ขณะนั้นเอง ท่ามกลางพายุบ้าระห่ำ กลิ่นไอของปีศาจอสูรทั้งสี่ก็เพิ่มขึ้นมา
“ตู้ม!”
พายุบ้าระห่ำถูกเงาภูเขาเล็กๆ กดทับจนแตกกระจาย แต่กลับถูกไอหมอกสีเทาที่พวยพุ่งอยู่ด้านล่างต้านทานไว้
หลิ่วหมิงกัดปลายลิ้นพ่นลูกธนูโลหิตออกมาในทันที จากนั้นมันก็จมหายไปในเงาภูเขาลูกเล็กๆ
ลวดลายจิตวิญญาณบนพื้นผิวเงาภูเขาสีเหลืองเปล่งประกายในทันที และส่งเสียงดังโครมคราม หลังจากมันทิ้งน้ำหนักตัวลง ไอหมอกที่อยู่ด้านล่างก็ถูกกดดันจนต้องร่นถอยเป็นระยะๆ
ขณะนั้นเอง แสงเย็นสะท้านสีขาวก็พวยพุ่งออกจากไอหมอกที่อยู่ด้านล่าง พริบตาเดียวก็มีน้ำค้างแข็งเกาะตัวตรงส่วนร่างของเงาภูเขา
จากนั้นมีเสียงดังจนหูแทบจะหนวกดังมาจากด้านล่าง พอเกิดเสียงดัง “โพล๊ะ!” เงาภูเขาเล็กๆ ก็พังทลายลงมา
แรงกดดันจิตวิญญาณครึ่งหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้า อสูรครึ่งพยัคฆ์ครึ่งสิงโตขนาดใหญ่กระโดดออกจากไอหมอกที่อยู่ด้านล่าง
หลิ่วหมิงพุ่งถอยออกไปด้วยความตกใจ พอโบกมือข้างหนึ่ง มุกพลังวารีที่กลับคืนสภาพเดิมก็กลับมาอยู่ในมือ และกระพริบหายไปอย่างไร้ร่องรอย
และเขาก็สังเกตดูปีศาจอสูรยักษ์ที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้นมาใหม่อย่างละเอียด
อสูรตัวนี้สูงราวๆ สามสี่จั้ง ยาวห้าหกจั้ง มีลวดลายจิตวิญญาณสีแดง ขาว ฟ้า และทองปกคลุมอยู่เต็มตัว จะว่าใบหน้าของมันดูคล้ายสิงโตก็ไม่ใช่ กลางหัวของมันมีอักขระสีดำคำว่า “ราชา” ติดอยู่ ดูคล้ายกับชายหนุ่มเผ่าปีศาจที่เขาพบเจอในวังมายานภาหยก และแรงกดดันที่แผ่ออกจากตัวมัน ก็ดูร้ายกาจกว่าม้ายักษ์เขาเดี่ยวที่หลิ่วหมิงพบเจอในวังมายานภาหยกสองสามส่วน ดูเหมือนว่าพอที่จะเทียบกับระดับแก่นเสมือนได้แล้ว
มีปีศาจอสูรระดับแก่นเสมือนหนึ่งตัวประจำอยู่บนชั้นสามสิบหก มิน่าล่ะหลายปีมานี้ถึงมีศิษย์สายนอกผ่านด่านนี้ได้น้อยมาก
เพราะศิษย์สายนอกที่มาถึงที่นี่ จักต้องไม่ใช่ผู้ที่มีพลังเวทเต็มเปี่ยม ประกอบกับพลังของระดับของเหลวขั้นสมบูรณ์แบบแตกต่างกับระดับแก่นเสมือนมากเกินไป และข้อจำกัดต่างๆ ที่มีในเจดีย์ซวีหลิง ทำให้ไม่อาจใช้อสูรเลี้ยงคอยช่วยได้ ย่อมเป็นไปได้ยากที่จะบุกชั้นนี้ได้สำเร็จ
