ในขณะที่ชายหนุ่มรูปร่างกำยำควบคุมปีศาจกระดูกนั้น มันก็จัดวางเป็นค่ายกลรบหลังหนึ่ง และอาศัยพลังของค่ายกลบางอย่างกักขังฝ่ายตรงข้ามไว้
ปีศาจหัววัวที่มู่ตวนหลงสิงร่างอยู่กลับขยายร่างใหญ่ขึ้น ภายใต้การดิ้นของเส้นสีดำขนาดใหญ่บนผิวหนัง แขนขนาดใหญ่ทั้งสองก็โบกสะบัดอย่างรุนแรงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็โจมตีปีศาจกระดูกทั้งสี่จนกระเด็นออกไป ราวกับว่าถูกลมฤดูใบไม้ร่วงพัด หนึ่งในนั้นยังกระแทกลงบนตัวชายหนุ่มรูปร่างกำยำอย่างรุนแรง จนชายหนุ่มต้องกระอักเลือดออกมา และล้มลงพื้นทันที
“ราชาปีศาจ!” มีคนหลุดปากออกมา
หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา
สำหรับเขาแล้วย่อมไม่รู้สึกแปลกหน้ากับคำว่า ‘ราชาปีศาจ’ แต่อย่างใด ตอนอยู่ในนิกายปีศาจ เขาเคยควบคุมราชาปีศาจไร้หัวที่ปรมาจารย์ลิ่วยินทิ้งไว้ ซึ่งพลังของมันพอที่จะเทียบเท่ากับระดับผลึกได้ จุดนี้เขาย่อมรู้ดี และกลิ่นไอที่ราชาปีศาจแผ่ออกมาหลังจากกลายร่าง ก็ดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าราชาปีศาจไร้หัวในก่อนหน้าหลายส่วน
ศิษย์ระดับของเหลวคนอื่นๆ ก็ค่อยๆ เผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมา และไม่มีใครขึ้นไปท้าทายอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
อินจิ่วหลิ่งเห็นเช่นนี้ ก็รอจนมีคนนำร่างของชายหนุ่มร่างกำยำลงไปแล้ว เขาจึงเลิกคิ้วเตรียมประกาศผลการท้าสู้ และผู้คนในบริเวณนั้นก็เงียบลงทันที
“ข้าแซ่หลิ่วด้อยความสามารถ หวังว่าศิษย์พี่จะช่วยชี้แนะให้เล็กน้อย”
พอน้ำเสียงสิ้นสุด ก็มีคนผู้หนึ่งค่อยๆ ก้าวออกมาท่ามกลางสายตาประหลาดใจของฝูงชน และหายวับไปปรากฏตัวในลานประลอง
อินจิ่วหลิงเห็นเช่นนี้ ก็เผยแววตาประหลาดใจออกมาเช่นกัน แต่ก็แค่พยักหน้าเล็กน้อยเท่านั้น
ผู้อาวุโสระดับแก่นแท้ทั้งสองต่างก็สบตากันทีหนึ่ง จากนั้นก็ดูมีท่าทีสนใจเป็นอย่างมาก
“อ๋อ! ก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็เป็นศิษย์น้องหลิ่วนั่นเอง ได้ยินว่าศิษย์น้องหลิ่วเข้าเป็นศิษย์สายในโดยการบุกเจดีย์ซวีหลิงชั้นที่สามสิบหก คิดว่าคงมีฝีมือไม่เบา ข้าเองก็อยากขอคำชี้แนะมานานแล้ว” พอมู่ตวนหลงเห็นหลิ่วหมิง เขาก็ไม่มีสีหน้าสะทกสะท้านแต่อย่างใด แต่ใจกลับเต้นโครมคราม
หากเขาเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว ย่อมไม่รู้สึกหวาดกลัวกับผู้ที่มีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณอย่างใด แต่ภายใต้สถานการณ์ที่เผชิญหน้ากับผู้ฝึกฝนระดับเดียวกัน ทั้งยังผ่านด่านเจดีย์ซวีหลิงชั้นที่สามสิบหกมาด้วย ถ้าจะบอกว่าไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ย่อมเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
“ก่อนหน้านั้นศิษย์พี่ต่อสู้อย่างดุเดือดมาหลายรอบ ไม่ทราบว่าต้องการพักผ่อนสักหน่อยหรือไม่” หลิ่วหมิงถามออกไปหนึ่งประโยค
“ไม่ต้องแล้ว พวกเราเริ่มกันเถอะ!” มู่ตวนหลงกล่าวออกมาอย่างเฉียบขาด จากนั้นก็พร่ามัวหายไปในร่างของราชาปีศาจอีกครั้ง
พอเขากระตุ้นพลังเวท แสงสีม่วงก็เปล่งประกายในดวงตาทั้งสองของราชาปีศาจหัววัว ไอหมอกสีเทาพวยพุ่งออกจากตัว เท้าทั้งคู่กระทืบลงพื้นอย่างรุนแรง และร่างของมันก็พุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงราวกับก้อนหินยักษ์
หลิ่วหมิงกลับยืนรออยู่ที่เดิมอย่างไม่รีบร้อน พอทำท่ามือด้วยมือทั้งสอง ไอหมอกสีดำก็พวยพุ่งออกมา มือเท้าทั้งสี่สั่นไหวกลายเป็นเงาร่างสองเงา และหลบการโจมตีของราชาปีศาจได้อย่างง่ายดาย
ราชาปีศาจที่พุ่งเข้าใส่ความว่างเปล่าส่งเสียงคำรามออกมา แขนขนาดใหญ่ทั้งสองโบกสะบัดใส่เงาร่างทั้งสองของหลิ่วหมิงอีกครั้ง
“ฟู่!”
เงาร่างสลายไปทันที
มีเสียงคำรามดังขึ้นบนแท่นประลอง และเกิดเสียงดังติดต่อกันไม่หยุด ปราณหยินพวยพุ่งอย่างต่อเนื่อง
ทันใดนั้น มีเงาร่างก่อตัวขึ้นด้านหลังราชาปีศาจ และร่างของหลิ่วหมิงก็ปรากฏออกมา พอเขาส่งเสียงตะโกน เสียงมังกรร้องพยัคฆ์คำรามก็ดังไปทั่วขอบฟ้า จากนั้นมังกรหมอกดำสามตัวที่ยาวเจ็ดแปดจั้งก็พุ่งออกจากหลัง และม้วนตัวไปทางด้านหลังของราชาปีศาจยักษ์
มู่ตวนหลงรีบเปลี่ยนท่ามือด้วยความตกใจ หลังจากราชาปีศาจหันหน้ากลับมา ไอหมอกสีเทาบนตัวก็พวยพุ่ง และก่อตัวเป็นหัววัวขนาดใหญ่ต้านทานอยู่ตรงหน้า
หลังจากมังกรทั้งสามกระโจนเข้ามา ก็มีเสียงระเบิดดังจนหูแทบหนวก!
ไอหมอกสีเทากับสีดำม้วนตัวออกไปอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เผยให้เห็นราชาปีศาจที่ร่นถอยอยู่ไม่หยุด แขนสีขาวโพลนทั้งสองถูกระเบิดจนแตกละเอียด นอกจากนี้ยังมีรูขนาดใหญ่ตรงหน้าอก ร่างของมันโซซัดโซจนดูเหมือนว่าใกล้จะล้มลงพื้นแล้ว
“หยุด……ข้ายอมแพ้!” มีเสียงร้องด้วยความตกใจของมู่ตวนหลงดังออกจากปากราชาปีศาจ จากนั้นก็มีเงาร่างคนเคลื่อนไหวบนหัววัว และร่างของเขาก็ปรากฏออกมา
ราชาปีศาจตัวนี้ติดตามเขาตั้งแต่ระดับศิษย์จิตวิญญาณ และยังได้พบกับความโชคดีไม่น้อย จนกระโดดเข้าสู่ระดับราชาปีศาจ และยังรวมร่างกับเขาได้ชั่วคราวโดยผ่านเคล็ดวิชาบางอย่างที่ฝึกฝน
เขาไม่อยากทำลายราชาปีศาจ เพียงเพราะว่าต้องการออกไปประลองข้างนอก
หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย
เขาย่อมไม่คิดว่าราชาปีศาจจะมีฝีมือแค่นี้ แต่ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามยอมแพ้แล้ว เขาก็ประสานมือกล่าวอย่างถ่อมตัวสองสามประโยค โดยไม่พูดอะไรมาก
“คิดไม่ถึงว่าศิษย์พี่มู่จะพ่ายแพ้แล้ว……”
“วิชาที่หลิ่วหมิงผู้นี้ฝึกฝนคือเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ดูท่าจะฝึกฝนขั้นที่สามจนสมบูรณ์แบบแล้ว และพลังเวทก็ดูเหมือนจะเหนือกว่าหนึ่งขั้น”
“แค่ศิษย์น้องมู่มีราชาปีศาจอยู่ในมือ คิดไม่ถึงว่าจะพ่ายแพ้รวดเร็วเช่นนี้ ดูท่าศิษย์น้องหลิ่วที่มาใหม่ผู้นี้คงมีความสามารถสมคำร่ำลือ”
ศิษย์ที่ชมการประลองอยู่บริเวณนั้น ต่างก็รู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง และทำการกระซิบกระซาบกันเบาๆ โดยเฉพาะศิษย์ระดับผลึกจำนวนหนึ่ง ต่างก็มองหลิ่วหมิงอย่างระมัดระวัง
ศิษย์พี่ใหญ่อย่างเสี่ยวอู่ก็รู้สึกแปลกใจกับผลลัพธ์ในครั้งนี้มาก และใช้สายตาแปลกประหลาดพิจารณาหลิ่วหมิงอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกรอบ
พอมู่ตวนหลงโบกมือ ราชาปีศาจก็กลายเป็นควันสีดำ และกลายเป็นธงปีศาจอันหนึ่ง จากนั้นเขาก็กลืนมันลงไป หลังจากหันไปประสานมือคารวะอินจิ่วหลิงแล้ว ก็กระโดดลงจากลานประลองทันที
อินจิ่วหลิงเองก็มีสีหน้าประหลาดใจกับชัยชนะของหลิ่วหมิงเล็กน้อย หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งแล้วก็กล่าวออกมา
“ยังมีศิษย์ท่านใดไม่ยินยอมบ้าง สามารถท้าสู้หลิ่วหมิงต่อได้เลย”
หลังจากเห็นพลังของหลิ่วหมิงแล้ว ศิษย์ระดับของเหลวคนอื่นๆ ย่อมไม่คิดจะขึ้นไปท้าสู้กับหลิ่วหมิงอีก เพราะไม่มีใครคิดว่าตนเองจะมีพลังเหนือกว่าราชาปีศาจระดับผลึก
“ในเมื่อไม่มีคนท้าสู้ ก็จะตัดสินตามนี้แล้ว ครั้งนี้เสี่ยวอู่กับหลิ่วหมิงไปกับข้าก็แล้วกัน” อินจิ่วหลิงเห็นเช่นนี้ ก็ประกาศด้วยสีหน้าสงบ
จากนั้นเขาก็กระโดดลงมาจากอากาศ และหลังจากกำชับผู้อาวุโสทั้งสองแล้ว ก็พาหลิ่วหมิงกับเสี่ยวอู่ออกไป
ไม่นานเรือเหาะกระดูกเขียวลำหนึ่งที่มีขนาดสิบกว่าจั้ง ก็พาคนทั้งสามออกไปจากยอดเขาลั่วโยว
“คิดไม่ถึงว่าแค่เวลาสั้นๆ ไม่กี่ปี ศิษย์น้องหลิ่วก็บรรลุถึงระดับของเหลวขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว” เสี่ยวอู่นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านหลังของเรือเหาะ และกล่าวกับหลิ่วหมิงที่อยู่ด้านข้างด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
“ศิษย์พี่ห้าชมเกินไปแล้ว สองปีมานี้ข้าก็แค่โชคดีทะลุคอขวดได้เท่านั้น” หลิ่วหมิงตอบกลับอย่างถ่อมตัว
เสี่ยวอู่เบะปากเล็กน้อย ประจักษ์ชัดว่านางไม่เชื่อคำพูดของหลิ่วหมิง แต่ก็ไม่ได้ซักถามต่อแต่อย่างใด
“ใช่สิ! ไม่ทราบศิษย์พี่ห้ารู้หรือไม่ว่า ท่านผู้ควบคุมยอดเขาจะพาเราไปประลอง ณ สถานที่แห่งใด?” หลิ่วหมิงเอ่ยปากถามในฉับพลัน
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน พอถึงเวลาเจ้าจะรู้เอง” ขณะที่พูด เสี่ยวอู่ก็มองอินจิ่วหลิงที่ยืนอยู่ตรงส่วนหน้าของเรือ และหลับตาทั้งคู่ลง
พอหลิ่วหมิงเห็นว่านางไม่อยากพูดอะไรมาก เขาก็ยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็หลับตาพักผ่อน
อินจิ่วหลิงพาทั้งสองผ่านค่ายกลส่งตัวของนิกายยอดบริสุทธิ์อยู่หลายครั้ง และนั่งเรือเหาะราวๆ ครึ่งเดือน ถึงมาถึงป่าเถื่อนวังเวงแห่งหนึ่ง
หลิ่วหมิงสังเกตมาตลอดทาง ที่นี่คงจะเป็นสถานที่บางแห่งในแผ่นดินจงเทียนที่มีผู้คนมาถึงน้อยมาก
ขณะที่เรือเหาะมาถึงเหนือหุบเขาเขียวขจีแห่งหนึ่งนั้น อินจิ่วหลิงที่ยืนอยู่ส่วนหน้าของเรือก็กระตุ้นท่ามือในฉับพลัน เรือเหาะกระดูกเขียวกลับทิศทางในทันที จากนั้นก็ร่อนลงด้านล่าง
“ฮ่าๆ! สหายอิน ในที่สุดท่านก็มา ช่างเชื่องช้าเสียจริง พวกข้ารออยู่ที่นี่มาหนึ่งวันแล้ว” ขณะที่ทั้งสามเพิ่งกระโดดลงจากเรือเหาะกระดูกเขียว ก็มีคนสองสามคนรออยู่ในหุบเขาก่อนแล้ว และผู้อาวุโสใบหน้าเหี่ยวย่นที่มีเครายาวถึงหน้าอก ก็เดินออกมาด้วยรอยยิ้มที่ดูใจดี
“สหายกู่เจวี๋ยล้อข้าเล่นแล้ว เดิมทีพวกเราก็นัดประลองกันวันนี้ ข้าไม่ได้มาช้า แต่เป็นท่านต่างหากที่มาเร็วไปหนึ่งวัน” อินจิ่วหลิงโบกแขนเสื้อเก็บเรือเหาะเข้าไป และกล่าวด้วยเสียงหัวเราะ
หลิ่วหมิงกับเสี่ยวอู่ก็ยืนเงียบๆ อยู่ด้านหลังอินจิ่วหลิง
หนึ่งวันก่อน อินจิ่วหลิงได้พูดเรื่องเกี่ยวการประลองให้เขากับเสี่ยวอู่ฟังแล้ว กู่เจวี๋ยตรงหน้าผู้นี้เป็นหัวหน้าสายาย่อยแห่งหนึ่งของสำนักเฮ่าหราน มีตำแหน่งเทียบเท่ากับผู้ควบคุมยอดเขาของนิกายยอดบริสุทธิ์
หลิ่วหมิงมองดูผู้อาวุโสเครายาวครั้งหนึ่ง จากนั้นก็มองคนที่อยู่ด้านหลัง
จะเห็นว่าในหุบเขานี้ยังมีคนอยู่อีกสามคน หนึ่งในสองคนนั้นเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง
ผู้ชายมีอายุราวๆ สามสิบกว่าปี รูปร่างสูงใหญ่ เส้นผมและคิ้วล้วนเป็นสีแดง สวมชุดบัณฑิตสีเหลือง แลดูเก่งกาจยิ่งนัก และหญิงสาวผู้นั้นก็สวมชุดสีขาวทั้งตัว รูปร่างกระจุ๋มกระจิ๋ม นางก้มหน้าเล็กน้อยทำให้เห็นใบหน้าไม่ชัดเจน
เสื้อผ้าที่ทั้งสองสวมอยู่แตกต่างจากบัณฑิตหนุ่มที่หลิ่วหมิงพบเจอในตลาดฉางหยางเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเป็นชุดศิษย์สำนักบนของสำนักเฮ่าหราน
หลิ่วหมิงเคยทำความเข้าใจเกี่ยวกับสำนักเฮ่าหรานจากหอเก็บคัมภีร์มาก่อน รู้ว่ามันก็เหมือนกับนิกายยอดบริสุทธิ์ โดยแบ่งเป็นสำนักบนกับสำนักล่าง ศิษย์สำนักล่างเทียบเท่ากับศิษย์สายนอกของนิกายยอดบริสุทธิ์ และศิษย์สำนักบนก็มีตำแหน่งเทียบเท่ากับศิษย์สายในของนิกายยอดบริสุทธิ์
และยังมีหลวงจีนหัวโล้นคนหนึ่งที่ดูอ่อนเยาว์มาก ใบหน้าสวยสดงดงามราวกับสาวพรหมจารี สวมจีวรสีขาว มีจุดอยู่บนศีรษะหกจุด
ด้วยพลังจิตอันแข็งแกร่งของหลิ่วหมิง สามารถมองเห็นระดับการฝึกฝนของศิษย์สำนักเฮ่าหรานทั้งสองได้อย่างง่ายดาย ชายผู้นั้นมีการฝึกฝนระดับผลึก และหญิงสาวที่อยู่ด้านข้างก็มีการฝึกฝนระดับของเหลว
แต่หลวงจีนหนุ่มรูปนั้นไม่แสดงกลิ่นไอบนตัวเลยแม้แต่น้อย มีท่าทีเยือกเย็น คงจะมีการฝึกฝนระดับแก่นแท้เหมือนกับอินจิ่วหลิง และผู้อาวุโสกู่เจวี๋ย
ดูเหมือนว่าอินจิ่วหลิงก็สังเกตเห็นหลวงจีนหนุ่มผู้นี้เช่นกัน
“มาๆ ข้าจะแนะนำให้สหายอินสักหน่อย ท่านนี้เป็นคนของเขาถานกวงที่เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ทางพระพุทธศาสนาในแผ่นดินจงเทียน” ผู้อาวุโสเครายาวหัวเราะฮ่าๆ ก่อนกล่าวออกมา
“อาตมาคืออวิ๋นกังจากเขาถานกวง วันนี้ได้รับเชิญจากสหายกู่เจวี๋ยให้มาเป็นผู้ตัดสินการประลอง” หลวงจีนหนุ่มประนมมือคารวะอินจิ่วหลิง
………………………………