ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 101 การต่อสู้อันดุเดือด (2)

ตอนที่ 101 การต่อสู้อันดุเดือด (2)

เหลยเจิ้นร่ายคาถาพร้อมกับยกแขนขึ้น ยื่นนิ้วมือนิ้วหนึ่งแตะไปยังด้านหน้า

เสียงดัง “ตู้ม!”

สายฟ้าขนาดใหญ่ผ่าลงเหนือศีรษะของซือหม่าเทียน

ซือหม่าเทียนกวัดแกว่งดาบสั้นในมือโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

เสียงดัง “ฟู่!” เมฆดำกลุ่มหนึ่งม้วนตัวขึ้นไปยังที่สูง

สายฟ้าปะทะกับเมฆดำแล้วก็หายไปพร้อมกับเสียงอันดังสนั่น

“อาวุธจิตวิญญาณ!”

ถึงแม้หลิ่วหมิงพอจะคาดเดาได้บ้าง แต่พอมาเจอกับสถานการณ์แบบนี้รูม่านตาก็หดลงอย่างช่วยไม่ได้

“ไม่ผิด! ข้าซื้อดาบเมฆามืดมาจากตลาดด้วยหินจิตวิญญาณที่ข้าสะสมมาได้ทั้งหมด และมันก็สามารถควบคุมพลังอัสนีของเจ้าได้ด้วย” ซือหม่าเทียนกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หลังจากที่พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น พลันปรากฏถุงหนังขนาดเท่าฝ่ามือใบหนึ่ง จากนั้นเมื่อเขาโยนมันออกไปในอากาศก็มีแสงสว่างม้วนตัวออกมาพร้อมกับปีศาจรูปร่างสูงใหญ่ที่มีไอสีดำล้อมรอบ

ปีศาจตนนี้หน้าตาดุร้าย เขี้ยวงอโค้งอย่างน่ากลัว สวมเกราะเหล็กหนาๆ อยู่ชิ้นหนึ่ง เล็บทั้งสิบเป็นสีดำขลับและคมเป็นอย่างมาก ทั่วทั้งร่างของมันปกคลุมไปด้วยขนสีดำแข็ง มันคือผีดิบเกราะเหล็ก

ดวงตาสีเขียวทั้งสองเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด กลิ่นไอบนตัวน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก มันเป็นถึงปีศาจระดับขุนพล

เหลยเจิ้นเห็นเช่นนี้สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป จากนั้นก็ตบไปยังถุงหนังตรงเอวอย่างไม่ลังเล

หลังจากที่แสงสีทองม้วนตัวออกมา ปีศาจวานรที่มีปีกสองข้างก็โผล่ออกมาท่ามกลางแสงนั้น มันคือปีศาจท่องราตรีระดับพลทหารที่พบเห็นได้บ่อยที่สุด!

เพียงแต่ปีศาจตนนี้มีหางเป็นสีแดงเพลิง และพอมันเห็นผีดิบเกราะเหล็กตนนั้นก็ไม่ได้แสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมา แต่กลับงอตัวยิ้มแสยะฟันใส่ผีดิบเกราะเหล็กอยู่ไม่หยุด

เหลยเจิ้นทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่งแล้วอ้าปากพ่นโลหิตไปยังปีศาจท่องราตรีตนนั้น

เสียงดัง “ฟู่!”

โลหิตระเบิดออกมาเป็นหมอกโลหิต แล้วเปลี่ยนเป็นเส้นใยโลหิตซึมเข้าไปในร่างของปีศาจท่องราตรีอย่างรวดเร็ว

ครู่ต่อมา ปีศาจตนนี้ก็แหงนหน้าส่งเสียงร้องแหลมออกมา หางสีเพลิงฟาดไปยังพื้นแท่นประลองด้านหลังอย่างรุนแรง พริบตาเดียวร่างของมันก็ขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดสูงจั้งกว่าๆ ขณะเดียวกันหลังจากที่ปลายหางแหลมพลิ้วไหวตามลมก็บังเกิดเสียงดัง “ฟู่!” จากนั้นทั่วทั้งร่างกลายเป็นเปลวไฟสีแดงคุโชนขึ้นมา

“ปีศาจท่องราตรีกลายพันธุ์!”

ซือหม่าเทียนเห็นฉากนี้ก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา แต่หลังจากทำเสียงฮึดฮัดก็ฟันดาบสั้นในมือไปยังอากาศตรงหน้า ขณะเดียวกันก็ทำท่ามือด้วยมืออีกข้างเพื่อกระตุ้นผีดิบเกราะเหล็ก

อักขระอันหนาแน่นเปล่งประกายขึ้นบนดาบสั้น ไอสีดำก็พวยพุ่งออกไปควบคุมพลังของเหลยเจิ้นไว้ แต่ก่อนที่มันจะไปถึงก็มีไอเย็นแปลกประหลาดม้วนตัวออกไปก่อน

ผีดิบเกราะเหล็กตนนี้คำรามเสียงต่ำออกมาพร้อมกับพุ่งไปยังฝ่ายตรงข้าม

เหลยเจิ้นเมินเฉยต่อผีดิบเกราะเหล็ก แต่กลับเผชิญหน้ากับเมฆดำด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หลังจากที่มือทั้งสองทำท่ามือแล้วก็ยกขึ้นพร้อมกัน

เสียงฟ้าร้องดังขึ้น!

สายฟ้าแต่ละเส้นดีดตัวทอสลับกันไปมา จากนั้นก็ขยายตัวกลายเป็นแหอัสนีไปปะทะกับเมฆดำ

เมื่อทั้งสองสิ่งสัมผัสกันก็มีเสียงดัง “ตู้ม!” สายฟ้ากับเมฆสีดำเกาะผนึกเข้าด้วยกัน จากนั้นก็มีเสียงสนั่นหวั่นไหวผสานกับแสงที่แลบออกมาอยู่ไม่หยุด

ซือหม่าเทียนมีสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมาพร้อมกับกระตุ้นดาบสั้นในมืออีกครั้ง จากนั้นเมฆดำก็ม้วนตัวกระหน่ำออกไป

เหลยเจิ้นที่อยู่ตรงข้ามทำเสียงฮึดฮัด แล้วก็เร่งร่ายคาถาโดยไม่เผยจุดอ่อนใดๆ ออกมา นิ้วทั้งสิบดีดไปยังด้านหน้าอยู่ไม่หยุด และแต่ละครั้งก็จะมีสายฟ้าผ่าลงไปด้วยเสียงอันดัง

ชั่วขณะนั้น แท่นประลองด้านหนึ่งเต็มไปด้วยเมฆดำที่พวยพุ่งราวกับอยู่ในแดนปีศาจปรโลก อีกด้านหนึ่งก็มีสายฟ้าสีเงินแลบแปลบปลาบออกมาอยู่ไม่หยุดจนดูราวกับเป็นทะเลสีเงิน

พลังของทั้งสองน่าสะพรึงเป็นอย่างมาก พริบตาเดียวทุกคนก็ตกอยู่ในภาวะชะงักงัน

ส่วนผีดิบเกราะเหล็กตนนั้น พอมันพุ่งเข้ามาได้สิบกว่าจั้งก็ถูกปีศาจท่องราตรีกลายพันธุ์กระโจนเข้าใส่ด้วยความรวดเร็วจนมันล้มลงไป จากนั้นทั้งสองก็ต่อสู้กันอย่างอุตลุต ปราณหยินสีดำกับเปลวไฟสีแดงผสมปนเปเข้าด้วยกัน และต่างก็ส่งเสียงร้องแหบแห้งกับเสียงคำรามต่ำออกมาอยู่ตลอด

พอซือหม่าเทียนเห็นว่าการโจมตีของตนเองไม่ค่อยได้ผลมากนัก แต่พลังเวทย์ภายในกลับไหลผ่านไปอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ และเขาก็รู้สึกร้อนรนใจขึ้นมา

ถึงแม้อาวุธจิตวิญญาณจะมีอานุภาพร้ายแรงมาก แต่สำหรับศิษย์จิตวิญญาณอย่างเขาแล้วพลังเวทย์อาจจะต้องรับภาระหนักไปหน่อย ถ้าหากว่าเขายังฝืนต่อไปเช่นนี้พลังเวทย์ของเขาอาจจะหมดไปก่อนได้