ภายใต้การกระตุ้นจิตของหลิ่วหมิง โล่เก้ากะโหลกก็พุ่งออกจากระหว่างคิ้ว พอมันหมุนตัวติ้วๆ แล้ว ก็ร่วงลงในมือของเขา
ขณะที่นำโล่เก้ากะโหลกออกมานั้น อสูรยักษ์ตรงหน้าก็คำรามออกมา ภายใต้การยกกรงเล็บอันแหลมคมทั้งสอง ร่างของมันก็ค่อยๆ พร่ามัวกลายเป็นเงาพุ่งเข้ามาเป็นจำนวนมาก ซึ่งดูคล้ายกับเคล็ดวิชาเงาสามส่วนของหลิ่วหมิงเล็กน้อย
มือข้างของหลิ่วหมิงเอาโล่มาตั้งขวางไว้ตรงหน้า ส่วนอีกข้างก็กระตุ้นท่ามือ มีไอดำพวยพุ่งตรงด้านหลัง จากนั้นก็กลายเป็นพยัคฆ์หมอกสีดำตัวหนึ่งที่ยาวสองจั้ง และพุ่งขึ้นไปพร้อมเสียงคำราม
“ฟู่!”
พอพยัคฆ์หมอกดำปรากฏตัว ก็ถูกกรงเล็บของอสูรยักษ์โจมตีจนแตกกระจาย และกลายเป็นหมอกดำก่อนสลายไป
หลิ่วหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา เขาโยนโล่กระดูกไปด้านหน้า มือทั้งสองทำท่ามืออย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็มีเสียงมังกรร้องดังออกมา มังกรหมอกดำสองตัวพุ่งออกจากร่างของเขา หลังจากประสานกันไปมาและหมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบแล้ว ก็กลายเป็นมังกรหมอกยักษ์ที่มีขนาดใหญ่สิบกว่าจั้งตัวหนึ่ง
มังกรนี้ดูราวกับมีชีวิต ดวงตาทั้งคู่เปล่งแสงแวววาวอยู่ไม่หยุด ดูเหมือนกรงเล็บสีดำทั้งคู่จะมีอานุภาพน่าตกใจเป็นอย่างมาก
สิ่งนี้เป็นผลลัพธ์ที่หลิ่วหมิงฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬขั้นที่สามสำเร็จ
แม้จะบอกว่าเขาไม่อาจเข้าไปฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬขั้นที่สามจนสมบูรณ์แบบในถ้ำวายุสวรรค์ได้ แต่ช่วงระยะเวลาห้าปีมานี้ เขาก็ทำความเข้าใจเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬขั้นที่สามมาได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว อานุภาพของมังกรหมอกก็เหนือชั้นกว่าก่อนหน้านั้นมาก
พอมังกรยักษ์ปรากฏตัว มันก็อ้าปากพ่นลำแสงสีดำขนาดเท่าปากถ้วยออกมา
ปีศาจอสูรสิงโตพยัคฆ์ดวงตาเป็นประกาย พอมันอ้าปากขนาดใหญ่ ก็พ่นเสาเพลิงสีแสงออกมาเช่นกัน
“ตู้ม!”
เปลวเพลิงอันคุโชนปะทะกับลำแสงสีดำจนดูยุ่งเหยิง แต่พริบตาเดียวลำแสงสีดำก็ถูกกดดันจนแตกสลายไป
หลิ่วหมิงถอนหายใจเบาๆ พอตะคอกเสียงต่ำออกมา ชุดคลุมสีเขียวบนตัวก็พองตัวขึ้น พลังเวททั่วร่างทะลักออกมาติดต่อกัน ภายใต้การพวยพุ่งอย่างรุนแรงของไอดำที่อยู่รอบตัว มันก็ค่อยๆ จมเข้าไปในร่างของมังกรดำ
ภายใต้การแยกเขี้ยวยิงฟันของมังกรยักษ์ ลำแสงสีดำที่มันพ่นออกมาก็มีขนาดใหญ่กว่าเดิมเล็กน้อย ทันใดนั้นแรงกดดันของเปลวเพลิงสีแดงก็หยุดชะงักลง และความเร็วในการพังทลายก็ลดช้าลง
ดูเหมือนว่าอสูรตัวนี้จะรับรู้ได้ถึงพลังของลำแสงสีดำที่เพิ่มขึ้นมา ดวงตาดุร้ายของมันเป็นประกาย ลวดลายจิตวิญญาณสีฟ้าบนตัวสว่างขึ้นมาทันที คลื่นอัคคีขนาดใหญ่สลายตัวกลางอากาศ และถูกแทนที่ด้วยไอเย็นสะท้านที่ปกคลุมเต็มฟ้า
หลิ่วหมิงรู้สึกถึงพลังของอากาศเย็นที่แฝงอยู่ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที ทันใดนั้นก็พุ่งถอยออกไปพร้อมกับโล่กระดูก
ลำแสงสีดำถูกไอเย็นสะท้านสีฟ้าม้วนตัวผ่านไป ทันใดนั้น มันก็กลายเป็นเสาน้ำแข็งแวววาวสีดำฟ้า แม้กระทั่งมังกรหมอกยักษ์ที่อยู่ด้านหลังก็ถูกเกาะจนกลายเป็นน้ำแข็ง และพื้นบริเวณนั้นก็มีน้ำค้างแข็งสีฟ้าปรากฏออกมา
เกิดเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น!
ปีศาจอสูรสิงโตพยัคฆ์อ้าปากพ่นสายฟ้าสีทองโจมตีก้อนน้ำแข็งตรงหน้าจนแตกกระจาย
พอหลิ่วหมิงที่เพิ่งถอยออกไปสิบกว่าจั้งเห็นเช่นนี้ จิตใจของเขาก็ดิ่งร่วงลงไป
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าปีศาจอสูรตัวนี้ เกิดจากการรวมร่างของปีศาจอสูรระดับของเหลวขั้นปลายทั้งสี่ตัว ทั้งยังคงคุณสมบัติทั้งสี่ประการไว้ครบ เช่นนี้แล้วพลังของปีศาจอสูรตัวนี้จึงน่ากลัวเป็นอย่างมาก
ขณะที่หลิ่วหมิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปมานั้น พลันมีเสียงดังขึ้นตรงหน้า “ฟู่ๆ!” ร่างขนาดใหญ่ของอสูรสิงโตพยัคฆ์สั่นสะท้าน จากนั้นก็มีคมวายุโปร่งแสงร้อยกว่าสายพุ่งยิงเข้ามา
หลิ่วหมิงคว้ามือข้างหนึ่งไปกลางอากาศโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง กระบี่เล็กสีเทาปรากฏออกมาทันที พอสะบัดข้อมือ แสงกระบี่สีเทาก็ม้วนตัวโจมตีคมวายุตรงหน้า
หลังจากมีเสียงดังแตกหักดังติดต่อกัน เงากระบี่กับคมวายุก็สลายไปพร้อมกัน
ดวงตาหลิ่วหมิงเปล่งแสงเย็นสะท้าน พลังเวทบนตัวพุ่งเข้าใส่กระบี่เล็กในมือ อึดใจเดียว ก็ฟันออกไปกลางอากาศสิบกว่าครั้ง
“ฟู่ๆ!” ปราณกระบี่ปรากฏออกมาเต็มฟ้า จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่ปีศาจอสูรยักษ์ตรงหน้า
ปีศาจอสูรสิงโตพยัคฆ์กระทืบเท้าทั้งสี่ทันที จากนั้นก็พุ่งผ่านแสงกระบี่ไป
หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่ลง พอสะบัดข้อมือ กระบี่เล็กสีเทาก็สั่นสะท้าน จากนั้นก็กลายเป็นสายรุ้งพุ่งขึ้นฟ้า
อสูรยักษ์ส่งเสียงคำรามออกมา หลังจากร่างของมันพร่ามัว ก็พุ่งขึ้นสูงหลายจั้ง และหลบกระบินได้พอดี
หลิ่วหมิงตรงหน้ากลับเร็วกว่าหนึ่งก้าว ปราณกระบี่สามสายกระพริบเข้ามาถึง และโจมตีโดนร่างขนาดมหึมาของอสูรยักษ์ที่พุ่งขึ้นฟ้าทันที
“ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” เกิดเสียงดังติดต่อกันสามครั้ง!
ลำตัวของของมันถูกแทงทะลุจนเป็นรูเล็กๆ สามรู
ทันใดนั้น พออสูรตัวนี้ก็คำรามด้วยความโมโห บาดแผลบนตัวก็สมานกันอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็มีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นในปาก จากนั้นสายฟ้าสีทองขนาดเท่าแขนก็ถูกพ่นออกมา และแตกตัวเป็นสายฟ้าจำนวนมากก่อนพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง
พอหลิ่วหมิงกระตุ้นเคล็ดวิชาเงาสามส่วน ร่างของเขาก็พร่ามัว ภายใต้การเคลื่อนไหวไปมา ก็หลบสายฟ้าสีทองไปได้ ขณะเดียวกัน พอสะบัดข้อมือ แสงกระบี่อันครั่นคร้ามก็ปรากฏออกมา และพุ่งยิงใส่อสูรยักษ์อีกครั้ง……
ขณะเดียวกัน ศิษย์ที่รอดูอยู่นอกเจดีย์ซวีหลิงก็ค่อยๆ มีจำนวนมากขึ้น ตอนท้ายก็มีศิษย์สายในที่อยากจะท้าสู้กับเจดีย์ซวีหลิงมาปรากฏตัวด้วย พอพวกเขาได้ยินว่ามีศิษย์สายนอกผู้หนึ่งบุกถึงชั้นที่สามสิบหกแล้ว ก็พากันตั้งหลักดูด้วยความตกใจ
เวลาในขณะนี้อยู่ห่างจากตอนที่หลิ่วหมิงเขาเจดีย์ซวีหลิงชั้นที่สามสิบหกเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามกว่าแล้ว หลงเหยียนเฟย เจียหลาน และคนอื่นๆ ต่างก็มีสีหน้าที่แตกต่างกันไป
……
ท่ามกลางเจดีย์ซวีหลิง เงาร่างพร่ามัวสองเงากระพริบไปมาอยู่ไม่หยุด บางครั้งก็มาปรากฏตรงมุมห้องโถง บางครั้งก็ไปปรากฏตรงใจกลางห้องโถง
หากมีคนอื่นๆ สังเกตดูอยู่ด้านหนึ่งของห้องโถงล่ะก็ จะรู้สึกแค่ว่าหลิ่วหมิงเคลื่อนย้ายไปมาในห้องโถงอย่างรวดเร็วเท่านั้น
แม้ว่าอสูรสิงโตพยัคฆ์จะมีรูปร่างขนาดใหญ่ แต่ภายใต้การใช้เคล็ดวิชาธาตุลมหลายชนิด มันก็กลายเป็นเงาร่างไล่ล่าหลิ่วหมิงอยู่ไม่หยุด
บริเวณที่ทั้งสองเคลื่อนตัวผ่าน มีเสียงระเบิดดังออกมา
หลิ่วหมิงต้องกระตุ้นเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬจนถึงขีดสุด ถึงพอที่จะต้านทานการโจมตีติดต่อกันของปีศาจอสูรตัวนี้ไว้ได้
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป เมื่ออสูรยักษ์ฉีกทึ้งเงาร่างที่หลิ่วหมิงสร้างขึ้นมาแล้ว ร่างเดิมของหลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวด้านหลังของมันอย่างรวดเร็ว
“ไป!”
พอหลิ่วหมิงยกมือข้างหนึ่ง โล่กระดูกสีดำก็พุ่งออกไป หลังจากขยายใหญ่ตามแรงลมแล้ว ก็กลายเป็นกลุ่มไอดำห่อหุ้มอสูรยักษ์ไว้ในนั้น ขณะเดียวกัน เสียงพิลาปร่ำไห้ก็ดังขึ้นมา และเงาโล่เก้ากะโหลกก็กระพริบอยู่ท่ามกลางไอดำ
อสูรยักษ์ติดอยู่ในมุมมืด หมอกดำปกคลุมรอบตัว ดูเหมือนว่ามันจะรับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากลเช่นกัน ทันใดนั้น ดวงตาทั้งคู่ของมันก็เปล่งประกายขึ้นมาทันที กรงเล็บแวววาวคู่หนึ่งประสานกัน คมวายุโปร่งแสงหมุนวนรอบตัวอย่างรวดเร็ว และปั่นหมอกดำรอบตัวจนพวยพุ่งไม่หยุด จนมีแนวโน้มว่าไอดำจะถูกเปิดออกมา
ขณะนั้นเอง พอหลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อ แสงสีทองเป็นจุดๆ ก็ปรากฏออกมา และกระพริบหายไปในกลุ่มไอดำ ขณะเดียวกัน เขาก็รีบหยิบโอสถจินหยวนมาทานอย่างรวดเร็ว จากนั้นร่างของเขาก็พร่ามัวหายไปในนั้นอย่างไร้ร่องรอย
คิดไม่ถึงว่าเขาจะเข้าไปในที่อันตราย เพื่อกักขังตนเองกับอสูรไว้ และทำการตัดสินแพ้ชนะไปเลย
ขณะเดียวกัน หัวกะโหลกเก้าใบในไอหมอกก็อ้าปากพ่นไอดำออกมากกว่าเดิม
เห็นได้ชัดว่าปีศาจอสูรสิงโตพยัคฆ์ก็ค้นพบความผิดปกติของหัวกะโหลกเหล่านี้แล้ว พอร่างสั่นสะท้าน คมวายุทั้งหมดก็แตกกระจายในทันที และกลายเป็นพายุบ้าระห่ำม้วนตัวไปทั่วทิศ ทั้งยังมีสายฟ้าสีทองปะปนอยู่ในนั้นอย่างรำไร
แต่ว่าท่ามกลางไอดำ เงาหัวกะโหลกทั้งเก้ากลับขยายใหญ่ขึ้น จากนั้นก็พ่นไอดำออกมาต้านทานสายฟ้าสีทองไว้ ขณะเดียวกัน ทรายทองคำร่วงที่ปะปนอยู่ท่ามกลางไอดำ ก็ทำให้พายุบ้าระห่ำเหล่านี้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
อสูรสิงโตพยัคฆ์เห็นเช่นนี้ ก็ส่งเสียงคำรามแปลกประหลาดออกมา เท้าทั้งคู่เหยียบไปด้านหลัง และกระโจนใส่หัวกะโหลกตัวหนึ่งท่ามกลางการห่อหุ้มของพายุบ้าระห่ำ แต่ยังไม่ทันกระโจนเข้ามาถึง คมวายุยักษ์จำนวนมากก็พุ่งออกจากตัวมัน!
“ฟู่!” “ฟู่!”
เงาหัวกะโหลกใบนี้อ้าปากขนาดใหญ่กลืนกินคมวายุที่พุ่งเข้ามาทั้งหมด จากนั้นก็มีเสียงดัง “เพล้ง!” และระเบิดตัวเองออกมา
อสูรสิงโตพยัคฆ์กระโจนเข้าใส่แค่ความว่างเปล่า
ขณะนั้นเอง “ฟู่!” ปราณกระบี่รูปเกลียวสายหนึ่งพุ่งออกจากไอดำตรงหน้า พริบตาเดียวก็เจาะทะลุร่างของอสูรยักษ์ไป
………………………………