็นว่าวันนี้ตนเองไม่มีการต่อสู้อีก และเขาก็ไม่สนใจการต่อสู้ของคนอื่นๆ เลยแม้แต่น้อย จึงขี่เมฆกลับไปยังที่พักของตนเอง
การประลองในวันที่สามยังคงดำเนินต่อด้วยความตื่นเต้น
ไม่รู้จะบอกว่าหลิ่วหมิงโชคดีหรือว่าคู่ต่อสู้ใช้ความโชคดีหมดแล้วหรืออย่างไร คู่ต่อสู้รอบที่สี่ของเขาถึงเป็นแค่ชายหนุ่มร่างเตี้ยที่มีการฝึกฝนแค่ระดับของเหลวขั้นกลางเท่านั้น ก่อนหน้านั้นชายหนุ่มผู้นี้ไม่เคยเจอกับศิษย์ระดับของเหลวขั้นปลายเลย ซึ่งถือว่าโชคดีมาก
ผลลัพธ์คือเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ ปราณแกร่งคุ้มร่างของชายหนุ่มร่างเตี้ย ก็ถูกหลิ่วหมิงใช้เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬโจมตีจนแตกสลาย จนเขาต้องรีบยอมแพ้ก่อน
จากการประลองอย่างเป็นลำดับขั้นตอน สถานการณ์ในเขตการประลองแต่ละแห่งก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมา ขณะนี้เขตประลองที่หลิ่วหมิงอยู่ ก็มีคนเหลือแค่ยี่สิบกว่าคนแล้ว
และตามกฎการประลองในรอบแรก การประลองเพื่อคัดออกในรอบที่ห้า ก็มีการต่อสู้แค่สิบรอบเท่านั้น ส่วนอีกไม่กี่คนที่เข้ารอบโดยไม่มีคู่ต่อสู้ในก่อนหน้านั้น ก็สามารถเลือกทำการต่อสู้กับหนึ่งในสิบอันดับแรกได้ตามใจ หากเอาชนะได้ก็จะให้แทนที่ไปเลย
ขณะนี้หลิ่วหมิงกำลังยืนอยู่ตรงหน้าแผ่นศิลาที่มีการเขียนสถานการณ์การต่อสู้ติดอยู่ เขาค้นพบว่าคู่ต่อสู้ในรอบสุดท้ายเป็นชายฉกรรจ์ชุดฟ้าที่เยี่ยนหมิงเคยพูดถึง ซึ่งติดหนึ่งในสิบอันดับแรกของงานประลองใหญ่ในครั้งก่อน
………………………………