ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 608 พบกับหลัวโหวอีกครั้ง

ปีศาจคู่เผิงหมัวรีบปล่อยพลังออกไปด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที แต่อาวุธจิตวิญญาณของทั้งสองกลับสูญเสียการเชื่อมต่อกับจิต ราวกับควายดินเหนียวที่จมลงท้องทะเล

ไอดำค่อยๆ หายไป เผยให้เห็นร่างของหลิ่วหมิงอีกครั้ง จะเห็นว่าบนมือขวาของเขามีกลุ่มไอสีดำขนาดเท่าหัวคนลอยอยู่

ท่ามกลางไอดำ มีเข็มบินสีแดงที่มีความยาวแตกต่างกันสองเล่มกับดาบบินสีดำหนึ่งเล่มลอยอยู่

แต่ไม่ว่าทั้งสองจะกระตุ้นพลังเวทอย่างไร พวกมันก็ไม่มีการเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย

ปีศาจคู่เผิงหมัวมีสีหน้าซีดขาว ไหนเลยจะไม่รู้ว่าเตะโดนกระดานเหล็กเข้าแล้ว หลังจากสบตากันหนึ่งที ทั้งสองก็หมุนตัวพุ่งหนีไปโดยมิได้นัดหมาย

“ยังคิดจะหนีอีก?” หลิ่วหมิงหัวเราะอย่างเยือกเย็น แขนทั้งสองขยายใหญ่ ไอดำพวยพุ่งออกจากร่างอย่างบ้าคลั่ง พลังอันน่ากลัวม้วนตัวออกไปทันที

ปีศาจคู่เผิงหมัวเพิ่งพุ่งออกไปได้สิบกว่าจั้ง ก็ถูกไอดำห่อหุ้มไว้ ทันใดนั้นไอดำก็ปกคลุมรอบด้าน มีเสียงแผดร้องของไอดำดังขึ้นข้างหู ราวกับว่าถูกพาไปยังอีกโลกหนึ่ง

ในช่วงเวลาหนึ่งปีหลังจากชุบร่างด้วยพลังของวายุสวรรค์ นี่คือพลัง ‘คุกมืด’ ที่หลิ่วหมิงค่อยๆ ทำความเข้าใจมาจากการฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ด้วยรากฐานพลังเวทของตนเอง สามารถสร้างมิติที่สามารถควบคุมได้อย่างอิสระ ใช้กักขังศัตรูไว้ในนั้น

นี่เป็นพลังวิเศษแท้จริงที่รวมชั้นจำกัด การสังหาร วิชามายาไว้ด้วยกัน

ว่ากันว่าเมื่อฝึกฝนวิชานี้จนถึงขั้นสมบูรณ์แบบ ยังสามารถก่อตัวปีศาจระดับพลทหาร ปีศาจระดับขุนพล จนกระทั่งราชาปีศาจไว้ไว้ในมิติคุกมืดได้ และโจมตีฝ่ายตรงข้ามจนตายทั้งเป็นโดยไม่รู้ตัว

มีเสียงร้องตกใจของปีศาจคู่เผิงหมัว และเสียงระเบิดดังออกจากไอดำอยู่ไม่หยุด ราวกับว่าทั้งสองกำลังต้านทานอะไรบางอย่างอย่างสุดชีวิต

แต่หลังจากมีเสียงร้องออกมาอย่างเวทนา ไอดำก็พวยพุ่งอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นมันก็สลายไปอย่างรวดเร็ว

“ตู้ม!” “ตู้ม!” ศพไร้หัวสองศพร่วงลงกลางอากาศ

พอหลิ่วหมิงคว้ามือข้างหนึ่งออกไป ก็มีเสียงดัง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” ยันต์เก็บของจำนวนมากพุ่งออกจากศพไร้หัวทั้งสอง และร่วงลงในมือของเขา

หลิ่วหมิงกวาดจิตดูภายในยันต์เก็บของแล้วพยักหน้าทันที แต่ในใจกลับรู้สึกพอใจกับพลังคุกมืดที่เพิ่งใช้ครั้งแรกเป็นอย่างมาก

หากพลังวิเศษนี้สามารถแสดงออกมาพร้อมกับโล่เก้ากะโหลกได้ล่ะก็ คิดว่าอานุภาพของมันคงจะเพิ่มขึ้นเป็นทวี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพลังคุกมืดที่เพิ่งเข้าสู่ขั้นแรกเท่านั้น ต่อไปยังมีพลังแฝงให้ขุดค้นอีกมาก

พอหลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อ ลูกไฟสองลูกก็พุ่งใส่ศพไร้หัวทั้งสอง และเผาไหม้จนกลายเป็นขี้เถ้า

จากนั้นเขาก็เปลี่ยนท่ามือ ทรายทองคำร่วงพยุงร่างของเขาขึ้นมา และกลายเป็นแสงสีทองพุ่งยิงออกไป

การเดินทางไปตลาดฉางหยาง เป็นแค่ขั้นตอนหนึ่งในการฝึกฝนของหลิ่วหมิง ไม่นานเขาก็ลืมเรื่องราวเหล่านี้ทั้งหมด

หลายปีต่อมา

ภายในถ้ำที่พักของหลิ่วหมิงที่ตั้งอยู่บนยอดเขาลั่วโยว

ไอดำจำนวนมากปกคลุมเต็มถ้ำ ขยายและหดตัวเป็นจังหวะ ราวกับหัวใจสีดำที่กำลังเต้นอยู่

ทันใดนั้น มีเสียงแผดร้องดังมาจากไอดำ หลังจากไอดำพวยพุ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก็ควบแน่นเป็นมังกรดำและพยัคฆ์ดำอย่างละสามตัว พวกมันพากันหมุนวนรอบตัวหลิ่วหมิงไม่หยุด

เสียงมังกรคำรามดังขึ้นติดต่อกัน

หลิ่วหมิงเอามือทั้งสองข้างถูกันแล้วแยกออก พอทำท่ามือติดต่อกันหลายท่า มังกรพยัคฆ์ทั้งสามก็กลายเป็นไอดำพวยพุ่งทันที จากนั้นก็จมหายไปในศีรษะราวกับปลาวาฬดูดน้ำ

หลิ่วหมิงเผยสีหน้าตื่นเต้นออกมา

เขาใช้เวลาห้าปี สามแสนแต้มคุณูปการ ผ่านการชุบหลอมร่างในถ้ำวายุสวรรค์ห้าครั้ง ในที่สุดก็ฝึกเคล็ดวิชามังกรทมิฬขั้นที่สามสำเร็จ และเข้าสู่ระดับของเหลวอย่างสมบูรณ์แบบ

พอรับรู้ถึงพลังเวทที่พลุ่งพล่านภายในร่าง หลิ่วหมิงก็เผยสีหน้าดีใจจนถึงขีดสุด

“นายท่าน……”

ดูเหมือนว่าหัวบินกับแมงป่องกระดูกจะรับรู้ได้ถึงอาการดีใจของหลิ่วหมิง พวกมันพุ่งเข้ามาจากมุมห้องอย่างรวดเร็ว และลูบไล้ชายเสื้อหลิ่วหมิงอย่างสนิทสนม

ห้าปีมานี้หลิ่วหมิงวางพวกมันไว้ในถ้ำที่พักอยู่ตลอด เพื่อดูดซับปราณจิตวิญญาณและให้ทำการฝึกฝนเอง

หลังจากผ่านมาห้าปี พลังของหัวบินกับแมงป่องกระดูกก็มีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่ทว่ายังไม่ถึงระดับของเหลวขั้นปลายอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ก็มีพลังเพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านั้นอยู่บ้าง

แต่ไม่ว่าจะเป็นแมงป่องกระดูกหรือหัวบินก็ตาม หากไม่มีโอกาสอันดีล่ะก็ เดิมทีก็เป็นอสูรเลี้ยงที่ต้องสะสมการฝึกฝนเป็นเวลานานถึงมีความก้าวหน้าได้ ด้วยเหตุนี้หลิ่วหมิงจึงไม่ได้สนใจเรื่องนี้

หลิ่งหมิงลูบอสูรเลี้ยงทั้งสองอยู่ครู่หนึ่ง และเก็บพวกมันไว้ในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณ จากนั้นก็ก้าวยาวๆ ออกไปจากถ้ำ

ระยะนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แม้ว่าผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ของยอดเขาลั่วโยวจะทยอยกลับยอดเขามาแล้ว แต่กลับไม่มีใครคิดที่จะรับหลิ่วหมิงเป็นศิษย์เลย

และผู้ควบคุมยอดเขาลั่วโยวผู้นั้น ก็ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน

ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าหลิ่วหมิงจะเป็นศิษย์สายในของยอดเขาลั่วโยว แต่กลับยังต้องทำการฝึกฝนเอง

ซึ่งเขาก็ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้

เพราะเป้าหมายหลักของการเข้าเป็นศิษย์สายในก็คือ เพื่ออาศัยทรัพยากรและสถานะของศิษย์สายในทำการฝึกฝน ใช่ว่าจะต้องมีคนอื่นๆ มาชี้แนะแล้วถึงจะทำการฝึกฝนต่อได้

และตอนนี้เขาก็เข้าถึงระดับของเหลวอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ต่อไปก็เตรียมทำการทะลวงระดับผลึก

ไม่นาน เมฆดำกลุ่มหนึ่งก็พุ่งขึ้นจากตีนยอดเขาลั่วโยว และตรงดิ่งไปยังปลายยอดเขา

ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป หลิ่วหมิงมาถึงหน้าหอบางแห่งที่อยู่บนยอดเขา และหลังจากแสดงป้ายประจำตัวเปิดชั้นจำกัดแล้ว ก็เดินขึ้นชั้นสามโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

หอนี้เป็นหอเก็บคัมภีร์ที่ยอดเขาลั่วโยวเก็บคัมภีร์ไว้จำนวนหนึ่ง ด้านในไม่เพียงแต่จะมีเคล็ดวิชาให้ศิษย์สายในนำไปฝึกฝน ทั้งยังมีคัมภีร์บรรพกาลต่างๆ ที่ทางยอดเขารวบรวมขึ้นมาเอง เพื่อให้ศิษย์ในยอดเขาได้ศึกษา แม้กระทั่งยังมีคัมภีร์จำนวนหนึ่งที่แม้แต่หอเก็บคัมภีร์ที่อยู่ภายนอกก็ใช่ว่าจะมี

แน่นอน! ตอนที่ศิษย์ยอดเขาลั่วโยวศึกษาคัมภีร์เหล่านี้ ย่อมใช้แต้มคุณูปการน้อยกว่าหอเก็บคัมภีร์ที่อยู่ภายนอกมาก และยอดเขาอื่นๆ ต่างก็มีหอคัมภีร์ที่คล้ายคลึงกัน

นี่ก็เป็นหนึ่งในข้อดีของการเป็นศิษย์สายใน

ไม่นาน หลิ่วหมิงก็อยู่ท่ามกลางชั้นหนังสือทางด้านตะวันออกของหอชั้นที่สาม เขาหาแผ่นหยกที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ระดับผลึกจนเจอ

เขาโบกป้ายประจำตัวใส่แผ่นหยกเบาๆ พอแสงสีเขียวพุ่งยิงเข้าไปในคัมภีร์ ลวดลายจิตวิญญาณสีเทาบนคัมภีร์ก็เปล่งประกาย ชั้นจำกัดค่อยๆ เปิดออก และแต้มคุณูปการบนป้ายประจำตัวก็ลดลงไปหนึ่งร้อยแต้ม

หลิ่วหมิงนำแผ่นหยกไปแปะไว้บนหน้าผาก และปล่อยจิตรับรู้ไปอ่านอย่างละเอียด

ตามที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ ระดับผลึกที่พูดถึงเดิมทีหมายถึงการฝึกฝนในระดับหนึ่ง จนทะเลจิตวิญญาณไม่อาจบรรจุพลังที่เป็นของเหลวได้อีกต่อไป ด้วยเหตุนี้จึงเกาะผนึกเป็นเม็ดผลึก

และขณะที่เข้าสู่ระดับผลึก พลังเวทที่เกาะผนึกเป็นผลึกยิ่งมาก ย่อมเป็นสิ่งที่แสดงถึงความหนาแน่นของพลังเวทต้นกำเนิด และศักยภาพในการฝึกฝนก็จะมากขึ้นในอนาคตด้วย

โดยทั่วไปแล้ว ขณะที่ผู้ฝึกฝนสามชีพจรจิตวิญญาณเข้าสู่ระดับผลึกนั้น สามารถเกาะผนึกผลึกพลังเวทได้เก้าเม็ด หกชีพจรจิตวิญญาณเกาะผนึกได้สิบแปดเม็ด เก้าชีพจรจิตวิญญาณเกาะผนึกได้สามสิบหกเม็ด สิบสองชีพจรจิตวิญญาณเกาะผนึกได้เจ็ดสิบสองเม็ด ส่วนชีพจรจิตวิญญาณสวรรค์ในตำนานย่อมเกาะผนึกได้หนึ่งร้อยสี่สิบสี่เม็ด

และเมื่อเทียบกับการเปลี่ยนพลังต้นกำเนิดเป็นของเหลวในการเข้าสู่ระดับของเหลวนั้น การที่พลังต้นกำเนิดกลายเป็นผลึกย่อมยากกว่าหลายเท่า ผู้ฝึกฝนที่สามารถทะลวงคอขวดได้ย่อมมีน้อยมาก

ชั่วเวลาครึ่งถ้วยชาผ่านไป หลิ่วหมิงนำคัมภีร์กลับไปไว้ที่เดิม และใช้สองร้อยแต้มคุณูปการศึกษาคัมภีร์อีกเล่มที่เกี่ยวข้องกับอัตราความสำเร็จในการทะลวงระดับผลึก

ตามบันทึกในคัมภีร์ ยันต์ประเภททะลวงเส้นลมปราณที่ใช้ทะลวงคอขวดระดับของเหลวขั้นปลายเพื่อกระตุ้นพลังในตอนแรกนั้น ดูเหมือนว่าจะมีผลต่อการทะลวงระดับผลึกน้อยมาก

และวัตถุจิตวิญญาณฟ้าดินในตำนานก็ช่วยในการทะลวงระดับผลึกได้บ้าง ยกตัวอย่างเช่น รากโสมหมื่นปี โลหิตบริสุทธิ์ของอาชากายสิทธิ์ เป็นต้น แต่สิ่งของเหล่านี้เป็นสิ่งที่พบเจอได้น้อยมาก หากจะอาศัยวิธีธรรมดาในการได้มันมา ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

แต่ในคัมภีร์ก็กล่าวถึงอยู่ ในเมื่อนิกายยอดบริสุทธิ์เป็นหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่ของมนุษย์ ย่อมมีวิธีการเฉพาะในการช่วยศิษย์ของตนเองทะลวงระดับผลึก ซึ่งก็คือกระจกแยกสมานหยินหยางที่เป็นสมบัติของนิกายนั่นเอง

กระจกนี้สามารถเปลี่ยนปราณพลังฟ้าดินในอากาศให้กลายเป็นปราณหยินหยางได้ และใส่เข้าไปในร่างของผู้ที่ทำการทะลวงระดับ ทำให้อัตราการทะลวงระดับเพิ่มขึ้นมากว่าสองส่วน

แต่ทุกครั้งที่ใช้กระจกแยกสมานหยินหยางต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก ดังนั้นศิษย์สายในต้องชำระแต้มคุณูปการสองแสนห้าหมื่นแต้มถึงจะสามารถใช้ได้หนึ่งครั้ง

หลังอ่านคัมภีร์จบไปสองเล่มแล้ว หลิ่วหมิงก็นั่งขัดสมาธิลงทันที และทำการครุ่นคิดอย่างเงียบๆ เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ของตนเองในตอนนี้

เขามีร่างสามชีพจรจิตวิญญาณ ตามหลักแล้วแทบจะไม่มีโอกาสในการทะลวงระดับผลึกได้สำเร็จเลย แต่หลังจากพลังเวทภายในร่างถูกฟองอากาศลึกลับทำให้บริสุทธิ์ไปหลายครั้ง ทำให้ไม่รู้ว่าความบริสุทธิ์ของมันเหนือกว่าระดับเดียวกันตั้งเท่าไหร่ สิ่งนี้ทำให้อัตราการทะลวงระดับของเขาเพิ่มขึ้นมา

อีกอย่างความแข็งแกร่งของกายเนื้อและพลังจิตของเขา ก็ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถจินตนาการได้ นอกจากนี้ยังมีหนอนพลังจิตคอยช่วยเหลือ ทั้งหมดนี้คงมีส่วนช่วยเขาทะลวงคอขวดระดับผลึกเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้แล้ว โล่เก้ากะโหลกที่หลิ่วหมิงมีอยู่ ก็เป็นต้นแบบอาวุธเวท หากนำสมบัติชิ้นนี้มาทำการอบอุ่นสักระยะเวลาหนึ่ง จากนั้นกระตุ้นชั้นจำกัดที่แฝงอยู่ในนั้นในขณะที่ทะลวงระดับผลึก ก็สามารถดูดรับพลังฟ้าดินบริเวณนั้นได้ ซึ่งมีส่วนช่วยในการทะลวงระดับไม่น้อย

ดังนั้นหลังจากเขาคิดไตร่ตรองไปหนึ่งรอบแล้วก็รู้สึกว่า หากสามารถหาวัตถุจิตวิญญาณฟ้าดินที่จำเป็นมาได้หนึ่งถึงสองอย่าง จากนั้นก็ยืมพลังของกระจกแยกสมานหยินหยาง คงจะมีโอกาสทะลวงระดับผลึกสำเร็จในครั้งเดียวไม่น้อย และเขาเพียงแค่หาแต้มคุณูปการมาจำนวนหนึ่ง ก็พอที่จะใช้สำหรับยืมกระจกแยกสมานหยินหยางได้หนึ่งครั้งแล้ว

เวลาต่อมา หลิ่วหมิงพลิกอ่านคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องอีกสองสามเล่ม พอเห็นว่าเนื้อหาส่วนใหญ่ก็คล้ายๆ กัน จึงไปจากหอเก็บคัมภีร์ และเหยียบเมฆดำกลับไปยังถ้ำที่พักของตนเอง

เขาเตรียมฝึกฝนระดับสมบูรณ์แบบให้เสถียรหนึ่งรอบ จากนั้นก็เตรียมออกไปตามหาวัตถุจิตวิญญาณที่บันทึกไว้ในคัมภีร์เหล่านั้น หลังจากนี้ก็สามารถทะลวงคอขวดระดับผลึกได้แล้ว

วันนี้ เมื่อหลิ่วหมิงทำการฝึกฝนอยู่ในห้องลับตามเป้าที่ตั้งไว้เสร็จแล้ว เขาก็ค่อยๆ กรอกพลังเวทไปยังศิลาหุ่นเทียนที่อยู่ในทะเลจิตรับรู้ เพื่ออาศัยพลังจิตวิญญาณของหนอนพลังจิตเข้าไปฝึกฝนในแดนมายาอีกครั้ง

แต่พอเขาเข้าไปในห้องสีเทาสลัวๆ ชายหนุ่มชุดคลุมสีเขียว อายุราวๆ สิบกว่าปี ก็ยืนรออยู่ที่นั่นนานแล้ว

เขาก็คือหลัวโหวนั่นเอง

………………………………

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset