ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 610 ท้าสู้

มีเก้าอี้ไม้สีดำสองสามตัววางอยู่ข้างที่นั่งหลักในห้องโถง ที่นั่งตรงกลางยังว่างอยู่ และทั้งสองด้านมีชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีเทานั่งอยู่สองคน หนึ่งในนั้นมีผมขาวเล็กน้อยแล้ว หลิ่วหมิงทำอย่างไรก็ไม่อาจมองเห็นใบหน้าที่ชัดเจนของคนผู้นี้ได้ อีกคนกลับมีไอดำรายล้อมรอบตัว ในมือกำลังถือหยกสีเทาสีสลัวๆ อยู่ก้อนหนึ่ง

พลังของทั้งสองลึกซึ้งจนไม่อาจคาดเดาได้ หลิ่วหมิงเดาว่าทั้งสองคงเป็นผู้อาวุโสของยอดเขาลั่วโยว แต่ผู้อาวุโสเหยียนที่หลิ่วหมิงเข้าพบในตอนเข้านิกายกลับไม่อยู่ด้วย

ผ่านไปราวๆ ครึ่งถ้วยชา ก็มีเสียงกระแอมไอเบาๆ ดังมาจากด้านหลังห้องโถง ศิษย์ที่อยู่ ณ ที่นั้นหยุดพูดในทันที และหันไปทางที่มาของเสียง

ครู่ต่อมา ชายชุดคลุมสีดำผู้หนึ่งก็ค่อยๆ ก้าวเข้ามาจากด้านหลังห้องโถง

ชายผู้นี้มีใบหน้าข้างหนึ่งแห้งเหี่ยว อีกข้างกลับแดงฝาดราวกับทารก กลิ่นไอเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาดูขาดๆ หายๆ

แม้ว่าหลิ่วหมิงจะอยู่ด้านหลังสุด แต่ยังคงรับรู้ถึงความกดดันที่ทำให้หายใจลำบากได้

“คารวะอาจารย์” เสี่ยวอู่ที่อยู่ตรงหน้ารีบก้าวออกมาคารวะนำทันที

จากนั้นศิษย์ทั้งหมดก็พากันคารวะ

“ที่แท้ท่านนี้ก็คืออินจิ่วหลิง ผู้ควบคุมยอดเขาลั่วโยวที่เล่าลือกัน” หลิ่วหมิงแอบกระซิบเบาๆ หนึ่งประโยค จากนั้นก็รีบคารวะตามคนอื่นอย่างรวดเร็ว

ขณะนี้ ผู้อาวุโสทั้งสองก็พากันลุกจากที่นั่ง และกุมมือคารวะไปยังผู้ที่มาใหม่

“เอาล่ะ! ทุกท่านไม่ต้องมากพิธี ข้าจากยอดเขาลั่วโยวไปนานสิบกว่าปีแล้ว ได้ยินมาว่าตอนนี้ยอดเขาลั่วโยวมีผู้มากความสามารถจำนวนมาก ภายในระยะเวลาสิบปีก็มีศิษย์เข้ามาใหม่ห้าหกคน นอกจากนี้ยังมีหลายคนที่เข้าสู่ระดับผลึกอย่างราบรื่น ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก และในระหว่างที่ข้าไม่อยู่ ก็ลำบากผู้อาวุโสทั้งหลายที่ดูแลเรื่องราวในยอดเขาแทนข้าแล้ว” ขณะที่อินจิ่วหลิงพูด เขาก็หันไปประสานมือให้กับชายชุดคลุมสีเทาทั้งสอง

“ผู้ควบคุมอินเกรงใจเกินไปแล้ว” ผู้อาวุโสทั้งสองรีบประสานมือคารวะกลับ และกล่าวอย่างนอบน้อม

อินจิ่วหลิงแสดงท่าทีให้ทั้งสองนั่งลงไป จากนั้นก็ก้าวยาวๆ ไปยังที่นั่งหลักที่อยู่ตรงกลาง และสะบัดแขนเสื้อก่อนนั่งลงไป

“ที่เรียกศิษย์ทุกคนมาพบในวันนี้ ประการแรกก็เพื่ออยากจะพบกับทุกคน ประการที่สองก็เพื่อความโชคดีอย่างหนึ่ง” อินจิ่วหลิงกล่าวด้วยสีหน้าสงบ

พอได้ยินเช่นนี้ บรรดาศิษย์ทั้งหลายก็มีสีหน้าแตกต่างกันไป แต่ผู้อาวุโสทั้งสองข้างยังคงมีสีหน้าเช่นเดิม ไม่แสดงอาการใดๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย

“ขณะที่ข้าออกไปหาประสบการณ์ในครั้งนี้ ได้ค้นพบลูกกวางจิตวิญญาณเก้าสีตัวหนึ่งในพื้นที่บางแห่งของแดนลึกลับในเขาแสงห้าสี” อินจิ่วหลิงค่อยๆ กวาดสายตามองดูบรรดาศิษย์แล้วกล่าวออกมา

หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกตกใจมากขึ้นกว่าเดิม

ตอนที่เขาไปเปิดอ่านคัมภีร์ในหอคัมภีร์ในก่อนหน้านั้น โลหิตบริสุทธิ์ของกวางจิตวิญญาณเก้าสีนี้ ก็เป็นหนึ่งในโอสถจิตวิญญาณฟ้าดินที่ช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จในการทะลวงระดับผลึก

ขณะที่บรรดาศิษย์กำลังจะเอ่ยปากแสดงความยินดีนั้น อินจิ่วหลิงก็เบี่ยงเบนหัวข้อสนทนาทันที

 “แต่ตอนที่ข้าค้นพบลูกกวางตัวนี้ เจ้าเฒ่าของสำนักเฮ่าหรานผู้หนึ่งก็อยู่ด้วยพอดี ดังนั้นจึงเกิดการปะทะกันหนึ่งรอบ สุดท้ายเลยตัดสินใจให้ศิษย์ของตนเองมาทำการประลองกัน เพื่อตัดสินว่าอสูรตัวนี้จะเป็นของใคร”

พอคำพูดนี้ดังออกมา ศิษย์ที่อยู่ในห้องโถงย่อมเกิดความฮือฮาขึ้น ผู้อาวุโสระดับแก่นแท้ทั้งสองที่นั่งทั้งสองข้าง ก็สบตากันทีหนึ่ง และไม่พูดอะไรออกมา

“ดังนั้นครั้งนี้ข้าจึงเตรียมพาศิษย์ไปด้วยกันสองคน หนึ่งในนั้นเป็นศิษย์ระดับของเหลว อีกคนเป็นศิษย์ระดับผลึก หากว่าศิษย์ที่ไปด้วยในครั้งนี้ประลองชนะ และได้ลูกกวางจิตวิญญาณเก้าสีตัวนั้นมา ข้าย่อมตบรางวัลให้อย่างไม่เสียดาย แม้กระทั่งสามารถยอมรับคำขอที่สมเหตุสมผลจากศิษย์สองคนนี้ได้” อินจิ่วหลิงหยุดเล็กน้อย และกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา

หากเขาได้เข้าร่วมประลองและได้รับชัยชนะ การขอโลหิตบริสุทธิ์ของกวางจิตวิญญาณเก้าสีตัวนี้มาจำนวนหนึ่ง คงไม่ใช่เรื่องยากอะไร

“ศิษย์สองคนที่ข้าเลือกก็คือ ระดับผลึกได้แก่เสี่ยวอู่ ระดับของเหลวได้แก่มู่ตวนหลง ส่วนคนอื่นๆ หากคิดว่าตนเองเหมาะสมกว่าสองคนนี้ ก็สามารถท้าสู้ได้ ข้าจะพาไปแค่คนที่ชนะเท่านั้น” อินจิ่วหลิงมองดูศิษย์เหล่านี้ทีหนึ่ง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“มีใครอยากแลกมือกับศิษย์พี่บ้าง ไม่ต้องเกรงใจ รีบออกมาลองเลย” เสี่ยวอู่ได้ยินเช่นนี้ก็รีบหันมากล่าวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นกลิ่นไออันแข็งแกร่งก็ม้วนออกจากตัวทันที

ศิษย์ระดับของเหลวหลายคนที่อยู่แถวหลังรู้สึกได้ทันทีว่าภาพตรงหน้ามืดลง ราวกับว่ามีภูเขาขนาดใหญ่กดทับเข้ามา จนต้องร่นถอยไปหลายก้าวถึงทรงตัวไว้ได้

แม้แต่ศิษย์ระดับผลึกสิบกว่าคนที่อยู่ด้านหน้าก็เซไปเซมาอยู่ครู่หนึ่ง ถึงรักษาความปลอดภัยของตัวเองไว้ได้ แต่ต่างก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ไม่มีใครสบตาศิษย์พี่ใหญ่ผู้นี้โดยตรง

หลิ่วหมิงกระตุ้นพลังเวทภายในร่าง แต่กลับยังยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน แต่ก็เผยสีหน้าตกใจออกมา ศิษย์พี่ใหญ่ผู้นี้สามารถปล่อยกลิ่นไออันน่าหวาดกลัวถึงเพียงนี้ เกรงว่าพลังที่แท้จริงคงไม่ด้อยไปกว่าผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้เลยแม้แต่น้อย

อินจิ่วหลิงไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย หลังจากดวงตาเป็นประกายเล็กน้อยแล้ว ก็ทำเป็นกวาดสายตาดูหลิ่วหมิงทีหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ

ผู้อาวุโสระดับแก่นแท้ทั้งสองที่อยู่ด้านข้าง ย่อมสังเกตเห็นความผิดปกติของศิษย์ระดับของเหลวอย่างหลิ่วหมิงเช่นกัน จึงพากันสังเกตดูด้วยความสนใจ

“ศิษย์น้องเถียน ศิษย์ผู้นี้ก็คือหลิ่วหมิงสินะ ช่างไม่ธรรมดาจริงๆ สมกับเป็นศิษย์ที่ได้ที่หนึ่งในงานประลองใหญ่ของศิษย์สายนอก หากบ่มเพาะดีๆ ต่อให้ไม่อาจเข้าสู่ระดับผลึกได้ พลังแท้จริงคงไม่ได้ด้อยไปกว่าศิษย์ระดับผลึกคนอื่นๆ ศิษย์น้องสนใจรับเป็นศิษย์หรือไม่?” ชายผมขาวส่งเสียงมาทันที

“ศิษย์พี่อวี๋ ท่านก็รู้อยู่ว่าแค่เจ้าเด็กจิงก็ทำให้ข้าปวดหัวมากแล้ว ไหนเลยจะมีกะจิตกะใจไปสอนศิษย์คนอื่นๆ อีก แค่ศิษย์หลายคนของศิษย์พี่ได้สำเร็จวิชาแล้ว ทั้งยังให้ความสำคัญกับบุคลิกมากกว่าคุณสมบัติมาโดยตลอด ศิษย์พี่ไม่ลองรับเป็นศิษย์ดูล่ะ” ผู้อาวุโสระดับแก่นแท้ที่ถือหยกอยู่กล่าว และทำตามองบน

“หากข้าเจอเจ้าเด็กนี่เร็วกว่านี้สักสองสามร้อยปีล่ะก็ แม้ว่าเขาจะมีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณ ก็จะรับเป็นศิษย์อย่างไม่ลังเล แต่ตอนนี้น่ะหรือ อีกไม่นานอายุขัยข้าก็จะสิ้นสุดแล้ว คงได้แต่ใช้เวลาทั้งหมดในการทะลวงคอขวดขั้นปลาย ไหนเลยจะมีกะจิตกะใจไปสอนศิษย์คนอื่น” ผู้อาวุโสอวี๋ได้ยินกลับส่งเสียงกลับไปด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น