ดูเหมือนว่าถ้าไม่ตัดไฟตั้งแต่ต้นลมคงจะไม่ได้แล้ว

ซือหม่าเทียนคิดวกไปมาอย่างรวดเร็ว พลันกัดฟันแล้วร่ายคาถาขึ้นมา หลังจากที่สะบัดข้อมือดาบสั้นในมือก็พุ่งขึ้นไปเปล่งประกายอยู่บนฟ้าทันที เห็นได้อย่างลางๆ ว่ามีค่ายกลสีดำสามชั้นปรากฏอยู่บนดาบสั้น

ไม่คาดคิดว่าเขาจะกระตุ้นอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำที่มีชั้นจำกัดสามชั้นได้ และยังกระตุ้นอานุภาพสูงสุดของมันออกมาได้จนหมด

ซือหม่าเทียนเชื่อมจิตกับอาวุธจิตวิญญาณแล้วก็รู้สึกว่าพลังภายในร่างพรั่งพรูออกมาราวกับน้ำไหลบ่า

และดาบสั้นสีดำก็หมุนติ้วๆ แล้วค่อยๆ ฟันออกไปหาเหลยเจิ้นจากที่ไกลๆ

บังเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว!

อากาศเหนือศีรษะเหลยเจิ้นสั่นไหว พร้อมกับปรากฏเงาร่างของดาบยักษ์สีดำครึ้มขนาดยาวจั้งกว่าๆ กดทับลงมาด้านล่าง

เหลยเจิ้นแค่รู้สึกสึกว่าบรรยากาศรอบด้านอึดอัดไปหมด กลิ่นไอน่ากลัวจนรู้สึกหายใจอึดอัดได้ปิดตายเขาไว้จนสีหน้าเขาหนักอึ้ง

“ดี! ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าอานุภาพของดาบเมฆามืดนี้จะร้ายกาจสักแค่ไหน!”

หลังพูดจบ เหลยเจิ้นก็สะบัดแขนเสื้อ พลันค้อนเล็กสีเงินเจิดจ้าได้ปรากฏขึ้นในมือ ค้อนมันนี้มีขนาดยาวครึ่งฉื่อ บนหัวค้อนมีอักขระแปลกประหลาดที่ดูคล้ายกับสายฟ้าอยู่เต็มไปหมด เขาแค่กวัดแกว่งมันเบาๆ สายฟ้าแค่ละเส้นก็พุ่งออกมาอยู่ไม่หยุด และมันก็เป็นอาวุธจิตวิญญาณเช่นเดียวกัน ทั้งยังดูเหมือนจะเหนือกว่าอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำอย่างเมฆามืดด้วย

แววตาของเหลยเจิ้นเปล่งประกายความโหดเหี้ยมออกมา ทันใดนั้นสายฟ้าบนตัวก็พุ่งเข้าไปยังค้อนในมือจนหมด จากนั้นก็โยนขึ้นไปบนฟ้าอย่างรุนแรง

เสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วฟ้าและปฐพี!

มังกรอัสนีสีเงินปรากฏขึ้นมาอย่างลางเลือน มันแยกเขี้ยวยิงฟันกระโจนขึ้นไปบนอากาศโจมตีจนดาบยักษ์สีดำแตกละเอียด

และหลังจากที่ดาบสั้นสีดำส่งเสียงดังหวึ่งๆ แล้วมันก็ตกลงมาโดยที่ประกายแสงบนตัวมันได้ดับวูบไปแล้ว

เนื่องจากจิตของซือหม่าเทียนยังเชื่อมโยงกับมันอยู่ เขาก็เลยก็กระอักเลือดออกมาด้วยใบหน้าที่ซีดขาว ขณะเดียวกันพลังเวทย์ในร่างกายก็เหลืออยู่เพียงน้อยนิดจนใจเขาร่วงหล่นลงไป

และเหลยเจิ้นที่เพิ่งทำการโจมตีเสร็จกลับมีพลังเวทย์อยู่เหลือเฟือ จากนั้นเขาก็กระตุ้นอาวุธจิตวิญญาณบนอากาศอีกครั้ง มังกรอัสนีที่กลายร่างมาจากสายฟ้าก็ส่งเสียงร้องดังสนั่นออกมา และเตรียมที่จะพุ่งเข้าใส่ซือหม่าเทียน

หลังจากที่สีหน้าของซือหม่าเทียนเปลี่ยนไปมา เขาก็รีบตะโกนออกไปพร้อมกับประกบฝ่ามือเข้ากับกำปั้นอีกข้าง

“ศิษย์น้องเหลยไม่ต้องลงมือแล้ว ข้ายอมรับความพ่ายแพ้!”

เมื่อกล่าวจบเขาก็ผิวปากเรียกผีดิบเกราะเหล็กที่มีบาดแผลเต็มตัวกลับเข้ามา และคว้าไปในอากาศดูดเอาดาบสั้นบนพื้นขึ้นมาด้วย จากนั้นก็หมุนตัวกลับไปด้วยสีหน้าทรุดโทรม

ครั้งนี้เขาไม่สามารถเข้าไปในสิบอันดับแรกของศิษย์แกนนำได้ การประลองใหญ่ครั้งหน้าอายุก็เกินกำหนดจนไม่สามารถเข้าร่วมประลองได้แล้ว เขาย่อมไม่มีโอกาสอีกแล้ว

เหลยเจิ้นเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกโล่งใจไปมาก จากนั้นเขาก็เรียกปีศาจท่องราตรีกลายพันธุ์ที่มีรอยเล็บเต็มตัวไปหมดกลับมา จากนั้นก็คว้ามือขึ้นไปบนฟ้า

มังกรอัสนีสลายตัวกลายเป็นค้อนตกลงมา

“ค้อนเทพอัสนี! ไม่คาดคิดว่าศิษย์น้องเหลยจะมีอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางให้กับหลานของเจ้าด้วย ช่างเป็นเรื่องที่คิดไม่ถึงจริงๆ แต่นี่เป็นถึงอาวุธจิตวิญญาณระดับกลาง เกรงว่าเขาคงกระตุ้นอานุภาพของมันออกมาได้แค่เล็กน้อยเท่านั้น”

บนลานหยก ประมุขนิกายปีศาจมองดูเหลยเจิ้นเก็บค้อนเล็กสีเงินแล้วจึงถามชายฉกรรจ์แซ่เหลยด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“ช่วงนี้ข้าได้รับอาวุธจิตวิญญาณชิ้นใหม่อีกชิ้นหนึ่ง พลังมันเหนือกว่าค้อนเทพอัสนีนี้มากก ข้าเลยมอบของชิ้นนี้ให้เขา ส่วนอานุภาพของมันน่ะหรือ? ในการประลองระหว่างศิษย์จิตวิญญาณด้วยกันนั้นแค่กวัดแกว่งมันหน่อยเดียวก็เพียงพอแล้ว” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“แต่ซือหม่าเซียนก็น่าเสียดาย ด้วยปีศาจระดับขุนพลที่เขามีบวกกับดาบเมฆามืดที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำ ถ้าไม่เขาไม่ทุ่มสุดตัวในตอนท้ายไม่แน่ยังพอจะมีโอกาสชนะได้ และด้วยพลังของเขาแท้จริงก็เพียงพอที่จะเข้าในสิบอันดับแรกของศิษย์แกนนำได้แล้ว” หลังจากที่ดวงตาของฉู่ฉีเป็นประกายเล็กน้อยแล้วก็กล่าวออกมาอย่างเสียดาย

“ศิษย์น้องฉู่กล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? หรือคิดว่าหลานของข้าคนนี้ควรจะพ่ายแพ้ให้กับสาขาของพวกท่าน มันถึงเป็นสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้น?”

“ฮ่าๆ! ศิษย์น้องเหลยเข้าใจผิดแล้ว ข้าจะคิดแบบนั้นได้อย่างไรกันล่ะ เพียงแค่รู้สึกว่าถ้าดูจากพลังของศิษย์สิบอันดับในหลายปีที่ผ่านมา เด็กคนนี้แต่เดิมก็สามารถเข้าไปในนั้นได้” ฉู่ฉีไม่ได้โกรธเลยแม้แต่น้อย แต่กลับหัวเราะแล้วกล่าวออกมา

ชายฉกรรจ์แซ่เหลยทำเสียงฮึดฮัดไปสองสามที แล้วก็ไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียงถามอะไรต่ออีก

คนอื่นต่างก็สบตากันแล้วยิ้ม ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าทั้งสองขัดแย้งกันบ้างนิดหน่อย เลยไม่เข้าร่วมสนทนาในเรื่องนี้ด้วย

กุยหรูฉวนก็ไม่อยากเข้าไปแทรกแซงเช่นเดียวกัน แต่กลับเพ่งเล็งความสนใจไปยังแท่นประลองด้านล่าง

ถึงแม้ชัยชนะของหลิ่วหมิงในก่อนหน้านั้นจะทำให้เขาใจเต้นขึ้นมา แต่ที่กังวลที่สุดคือการท้าสู้ของสือชวน ซึ่งเป็นศิษย์ที่เขาให้ความสนใจมากที่สุด

ขณะนี้ผู้อาวุโสร่างท้วมบนแท่นประลองได้ประกาศชื่อผู้แพ้ชนะเสร็จแล้ว

ศิษย์ที่ชมอยู่รอบด้านแท่นประลองต่างก็พูดคุยอย่างตื่นเต้น จากการที่ได้เห็นพลังอันแข็งแกร่ง และยังมีการใช้อาวุธจิตวิญญาณกับปีศาจระดับขุนพลในการต่อสู้ด้วย นับว่ามันได้เปิดสายตาของพวกเขาอีกครั้ง

เมื่อหลิ่วหมิงเห็นซือหม่าเทียนกับเหลยเจิ้นใช้อาวุธจิตวิญญาณและปีศาจระดับขุนพล ใจเขาก็ค่อนข้างสั่นไหวเป็นอย่างมาก แต่พอนึกถึงอาวุธจิตวิญญาณของตัวเองทั้งสองชิ้นกับแมงป่องกระดูกขาวก็กลับมาสงบดังเดิม

ขณะนี้มีชายหนุ่มใบหน้าเหล่อเหลา ได้ขึ้นมาท้าสู้กับเจียหลานที่อยู่อันดับที่เจ็ด ด้วยประกายตาอันร้อนแรง

ดรุณีน้อยใบหน้างดงามได้ยินเช่นนี้ก็ไม่ออกอาการใดๆ หลังจากที่ผู้อาวุโสร่างท้วมได้ประกาศให้เริ่มต่อสู้ได้แล้ว นางก็แค่ค่อยๆ เดินไปตรงกลางแท่นประลอง แต่ก็มีแสงสีม่วงจางๆ หมุนเวียนอยู่ในดวงตาตั้งนานแล้ว

พอชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาเห็นเช่นนี้ก็ตกใจสะดุ้งโหยง เขาหยิบยันต์สีทองที่เตรียมไว้ออกมาผืนหนึ่ง จากนั้นก็ตบมันลงบนตัว

ชั่วเวลานั้นเอง ม่านแสงสีทองอร่ามก็ปรากฏขึ้นบนร่างของเขา

“ฮ่าๆ! ศิษย์น้องเจียหลาน ข้ารู้ว่าดวงดาของเจ้ามีพรสวรรค์ที่แข็งแกร่งมาก แต่ยันต์เลี่ยงมายาผืนนี้ใช้เพื่อป้องกันการโจมตีจากพลังจิตโดยเฉพาะ ร่างละเมอฝันของเจ้าในตอนนี้มันไม่มีผลต่อข้ามากนัก” ชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาหัวเราะกล่าวออกมา จากนั้นก็ดึงดาบสีเขียวเล่มหนึ่งออกมาพร้อมกับเดินเข้าไปดรุณีน้อย

“เช่นนั้นหรือ? ข้าเองก็อยากลองดูว่ายันต์เลี่ยงมายาจะใช้ได้ผลจริงหรือไม่?” ดรุณีน้อยยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน เพียงแต่แสงสีม่วงในดวงตาโชติช่วงขึ้นมา

……………………………………….

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset