ตราประทับสีดำถูกแสงสีม่วงต้านทานไว้ ทันใดนั้นมันก็หยุดชะงักในพริบตา
ขณะนั้นเอง ชายร่างอวบก็ตะโกนและผลักมือทั้งสองออกไปด้านหน้าอย่างรุนแรง
จั้งเสวียนหน้าแดงขึ้นมาทันที เขาไม่อาจยืนหยัดต่อไปได้อีก จึงกระเด็นออกไปสิบกว่าจั้ง และตกลงนอกแท่นประลอง
“ออมมือแล้ว!” ชายร่างอวบโบกมือปล่อยพลังออกไป ตราประทับสีดำหดตัวลงเป็นตราขนาดเล็ก และพุ่งกลับเข้าไปในมือเขา
“อู่หมิงจากสาขาเสวียนจีชนะ!” ศิษย์ดำเนินการที่อยู่ใต้แท่นประลองประกาศออกมาทันที
จั้งเสวียนเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าดูไม่ได้ขึ้นมา เขารู้ดีว่าพลังของตนเองสู้ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ จึงพลิกตัวขึ้นแล้วเดินจากไปโดยไม่กล่าวอะไรออกมา
ขณะเดียวกัน ศิษย์ที่ชมการต่อสู้อยู่บริเวณรอบๆ ก็วิพากษ์วิจารณ์การต่อสู้เมื่อครู่ด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“อู่หมิง……” หลิ่วหมิงมองดูชายร่างอวบบนแท่นประลองด้วยตาที่เป็นประกาย คนผู้นี้มีพลังเหนือกว่าที่เขาคาดหมายเล็กน้อย โดยเฉพาะตราประทับที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้หลายรูปแบบ มันจะต้องไม่ใช่อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดโดยทั่วไปอย่างแน่นอน ตอนต่อสู้บนแท่นประลองยิ่งได้เปรียบไม่น้อย
หัวหน้าสาขาทั้งแปดที่อยู่บนแท่นสูง ก็มองดูการต่อสู้เมื่อครู่นี้
เมื่อการประลองรอบแรกดำเนินการมาถึงจุดนี้ ผู้ที่ขึ้นแท่นประลองย่อมเป็นศิษย์แกนนำของแต่ละสาขา ดังนั้นหัวหน้าสาขาเหล่านี้ย่อมให้ความสนใจขึ้นมา
“ศิษย์น้องเฉา สาขาเสวียนจีของพวกเจ้ามีต้นกล้าดีจริงๆ ก่อนหน้านั้นข้าไม่เคยได้ยินชื่อศิษย์ที่ชื่ออู่หมิงผู้นี้มาก่อน คิดว่าคงเป็นศิษย์ที่เข้ามาใหม่สินะ” ผู้อาวุโสคิ้วเหลืองของสาขาวายุทะยานฟ้าเอามือฟั่นหนวดกล่าวกับหญิงงดงามที่อยู่ด้านข้าง
“ศิษย์พี่เฉินชมเกินไปแล้ว อู่หมิงผู้นี้ยังต้องผ่านการฝึกฝนอีกมาก” หญิงงดงามกล่าวอย่างนอบน้อม แต่นางย่อมแสดงสีหน้าชื่นอกชื่นใจออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย
“อู่หมิงก็แค่พึ่งพาอาวุธจิตวิญญาณในมือเท่านั้น ถึงได้เปรียบในการต่อสู้บนแท่นประลองแคบๆ เช่นนี้ หากเป็นการต่อสู้จริงล่ะก็ ฮึ! มันก็ไม่แน่!” ชายอ้วนเตี้ยที่เป็นผู้ดำเนินงานประลองหัวเราะแล้วกล่าวออกมา
ศิษย์ที่เขาฝากความหวังไว้ เพิ่งจะพ่ายแพ้ให้กับศิษย์ที่มีแผลเป็นบนใบหน้าในเขตประลองที่สอง ซึ่งเป็นศิษย์ในสังกัดของหญิงงดงาม เขาจึงหงุดหงิดจนเอ่ยปากแทรกอย่างอดไม่ได้
“พูดเช่นนี้ เจ้าคิดว่าศิษย์ของข้าชนะอย่างไม่สมเกียรติงั้นหรือ ไม่รู้ว่าศิษย์สาขาเจ้ามีคนไหนบ้างที่ชนะอย่างสง่าผ่าเผย” หญิงงดงามได้ยินกลับกล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น
“เจ้า……” ชายอ้วนเตี้ยหน้าแดงขึ้นมา ประจักษ์ชัดว่าถูกสะกิดบาดแผลเข้าอย่างแรง
ในการประลองรอบแรก ศิษย์สาขาเขาแพ้มากกว่าชนะ แม้แต่ศิษย์เก่าหลายคนที่ทำผลงานดีในงานประลองใหญ่ครั้งก่อน ก็ต้องเผชิญกับศัตรูแข็งแกร่งจนพากันตกรอบไป เขาจึงหาคำพูดตอบโต้ไม่ได้ไปชั่วขณะหนึ่ง
ในขณะเดียวกัน เจียงจ้งกลับยืนยิ้มอยู่คนเดียวโดยไม่กล่าวอะไรออกมา
สำหรับตอนนี้แล้ว การแสดงออกของหลิ่วหมิงจากสาขาห่านฟ้ามีผลการต่อสู้ที่ไม่เลว
ยังไม่ต้องพูดถึงศิษย์เก่าหลายคนที่ตั้งความหวังเอาไว้ตั้งแต่แรก ซึ่งตอนนี้ทะลุร้อยอันดับแรกแล้ว แม้แต่หลิ่วหมิงที่โดดเด่นในช่วงนี้ก็บุกมาถึงรอบก่อนชิงชนะได้ นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีที่คาดไม่ถึงเป็นอย่างยิ่ง
แน่นอน จั้งเสวียนที่หมายตาไว้กลับเผชิญกับศัตรูแข็งแกร่ง จึงต้องหลุดออกจากร้อยอันดับแรกไป เขาย่อมรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
…….
ขณะที่การต่อสู้รอบสุดท้ายบนแท่นประลองสิ้นสุดลง เขตประลองที่เก้าก็คัดศิษย์จำนวนสิบคนที่จะเข้าต่อสู้ในรอบก่อนชิงชนะได้
ตั้งแต่หลิ่วหมิงเอาชนะชายหนุ่มชุดฟ้าที่ถูกจัดอยู่ในสิบอันดับแรกของงานประลองในครั้งก่อนได้ เขาก็ไม่ได้รับการท้าสู้จากคนอื่นๆ อีก ตอนนี้ย่อมเข้าสู่ร้อยอันดับแรกอย่างราบรื่น
และก่อนรอบการชิงชนะ เขาก็จะไม่มีการต่อสู้เป็นการชั่วคราว หลังจากครุ่นคิดอย่างรวดเร็วแล้ว จึงเดินดูแท่นประลองอื่นๆ ทันที
“ยินดีที่ศิษย์น้องหลิ่วเข้าสู่ร้อยอันดับแรกแล้ว” หลิ่วหมิงเพิ่งจะเดินมาถึงบริเวณแท่นประลองที่ห้า เยี่ยนหมิงกับเสวี่ยอวิ๋นที่เดินเข้ามา ก็ประสานมือกล่าวแสดงความยินดี
“ศิษย์พี่เยี่ยนชมเกินไปแล้ว ข้าน้อยก็แค่โชคดีเท่านั้น” หลิ่วหมิงยิ้มและกล่าวอย่างนอบน้อม
“คิดว่าตอนนี้ศิษย์น้องหลิ่วคงจะดูการต่อสู้ของเขตประลองอื่นสินะ สองวันมานี้พวกข้าได้เห็นศิษย์สายนอกที่มีพลังมาไม่น้อย จึงพอที่จะแนะนำให้ศิษย์น้องได้บ้าง” ทั้งสามพูดคุยกันอีกสองสามประโยค จากนั้นเยี่ยนหมิงก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาในฉับพลัน
แม้พวกเยี่ยนหมิงทั้งสองจะมีพลังไม่เลว แต่การเผชิญกับผู้แข็งแกร่งในงานประลองใหญ่ของนิกายเช่นนี้กลับไม่โดดเด่นพอ ย่อมถูกโจมตีจนพ่ายแพ้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ก็ด้วยเหตุนี้จึงมีเวลาไม่น้อยในการไปดูการต่อสู้บนแท่นประลองอื่นๆ
“ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ต้องรบกวนศิษย์พี่เยี่ยนแล้ว” หลิ่วหมิงก็ต้องการเช่นนี้พอดีจึงไม่ได้บอกปัดแต่อย่างใด
ต่อมา หลิ่วหมิงเดินดูการต่อสู้บริเวณรอบๆ พร้อมกับเยี่ยนหมิงและเสวี่ยอวิ๋น ขณะเดียวกัน ก็ฟังทั้งสองเล่าถึงผู้มีพลังแข็งแกร่งที่เพิ่งมาปรากฏตัวในงานประลองใหญ่ครั้งนี้ ทำให้เขาได้รับข้อมูลมาค่อนข้างมาก
การต่อสู้ในเขตประลองทั้งสิบ นอกจากเขตที่เก้ากับเขตที่เจ็ดที่คัดเลือกสิบอันดับแรกเสร็จแล้ว เขตประลองอื่นๆ ก็เข้าสู่ขั้นดุเดือดเช่นกัน
ศิษย์เก่าที่เคยโดดเด่นในงานประลองใหญ่ครั้งก่อน ขณะนี้ก็เริ่มแสดงพลังที่แท้จริงออกมา
จะเห็นว่าลำแสงของวิชาต่างๆ บนแท่นประลองทั้งแปดพุ่งออกมาอย่างต่อเนื่อง เสียงร้องให้กำลังใจของผู้ชมก็ดังไม่ขาดสาย
เมื่อทั้งสามเดินมาถึงบริเวณเขตประลองที่สาม ก็มีแสงหลบหลีกจำนวนหนึ่งพุ่งเข้ามาจากขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ และกลิ่นไออันแข็งแกร่งก็ร่วงลงบนแท่นหยกสูงใหญ่
“พวกนี้ก็คือผู้ควบคุมยอดเขา และผู้อาวุโสยอดเขาต่างๆ คงเห็นว่าการคัดเลือกร้อยอันดับแรกใกล้จะเสร็จแล้ว ถึงมาสังเกตดูการต่อสู้ และเมื่อถึงช่วงเวลาช่วงชิงสิบอันดับแรก จะมีคนมามากกว่านี้อีก” เยี่ยนหมิงสังเกตเห็นสายตาของหลิ่วหมิง จึงอธิบายออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
หลิ่วหมิงได้ยินก็พยักหน้าโดยไม่กล่าวอะไรออกมา งานประลองใหญ่ดำเนินมาถึงจุดนี้ ย่อมพอจะมองเห็นศิษย์ภายนอกที่มีความโดดเด่นบ้างแล้ว
บนแท่นประลองที่สาม โจวเทียนรุ่ย ชายหนุ่มชุดฟ้าจากสาขาห่านฟ้ากำลังถือน้ำเต้าสีเหลืองต่อสู้กับชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งอย่างดุเดือด
ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ผู้นั้น กำลังโบกสะบัดธงยักษ์ที่เปล่งแสงสีเขียวอย่างรุนแรง ทันใดนั้นก็มีคมวายุสีเขียวรูปจันทราครึ่งดวงม้วนตัวออกมา มันโจมตีแสงสีเหลืองตรงหน้าจนแตกกระจาย และพุ่งเข้าหาโจวเทียนรุ่ยอย่างไม่คิดจะหยุดยั้ง
โจวเทียนรุ่ยเห็นเช่นนี้กลับตบน้ำเต้าอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นดินจิตวิญญาณสีเหลืองก็พุ่งออกมาหมุนวนรอบตัวเขา พอมีเสียงดัง “แคล่กๆ!” มันก็ก่อตัวเป็นเกราะพสุธาสีเหลืองหนาๆ
ครู่ต่อมา มีเสียงโจมตีกันอย่างรุนแรง และลำแสงสีเขียวเหลืองก็เปล่งประกายอยู่ไม่หยุด
แต่ทว่าหลังจากแสงสีเขียวสลายไป เกราะบนตัวโจวเทียนรุ่ยกลับมีรอยโดนฟันแค่สิบกว่าเส้นเท่านั้น นอกจากนี้แล้วก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับความเสียหายใดๆ เลย
“คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะเป็นผู้เชี่ยวชาญการเรียกวิญญาณธาตุดินผู้หนึ่ง นับว่าพบเจอได้น้อยมาก” หลิ่วหมิงมองดูการต่อสู้บนแท่นประลองแล้วกล่าวออกมา
“ไม่เพียงแต่เท่านี้ น้ำเต้าบนมือของศิษย์พี่โจวยังเป็นอาวุธจิตวิญญาณธาตุดินระดับสุดยอดด้วย ดูท่าฝ่ายตรงข้ามคงต้องเจอกับความยุ่งยากเข้าแล้ว” เยี่ยนหมิงได้ยินก็หัวเราะแล้วกล่าวออกมา
ระหว่างที่ทำการสนทนากันนั้น ร่างของโจวเทียนรุ่ยก็โจมตีคมวายุสีเขียวจนแตกกระจายอีกครั้ง จากนั้นก็เทน้ำเต้าสีเหลืองในมือลง ทำให้มีแสงสีเหลืองพุ่งออกมา คิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นมุกกลมๆ สิบกว่าเม็ดที่มีขนาดเท่านิ้วมือ
แค่พอมุกสีเหลืองเหล่านี้ร่วงลงบนแท่นประลอง มันก็เปล่งประกายกลายเป็นหุ่นนักรบสีเหลือง
พอมองออกไป หุ่นนักรบแต่ละตัวต่างก็สวมชุดเกราะพสุธาแบบเดียวกับโจวเทียนรุ่ยไม่มีผิด ในมือถือดาบที่ยาวครึ่งจั้ง ภายใต้การยกแขนข้างหนึ่งของโจวเทียนรุ่ย พวกมันก็พุ่งไปหาชายรูปร่างสูงใหญ่อย่างดุเดือด
พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ก็มีสีหน้าเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก ดวงตาของเขาเผยแววเฉียบขาดออกมา พลังเวททั้งหมดถูกส่งเข้าไปในธงยักษ์อย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็มีเสียงดังอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
“ให้ไว!”
ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ตะโกนออกมา ภายใต้การโบกสะบัดธง คมวายุขนาดหลายจั้งก็พุ่งออกมา และแทงทะลุหน้าอกหุ่นนักรบห้าหกตัวก่อนที่จะสลายไป
“ตู้ม!” “ตู้ม!”
หุ่นนักรบห้าหกตัวล้มลงพื้นทันที จากนั้นร่างของมันก็กลายเป็นดินจิตวิญญาณสีเหลือง
ขณะนี้ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่มีสีหน้าซีดขาวเป็นอย่างมาก ประจักษ์ชัดว่าคมวายุยักษ์นี้ ก็ทำให้สิ้นเปลืองพลังเวทไม่น้อย แต่ว่าผลลัพธ์ของมันก็ทำให้เขารู้สึกปลื้มปิติอยู่บ้าง
แต่ทว่าครู่ต่อมา ขณะที่เขาจะโบกสะบัดธงค่ายกลอย่างบ้าคลั่งเพื่อใช้คมวายุโจมตีหุ่นนักรบตัวที่เหลือทางด้านขวานั้น ใบหน้าปลื้มปีติของเขาก็ต้องหยุดชะงักไปในพริบตา
มีแสงสีเหลืองเปล่งประกายบนกองดินจิตวิญญาณทางด้านซ้าย จากนั้นมันก็ก่อตัวเป็นหุ่นนักรบ และเข้ามาบุกโจมตีอีกครั้ง
และดูเหมือนว่าจะไม่มีบาดแผลใดๆ บนร่างของมันเลยแม้แต่น้อย
ในขณะเดียวกัน โจวเทียนรุ่ยที่อยู่ด้านหลังกลับยิ้มมุมปาก จากนั้นก็ตบน้ำเต้าสีเหลืองด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
ชายรูปร่างสูงใหญ่เห็นเช่นนี้กลับมีสีหน้าดูไม่ได้อย่างถึงขีดสุด แต่ทว่าภายใต้การพุ่งเข้ามาของหุ่นนักรบจำนวนมาก เขาก็ได้แต่โบกสะบัดธงในมือติดต่อกันเพื่อปล่อยคมวายุออกมา
แต่ดูเหมือนว่าหุ่นนักรบเหล่านี้จะฆ่าไม่ตาย เวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งถ้วยชา ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ก็หมดพลังเวทไปกว่าครึ่งหนึ่ง และค่อยๆ ถูกบีบไปยังมุมหนึ่งของแท่นประลอง
ขณะนั้นเอง โจวเทียนรุ่ยที่อยู่ไม่ไกลกลับทำเสียงฮึดฮัดอย่างเยือกเย็น จากนั้นก็ปล่อยแสงสีเหลืองลงบนตัวหุ่นนักรบทั้งหมด
ดาบบนมือหุ่นนักรบเหล่านี้ฟันออกไปพร้อมกันอย่างรุนแรง แสงดาบจำนวนมากกระพริบออกไป และประสานกันไปมาจนกลายเป็นแสงดาบยักษ์ที่มีขนาดเกือบเจ็ดแปดจั้ง จากนั้นก็พุ่งเข้าหาชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่อย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่เห็นเช่นนี้ ก็กระทืบเท้าทั้งคู่ลงพื้นด้วยความตกใจ จากนั้นร่างของเขาก็ถอยออกไปจากแท่นประลอง
ครู่ต่อมา มีเสียงดังก้องจนหูแทบหนวก “ตู้ม!”
แสงดาบยักษ์โจมตีลงบนชั้นกำจัดป้องกันของแท่นประลอง ทำให้มีแสงเปล่งประกายอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากสั่นสะท้านสองสามทีแล้ว ก็ฟื้นคืนสู่สภาพปกติ
ประจักษ์ชัดว่าม่านป้องกันนี้ไม่ได้กีดกั้นให้คนออกไป แต่มีผลในการต้านทานการโจมตีต่างๆ ของคนที่อยู่ในนั้นได้
“โจวเทียนรุ่ยชนะ!”
เมื่อศิษย์ดำเนินการส่งเสียงออกมา พวกหลิ่วหมิงทั้งสามก็มาถึงบริเวณแท่นประลองที่สองแล้ว
บนแท่นประลองในขณะนี้ หญิงสาวที่มีแผลเป็นบนใบหน้ากำลังอาศัยกรงเล็บบินสีเงินในมือคู่หนึ่งคว้าไปคว้ามาราวกับเป็นสายฟ้าสีเงิน เพื่อทำการต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามอย่างอุตลุต
………………………………