“อืม! หากเป็นเช่นนี้คนอื่นๆ ก็คงไม่มีใครถูกใจศิษย์ที่มีคุณสมบัติสามชีพจรเช่นนี้ เกรงว่าคงไม่อาจรับเขาเป็นศิษย์ ไม่รู้ว่าศิษย์พี่อินของเราจะถูกใจศิษย์ผู้นี้หรือไม่ เพราะท่านเป็นถึงผู้ควบคุมยอดเขา แต่มีศิษย์แค่คนเดียวคือเสี่ยวอู่เท่านั้น ตอนนั้นเสี่ยวอู่ก็มีคุณสมบัติธรรมดาๆ เมื่อรู้ว่าศิษย์พี่รับนางเป็นศิษย์ข้ายังรู้สึกตกใจอยู่เลย” ผู้อาวุโสเถียนส่งเสียงกลับไปถามด้วยความสนใจ

“อันนี้คงเป็นไปไม่ได้ ต่อให้ตอนนั้นเสี่ยวอู่จะมีคุณสมบัติธรรมดา แต่ก็มีร่างหกชีพจรจิตวิญญาณ แต่หากภายหน้าหลิ่วหมิงสามารถเข้าสู่ระดับผลึกได้จริงๆ สถานการณ์ย่อมต่างกันแล้ว” ผู้อาวุโสอวี๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วถึงส่งเสียงกลับมา

ขณะที่ผู้อาวุโสทั้งสองส่งเสียงสนทนากันอย่างเงียบๆ นั้น ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีใครไปท้าสู้ศิษย์พี่ห้าผู้นี้ ชายหนุ่มใบหน้ารูปสี่เหลี่ยม รูปร่างค่อนข้างเตี้ยเล็ก ก็กระโดดออกมาตรงหน้าผู้คนทันที และกุมมือคารวะบรรดาศิษย์ด้วยกัน จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ข้ามู่ตวนหลง ศิษย์พี่ ศิษย์น้องระดับของเหลวท่านใดอยากท้าสู้บ้าง เพียงแค่เอาชนะได้หนึ่งกระบวนท่า ข้าจะยอมถอนตัวแต่โดยดี”

พอคำพูดนี้ออกปาก ศิษย์ระดับของเหลวสิบกว่าคนที่อยู่แถวหลัง ก็พากันกระซิบกระซาบขึ้นมา มีคนจำนวนไม่น้อยที่มีท่าทีอยากจะลองดู

แม้ว่ามู่ตวนหลงผู้นี้จะได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความสามารถในบรรดาศิษย์ของยอดเขาลั่วโยว และยังเป็นที่ถูกใจของผู้อาวุโสระดับแก่นแท้หลายท่าน แต่ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวพันกับคำสัญญาของผู้ควบคุมยอดเขา ย่อมมีคนจำนวนมากที่ไม่ยอมละทิ้งมันไป

แต่ทว่าคนอื่นๆ ยังไม่ทันเดินออกมา หญิงชุดดำรูปร่างยั่วยวนก็ก้าวออกมาหนึ่งก้าว

“ข้าน้อยยินดีรับคำชี้แนะจากศิษย์พี่” หญิงชุดดำหัวเราะเบาๆ และประสานมือคารวะด้วยแววตาท้าทาย

มู่ตวนหลงจ้องมองหญิงชุดดำ และพยักหน้าโดยที่ไม่รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย

“ดีมาก พวกเจ้าตามข้ามาเถอะ” อินจิ่วหลิงเห็นเช่นนี้กลับพยักหน้า หลังจากกล่าวออกมาอย่างราบเรียบแล้ว ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้และเดินตรงออกไปด้านนอก

คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ย่อมพากันตามออกไป

ครู่ต่อมา ผู้คนก็มาถึงด้านหลังยอดเขาลั่วโยว ภายในหุบเขาแห่งหนึ่ง มีลานประลองขนาดใหญ่อยู่ด้านใน

ภายใต้การเคลื่อนไหวของมู่ตวนหลงกับหญิงชุดดำ ทั้งสองก็กระโดดเข้าไปในลานประลอง และศิษย์คนอื่นๆ ที่เหลือก็ล้อมอยู่ด้านนอก

“การประลองในครั้งนี้ เพียงแค่ตัดสินหาผู้ชนะไปร่วมประลองกับสำนักเฮ่าหรานเท่านั้น ดังนั้นหากรู้สึกถึงความไม่ปกติ ข้าจะยื่นมือเอง” อินจิ่วหลิงประกาศกลางอากาศ จากนั้นก็โบกมือเปิดชั้นจำกัดบนลานประลองออกมา และม่านแสงสีขาวสลัวๆ ก็ปรากฏออกมาหนึ่งชั้น

มู่ตวนหลงกับหญิงชุดดำย่อมพยักหน้าตอบรับ

พอมีเสียงว่า “เริ่ม!”  หญิงชุดดำก็หยิบธงสีดำออกมาหนึ่งผืน พอโบกสะบัด ก็มีไอดำพวยพุ่งออกมาสองสาย ภายใต้การหมุนวนติ้วๆ มันก็กลายเป็นวิญญาณสีเทาสลัวๆ สองดวง ดูเหมือนจะเป็นหญิงสาวสองคนที่มีท่าทีเศร้าสร้อย มีปราณหยินจางๆ แผ่ออกมา

หลังจากมู่ตวนหลงส่งเสียงคำรามออกมาแล้ว ก็พ่นธงปีศาจขนาดเล็กออกมาผืนหนึ่ง และกำมันไว้แน่น ภายใต้การร่ายคาถาเขาก็ปล่อยพลังใส่มัน ธงปีศาจส่งเสียงดัง “ฟู่!” จากนั้นก็มีปีศาจกระดูกที่มีหัวเป็นวัว ร่างเป็นมนุษย์ สูงจั้งกว่าๆ ปีนขึ้นมา ไอสีเทาพวยพุ่งอยู่รอบตัวไม่หยุด

ร่างของมู่ตวนหลงพร่ามัว และจมหายไปในร่างของปีศาจกระดูกหัววัว

จากนั้นปีศาจตัวนี้ก็แหงนหน้าแผดเสียงออกมา และพุ่งไปด้านหน้าพร้อมกับปราณหยินอันพวยพุ่ง

เสียงระเบิดกับเสียงปีศาจร้องหมาป่าหอนดังอยู่ครู่หนึ่ง วิญญาณปีศาจสองดวงที่หญิงชุดดำเรียกออกมาพ่นไอเย็นสะท้านแปลกประหลาด ร่างของมันเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ แต่หลังจากผ่านไปสองรอบ ก็ถูกปีศาจกระดูกหัววัวที่มู่ตวนหลงสิงอยู่ ใช้เงากรงเล็บจำนวนมากตะกุยจนแตกกระจาย และได้แต่ยอมแพ้

พอนางออกจากลานประลอง ก็มีชายหนุ่มรูปร่างกำยำขึ้นมาท้าสู้

พอชายหนุ่มรูปร่างกำยำขึ้นมา ก็โบกสะบัดพัดยักษ์ที่เต็มไปด้วยปราณหยิน และเรียกปีศาจกระดูกที่มีขนาดจั้งกว่าๆ ออกมาสี่ตัว จากนั้นก็ทำการต่อสู้กับปีศาจกระดูกหัววัวที่มู่ตวนหลงสิงร่างอยู่อย่างดุเดือด

………………………………

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset