ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 580 ประลองใหญ่แปดสาขา (3)

ครึ่งชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงกำลังยืนคุมเชิงอยู่กับชายฉกรรจ์ชุดฟ้าบนแท่นประลองที่เก้า

พอผู้ดำเนินการประกาศให้เริ่มการต่อสู้ได้ ชายชุดฟ้าผู้นั้นก็ตบไปที่เอวโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง หมอกควันสีขาวสามสายม้วนตัวออกมาทันที หลังจากหมุนติ้วๆ รวมตัวกันแล้ว ก็กลายเป็นปีศาจกระดูกขาวสามตัว แต่ละตัวสูงสามจั้งกว่าๆ ทั้งยังมีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลางด้วย

พอชายหนุ่มชุดฟ้าส่งเสียงตะคอก ปีศาจกระดูกทั้งสามก็พ่นไหมสีขาวออกมา และก้าวยาวๆ ไปทางที่หลิ่วหมิงยืนอยู่

พอหลิ่วหมิงกระตุ้นเคล็ดวิชาด้วยสีหน้าเฉียบขาด หมอกดำก็พวยพุ่งออกจากร่าง ตามมาด้วยเสียงมังกรร้อง ภายใต้การรวมตัวของหมอกดำทั้งสองด้าน พริบตาเดียวก็กลายเป็นมังกรหมอกสองตัวหมุนวนออกมา และพุ่งใส่ปีศาจกระดูกสองตัวทันที

พอทั้งสี่ปะทะกัน มังกรหมอกดำทั้งสองที่มีอานุภาพเหนือกว่า ก็แหวกไหมสีขาวเข้าไปประชิดตัวปีศาจกระดูกได้อย่างง่ายดาย และไอดำบนตัวก็พวยพุ่งไม่หยุด

ปีศาจกระดูกทั้งสองหยุดนิ่งอยู่ท่ามกลางไอดำอันพวยพุ่งโดยไม่อาจกระดิกตัวได้เลยแม้แต่น้อย

ชายชุดฟ้าเปลี่ยนท่ามืออยู่ไม่หยุด แต่ไม่ว่าปีศาจกระดูกสองตัวที่ถูกขังจะดิ้นรนอย่างไร ก็ไม่อาจหลุดออกมาได้

สีหน้าของชายชุดฟ้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ขณะนี้ ปีศาจกระดูกอีกตัวเคลื่อนไหวไม่กี่ที ก็พุ่งมาอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิงไม่ไกล และหัวเราะออกมาอย่างแปลกประหลาด จากนั้นก็อ้าปากพ่นเข็มกระดูกสีเขียวหยกออกมา

ดูเหมือนว่าหลิ่วหมิงจะเตรียมการไว้ตั้งแต่แรกแล้ว หลังจากทำเสียงฮึดฮัดออกมา เขาก็ชกเข็มกระดูกจนกระเด็นออกไปทั่วทิศ และโจมตีใส่ปีศาจกระดูกอย่างไม่หยุดยั้ง

ประจักษ์ชัดว่า ชายหนุ่มชุดฟ้าคิดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงจะไม่หลบหลีกเลยแม้แต่น้อย ภายใต้สถานการณ์จวนตัวเช่นนี้ เขาคิดที่จะกระตุ้นปีศาจกระดูกให้หลบหลีกก็ไม่ทันแล้ว

ได้ยินแค่เสียงพยัคฆ์ที่คำรามออกมา!

จากนั้นคลื่นยักษ์สีดำก็พุ่งขึ้นฟ้า พยัคฆ์สีดำขนาดใหญ่ตัวหนึ่งทะลุผ่านร่างของปีศาจกระดูกไป หลังจากหยุดชะงักกลางอากาศเล็กน้อยแล้ว ก็กระโจนไปด้านหน้าพร้อมกับกรงเล็บแหลมคมคู่หนึ่ง

ชายชุดฟ้าเห็นเช่นนี้ก็มีสีหน้าอึมครึมขึ้นมา พอสะบัดแขนเสื้อโบกสะบัดง่ามกระดูกสองอันบนมือ หอกเพลิงสีแดงก็ก่อตัวขึ้น และม้วนตัวเข้าหาพยัคฆ์ทมิฬด้วยเสียงอันดัง “ฟู่!”

แสงไฟกลางอากาศสว่างขึ้นมา พยัคฆ์สีดำขนาดใหญ่สลายตัวเป็นหมอกควันสีดำ

หลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย เขาหรี่ตาทั้งคู่สังเกตดูง่ามกระดูกทั้งคู่ของฝ่ายตรงข้ามอย่างละเอียด

ผิวด้านหนึ่งมีลวดลายจิตวิญญาณสีแดงเปล่งประกายไม่หยุด มีเปลวไฟลุกไหม้อยู่บนนั้น ส่วนลวดลายจิตวิญญาณอีกด้านกลับเป็นสีฟ้า และกำลังแผ่ไอสีขาวออกมาเป็นเส้นๆ

ง่ามกระดูกชุดนี้เป็นอาวุธจิตวิญญาณธาตุน้ำกับธาตุไฟที่พบเจอได้น้อยมาก!

หลิ่วหมิงชี้มือข้างหนึ่งไปกลางอากาศด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป

มังกรหมอกสองตัวหยุดนิ่งในทันที กะโหลกของปีศาจกระดูกสองตัวที่ถูกปิดล้อมไว้ระเบิดตัวเสียงดัง “โพล๊ะ!” “โพล๊ะ!” ร่างไร้ศีรษะกลายเป็นเนินกองกระดูกอย่างรวดเร็ว

ชายชุดฟ้าเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก

แม้จะบอกว่าสามารถฟื้นฟูปีศาจกระดูกทั้งสามกลับมาได้ แต่ก็ต้องสูญเสียไม่น้อย

แต่ยังไม่ทันที่ชายชุดฟ้าจะแสดงวิธีการใดๆ ออกมา หลิ่วหมิงก็ชิงลงมือก่อนแล้ว

พอแขนทั้งสองสั่นสะท้านผลักไปด้านหน้า มังกรหมอกดำทั้งสองก็หมุนตัวกลางอากาศหนึ่งรอบ และพุ่งเข้าหาชายชุดฟ้า

ชายชุดฟ้าเห็นเช่นนี้ก็ร่ายคาถาออกมา ลวดลายจิตวิญญาณบนง่ามกระดูกทั้งสองเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง หลังจากเอามันมาตั้งตัดสลับกันและแยกออกจากกันอีกครั้ง เสาวารีสีฟ้ากับเปลวเพลิงสีแดงก็พุ่งออกมาพร้อมกัน

เกิดเสียงดังขึ้นกลางอากาศ “ฟู่ๆ!”

พริบตาเดียว เปลวเพลิงก็หมุนรอบเสาวารีแล้วกลายเป็นสีแดงฟ้า

หลิ่วหมิงเอามือทั้งสองถูกัน มังกรหมอกดำกลางอากาศรวมตัวเป็นหนึ่งในทันที และกลายเป็นมังกรยักษ์สีดำตัวหนึ่งที่ยาวสิบกว่าจั้ง จากนั้นก็แยกเขี้ยวยิงฟันพุ่งเข้าหาเสาอัคคีวารีสองสี

เกิดเสียงดังขึ้นมา!

เปลวเพลิงสีแดงกับคลื่นวารีสีฟ้าม้วนตัวออกไปทั่วทิศ และต่อสู้กับมังกรหมอกกลางอากาศโดยไม่มีใครตกเป็นเบี้ยล่าง

พื้นที่สิบกว่าจั้งบนแท่นประลองถูกปกคลุมไปด้วยพลังสามสี ได้แก่สีฟ้า สีแดง สีดำ และมีเสียงตูมตามออกมาอย่างไม่ขาดสาย

การเคลื่อนไหวการอย่างรุนแรงเช่นนี้ ทำให้ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้บนแท่นสูงพากันมองมาโดยไม่รู้ตัว

ขณะนั้นเอง พอหลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อ จุดแสงสีทองก็มาปรากฏตัวรอบตัวชายชุดฟ้า ม่านทรายสีทองห่อหุ้มตัวเขาไว้ มันคือทรายทองคำร่วงที่หลิ่วหมิงปล่อยออกมาโดยที่ฝ่ายตรงข้ามไม่รู้ตัวนั่นเอง

จากนั้นหลิ่วหมิงก็เปลี่ยนท่ามือไม่หยุด ทรายทองคำหมุนวนอย่างรวดเร็ว หนามแหลมสีทองยื่นออกมาภายในม่านทราย และทิ่มแทงใส่ชายชุดฟ้า

ภายใต้สถานการณ์ที่ชายชุดฟ้าไม่ทันได้ระวัง จึงได้แต่พยายามกระตุ้นง่ามกระดูกในมือ จากนั้นมันก็กลายเป็นกำแพงอัคคีกับกำแพงวารีช่วยต้านทานไว้

แม้ว่ากระดูกอัคคีวารีคู่นี้จะมีอานุภาพมาก แต่เห็นได้ชัดว่ามันไม่เชี่ยวชาญในการต่อสู้ระยะประชิด เมื่อเผชิญหน้ากับม่านทรายทองคำที่แข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบมิได้ เห็นได้ชัดว่าการป้องกันเช่นนี้สิ้นเปลืองพลังเวทมาก และไม่อาจยืนหยัดได้นาน

ชายชุดฟ้าส่งเสียงคำรามออกมา ง่ามกระดูกในมือถูกนำมาไขว้กันทันที และกลายเป็นบุปผาแสงสีแดงฟ้าสองดอก จากนั้นค่อยๆ บานออกไปรอบด้าน

ม่านทรายสีทองที่หมุนวนรอบตัวเขาไม่หยุด ถูกแสงบุปผาทั้งสองดันออกมา

แต่จะเห็นว่ามีเส้นเอ็นปูดโปนบนหน้าผากของชายชุดฟ้า มีเหงื่อออกเต็มศีรษะ ประจักษ์ชัดว่าวิชานี้ก็เป็นท่าไม้ตายของเขาเช่นกัน

ขณะนี้ หลิ่วหมิงกลับคว้ามือทั้งสองไปกลางอากาศ มีมุกกลมๆ อยู่ในฝ่ามือสองเม็ด หลังจากเอามาถูกันจนรวมเป็นหนึ่งแล้ว ก็โยนออกไปกลางอากาศทันที

“ฟู่!”

เงาภูเขาเล็กๆ สีเหลืองที่สูงเจ็ดแปดจั้งปรากฏตัวด้านบนอากาศเหนือร่างของชายชุดฟ้า และกดทับลงมา

เดิมทีบุปผายักษ์ที่ดันม่านแสงสีทองอยู่ก็สิ้นเปลืองพลังมากแล้ว พอถูกเงาภูเขาลูกเล็กๆ กดลงมาเช่นนี้ มันก็ระเบิดตัวออกมาราวกับเป็นฟางเส้นสุดท้าย

หลังจากมีเสียงอู้อี้ดังขึ้น คลื่นสีฟ้าแดงก็ม้วนตัวออกไปทั่วทิศ……

พอหลิ่วหมิงกวาดจิตออกไปดู และหยุดทำท่ามือ ทรายทองคำร่วงที่อยู่ไกลๆ ก็หมุนตัวติ้วๆ กลางอากาศ และกลายเป็นแสงสีทองม้วนตัวเข้าไปในแขนเสื้อของเขา

เงาภูเขาสีเหลืองก็กลับมาเป็นมุกสีดำเช่นเดิม และพุ่งเข้ามาหาเขา

หลังจากหลิ่วหมิงเก็บอาวุธจิตวิญญาณทั้งสองชิ้น และคลื่นพลังทั้งหมดแล้ว ร่างของชายหนุ่มชุดฟ้าก็ปรากฏออกมา

ขณะนี้ เสื้อผ้าของเขาขาดรุ่งริ่ง มีบาดแผลขนาดต่างๆ เต็มตัว ง่ามกระดูกบนมือทั้งสองก็ดับแสงลง ดูกระเซอะกระเซิงเป็นอย่างมาก

“ข้า……ยอมแพ้” ชายชุดฟ้ามองหลิ่วหมิงตรงหน้าที่ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ และได้แต่กล่าวออกมาด้วยความไม่พอใจ

“ออมมือแล้ว” หลิ่วหมิงประสานมือคารวะ จากนั้นก็กระพริบหายไปจากแท่นประลอง และเดินออกไปไกลๆ โดยไม่กล่าวอะไรออกมา

การที่หลิ่วหมิงเอาชนะคู่ต่อสู้สิบอันดับแรกในการประลองใหญ่ครั้งก่อนได้ ย่อมทำให้ศิษย์ที่ชมการต่อสู้อยู่เกิดความฮือฮาขึ้นมาอีกครั้ง

และศิษย์คนอื่นๆ ที่ผ่านเข้ารอบโดยไม่ต้องต่อสู้ ต่างก็ไม่มีใครกล้าท้าสู้กับเขา จึงได้แต่เลือกคนอื่นๆ เท่านั้น

หลิ่วหมิงก็ไปหาที่สงบๆ รอการต่อสู้รอบแรกสิ้นสุดอย่างเงียบๆ

แต่หลังจากมองออกไปครู่หนึ่ง สายตาของเขาก็ตกลงบนแท่นประลองที่เก้าอีกครั้ง

ผู้ที่กำลังต่อสู้อย่างดุเดือดบนแท่นประลองนี้ก็คือจั้งเสวียนชายหนุ่มเนตรอินทนิลนั่นเอง ประจักษ์ชัดว่าการต่อสู้ในช่วงสำคัญของร้อยอันดับแรก ในที่สุดก็ได้พบกับศัตรูที่แข็งแกร่ง

คู่ต่อสู้ของเขาเป็นชายรูปร่างอวบ อาวุธจิตวิญญาณของคนผู้นี้เป็นตราประทับสีดำ มันสามารถขยายขนาดใหญ่เล็กได้ตามใจ ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงดังหวึ่งๆ ออกมา

หลิ่วหมิงรู้สึกคุ้นเคยกับคนผู้นี้เล็กน้อย ตอนงานประลองรอบแรกเพิ่งเริ่มต้น คนผู้นี้ก็กัดแทะขนมอบราวกับไม่มีใครอยู่ตรงนั้น ทำให้สายตาจำนวนมากมองไปที่เขาด้วยความประหลาดใจ

ขณะนี้ จั้งเสวียนกำลังกระตุ้นกระบี่ยาวสีเหลืองด้วยสีหน้าเคร่งขรึม พอฟันมันลงมา ปราณกระบี่สีเหลืองจำนวนมากก็พุ่งยิงออกไปด้วยเสียงอันดัง อานุภาพของมันน่าตกใจเป็นอย่างมาก

เห็นได้ชัดว่า หลังจากชายหนุ่มสายเลือดเนตรอินทนิลผู้นี้เข้าสู่ระดับของเหลวขั้นปลายแล้ว พลังของเขาก็เพิ่มขึ้นเป็นทวีเช่นกัน

แต่ทว่าพอเผชิญหน้ากับปราณกระบี่ที่ทะลักเข้ามาราวกับสายน้ำ ชายร่างอ้วนกลับปล่อยพลังออกไปด้วยสีหน้าสงบ และกระตุ้นตราประทับเหนือศีรษะให้พ่นแสงสีดำที่ดูคล้ายกับม่านวารีออกมาต้านทานไว้ตรงหน้า

พอปราณกระบี่สีเหลืองจำนวนมากโจมตีลงบนม่านแสง ก็มีเสียงดังราวกับฝนตก จากนั้นม่านแสงสีดำก็ดีดปราณกระบี่เหล่านี้จนกระเด็นออกไปอย่างง่ายดาย

“พี่อู่ ท่านป้องกันอย่างเดียวไม่ทำการโจมตีเช่นนี้ กำลังดูถูกข้าอยู่หรือ?” จั้งเสวียนเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วถาม

ชายร่างอ้วนได้ยินก็ยิ้มเล็กน้อย และไม่ตอบคำถามอะไรออกมา

จั้งเสวียนมีแววตาเคร่งขรึมขึ้นมาทันที ใบหน้าของเขาแสดงอาการโมโหออกมา พอกระตุ้นท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง กระบี่ยาวสีเหลืองบนมือก็เปล่งแสงออกมา และพอชี้นิ้วออกไป ปราณกระบี่สีเหลืองที่กว้างหนึ่งจั้งกว่าๆ ก็พุ่งยิงออกมา จากนั้นก็อ้าปากพ่นแสงสีม่วงหกลำให้ตามติดปราณกระบี่ไป

หลิ่งหมิงจำสิ่งที่จั้งเสวียนนำออกมาได้ มันคือชุดมีดบินสีม่วงที่ได้รับความเสียหายจากการต่อสู้กับราชาอัคคีจิตวิญญาณในแดนอบอ้าวในตอนนั้น ดูท่าตอนนี้จั้งเสวียนคงจะฟื้นฟูมันได้แล้ว

ครู่ต่อมา สายรุ้งยาวสีเหลืองกระพริบมาตรงหน้าชายร่างอวบ พอมีเสียงดัง “ตู๊ม!” ก็เกิดรอยร้าวเส้นหนึ่งบนม่านแสงสีดำ และแสงสีม่วงทั้งหกที่ตามติดเข้ามา ก็แทงทะลุม่านแสงไปหาชายร่างอวบ

“ขึ้น!”

ชายหนุ่มร่างอวบเห็นเช่นนี้ ก็คำรามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม มือทั้งสองทำท่ามืออยู่ครู่หนึ่ง ตราประทับสีดำเหนือศีรษะพร่ามัวหายไปในฉับพลัน ครู่ต่อมาก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม ภายใต้การเปล่งประกายของม่านแสงสีดำ ทำให้แสงสีม่วงทั้งหกกระเด็นกลับไปหาจั้งเสวียน

จั้งเสวียนทำท่ามือด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ดวงตาสีม่วงทั้งสองเป็นประกาย แสงสีม่วงทั้งหกดับลง และกลายเป็นมีดบินสีม่วงพุ่งเข้าไปในปากเขาอีกครั้ง

ตราประทับสีดำตรงหน้าชายร่างอวบกลับขยายใหญ่หลายเท่า จนมีขนาดใหญ่ราวกับบ้านหลังหนึ่ง และดันเข้าหาจั้งเสวียนราวกับเป็นกำแพงยักษ์ ทำให้เขาไม่อาจหลบหลีกได้

จั้งเสวียนรู้สึกใจเย็นสะท้าน กระบี่ยาวสีเหลืองหลุดจากมือกลายเป็นกระบี่ยักษ์สีเหลืองเล่มหนึ่ง และฟันลงบนตราประทับอย่างรุนแรง

พอแสงสีดำเปล่งประกาย กระบี่ยักษ์สีเหลืองก็ถูกดีดกระเด็นไปในพริบตา ตราประทับสีดำเปล่งแสงแวววาว และกดดันมาพร้อมกับน้ำหนักมหาศาล

จั้งเสวียนมีสีหน้าซีดขาวอยู่ครู่หนึ่ง มือทั้งคู่ทำท่ามือติดต่อกันอย่างรวดเร็ว ดวงตาสีม่วงทั้งคู่เป็นประกาย พริบตานั้นม่านแสงสีม่วงจางๆ ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า

………………………………

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset