ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 632 เมืองเจินหยวน

พื้นที่เปล่าเปลี่ยวบางแห่งที่อยู่ด้านนอกซากโบราณ เกิดเสียงดัง “ตู๊ม!” บนม่านแสงแวววาวจนกลายเป็นรูขนาดใหญ่ มีแสงกระบี่สีเขียวขนาดหลายจั้งพุ่งออกมา

พอแสงกระบี่ดับลง เผยให้เห็นร่างของหลิ่วหมิง เขานำแผนที่ออกมา และใช้จิตกวาดดู จากนั้นเท้าทั้งคู่ก็หยุดชะงักในทันที

เขายกมือปล่อยเรือหยกออกมา และกระโดดขึ้นไปบนนั้น จากนั้นก็พุ่งออกไป เป้าหมายคือตลาดที่อยู่ใกล้ที่สุด

ผ่านไปไม่นาน เงาร่างอรชรสีดำก็ค่อยๆ โผล่ออกมาจากพุ่มไม้สูงใหญ่นอกซากโบราณ นางก็คือเซียนหงส์ดำนั่นเอง

นางจ้องมองแสงสีดำที่ค่อยๆ ห่างไกลออกไป และขมวดคิ้วเล็กน้อย

“คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนผู้นี้ที่มีชีวิตรอดออกมา เช่นนี้แล้วมีโอกาสแปดในสิบส่วนว่าราชาโลหิตถูกสังหารไปแล้ว พลังของคนผู้นี้ลึกล้ำจนไม่อาจคาดเดาได้จริงๆ” ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ เซียนหงส์ดำถึงเผยสีหน้าแปลกประหลาด และพูดพึมพำออกมา

แม้ว่าทั้งสองจะนับว่าเป็นยอดฝีมือของผู้ฝึกฝนชั่วร้ายในรุ่นเดียวกัน แต่ใบหน้าของเซียนหงส์ดำในขณะนี้ กลับไม่มีร่องรอยของความเสียใจเลยแม้แต่น้อย

หลังจากนางยิ้มอย่างเยือกเย็นแล้ว ก็กลายเป็นไอดำพุ่งไปอีกทิศทางทันที

……

หลังจากเดินทางไปหนึ่งวันหนึ่งคืน หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวในตลาดขนาดเล็กแห่งหนึ่ง

พอย่างเท้าเข้าไปในตลาด ก็มุ่งไปยังห้องหินที่เป็นที่ตั้งของค่ายกลส่งตัวทันที คนที่ดูแลค่ายกลส่งตัวแห่งนี้ เป็นชายฉกรรจ์วัยกลางคนของนิกายขวานทองคำผู้หนึ่ง

หลังจากผ่านการส่งตัวเช่นนี้ไปสองครั้ง หลิ่วหมิงก็มาถึงตลาดเล็กๆ ที่ดูไม่เตะตาแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์หนึ่งพันกว่าลี้

ตลาดอุดมสมบูรณ์แห่งนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางทะเลทรายเปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่ง พอมองออกไปรอบด้านล้วนเป็นทรายสีเหลืองไร้ที่สิ้นสุด และใจกลางของตลาดแห่งนี้ เป็นแหล่งอุดมสมบูรณ์เพียงหนึ่งเดียวในพื้นที่ระยะหลายร้อยลี้ นานวันเข้าก็มีคนมาก่อตั้งตลาดเล็กๆ รอบพื้นที่อุดมสมบูรณ์แห่งนี้

แม้ว่าในตลาดจะมีร้านค้าและโรงเตี๊ยมอยู่หลายแห่ง แต่ผู้คนบนท้องถนนมีอยู่น้อยมาก แต่ทว่านี่เป็นสิ่งที่หลิ่วหมิงต้องการพอดี

เขาหาโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ และเลือกเอาบ้านพักเดี่ยวหลังหนึ่ง จากนั้นก็วางชั้นจำกัดไว้ในห้องก่อนเข้าไปนั่งขัดสมาธิในห้องลับ และแทบรอไม่ไหวที่จะเข้าไปในห้องว่างเปล่าลึกลับ

ท่ามกลางห้องว่างเปล่าลึกลับสีเทาสลัวๆ หลัวโหวยืนเอามือไขว้หลังอยู่เงียบๆ ซึ่งอยู่ห่างจากหลิ่วหมิงไปไม่ไกล ราวกับรู้ว่าเขาจะมา

“ผู้อาวุโสหลัวโหว” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกอึ้งไปทันที จากนั้นก็ก้าวเข้าไปประสานมือคารวะ

“ครั้งนี้เจ้าทำได้ไม่เลว ครั้งนี้กรงขังดูดซับไอปีศาจแท้ไปไม่น้อย ผนึกได้รับการซ่อมแซมแล้ว เพียงพอที่จะรักษาการทำงานปกติได้กว่าร้อยปี” หลัวโหวมองลงบนตัวหลิ่วหมิง และกล่าวอย่างราบเรียบ

หลิ่วหมิงได้ยินก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างอดไม่ได้

ที่หลัวโหวกล่าวเช่นนี้ แสดงว่าภายในหนึ่งร้อยปีให้หลัง เขาจะไม่ถูกปีศาจชิงร่างอีก ในที่สุดก็สามารถฝึกฝนได้อย่างสบายใจแล้ว

เชื่อว่ามีเวลาร้อยแล้ว เขาจะต้องมีการยกระดับเป็นอย่างมากแน่นอน ไม่แน่อาจจะหาวิธีควบคุมความคิดปีศาจได้

“เจ้าอย่าเพิ่งรีบดีใจจนเกินไป ผนึกกรงขังหยุดความเสียหายไว้ชั่วคราวเท่านั้น ไอปีศาจแท้จำนวนแค่นี้ ไม่เพียงพอสำหรับซ่อมแซมผนึก” ดูเหมือนหลัวโหวจะเห็นอาการดีใจของหลิ่วหมิง จึงกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ

“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชี้แนะ” หลิ่วหมิงได้ยินก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น และพยักหน้าตอบรับ

“นอกจากนี้ยังต้องเตือนเจ้าอีกประโยค ศพที่เจ้าเจอใต้แท่นบูชานั้น เป็นศพของเผ่าปีศาจบรรพกาล ทั้งยังเป็นผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์ด้วย” หลัวโหวพยักหน้าเล็กน้อย และกล่าวคำพูดที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจออกมา

“อะไรนะ? ผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์?” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

เขาเห็นยอดฝีมือระดับแก่นแท้ในนิกายยอดบริสุทธิ์มามากมาย แต่ระดับดาราพยากรณ์นี้กลับไม่เคยพบมาก่อน ซึ่งนับว่าเป็นระดับที่มีในตำนานแล้ว

แม้แต่ในแผ่นดินจงเทียน ก็เป็นระดับแปลกประหลาดเก่าแก่ เป็นบุคคลที่เป็นเสาเอกของนิกายใหญ่นับหมื่นปี ไม่ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนโดยง่าย แต่ตัวเขากลับได้ศพของระดับดาราพยากรณ์มา…

พอคิดมาถึงจุดนี้ หลิ่วหมิงก็รู้สึกใจเต้นตูมตามอย่างอดไม่ได้ และรู้สึกคอแห้งเล็กน้อย

แต่ทว่าเขาไม่ทันได้เอ่ยปาก หลัวโหวตรงหน้าก็สะบัดแขนเสื้อด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก พายุบ้าระห่ำพัดเข้ามา

หลิ่วหมิงรู้สึกเพียงแค่ว่าตรงหน้ามืดลง และตัวเองก็กลับมาในห้องลับภายในโรงเตี๊ยมอีกครั้ง และอดที่จะค่อนแคะในใจไม่ได้

เดิมทีเขาคิดจะสอบถามหลัวโหวเกี่ยวกับเรื่องศพดาราพยากรณ์นี้สองสามประโยค แต่ดูท่าหลัวโหวคงไม่อยากพูดอะไรกับเขามาก

“ผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์……” หลิ่วหมิงพูดพึมพำออกมา ใบหน้าของเขาฉายแววตื่นเต้นอย่างอดไม่ได้

ต่อให้จะเป็นแค่ศพ แต่มันยังคงมีมูลค่าที่ยากจะคาดเดาได้

หลังจากหลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองไปหนึ่งรอบแล้ว ก็ตัดสินใจรอกลับไปนิกายยอดบริสุทธิ์ก่อน แล้วค่อยหาโอกาสตรวจสอบอีกรอบ

ขณะนั้นเอง ดูเหมือนหลิ่วหมิงจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงพลิกฝ่ามือหยิบกำไลสีดำทั้งสองออกมาถือไว้ในมือ และตรวจสอบดูอย่างละเอียด

ตอนอยู่ในถ้ำ เขาไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียด

กำไลคู่นี้เป็นสีดำล้วน นอกจากวางไว้บนมือมันจะเบาดุจขนนก และไม่สามารถรับรู้ถึงน้ำหนักเลยแม้แต่น้อยแล้ว ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรพิเศษอีก

หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดอีกรอบ หลิ่วหมิงก็ค้นพบว่าบนกำไลคู่นี้ ไม่มีลวดลายชั้นจำกัดใดๆ สลักอยู่เลย

แต่ว่ากำไลสีดำคู่นี้ได้มาจากตัวของยอดฝีมือระดับดาราพยากรณ์ จะต้องไม่ใช่สิ่งของที่ไร้ประโยชน์ถึงจะถูก

เขาลองปล่อยพลังเวทเข้าไปในกำไลสีดำเล็กน้อย น่าเสียดายที่มันยังคงไม่มีการตอบสนองใดๆ

เขาเปลี่ยนความคิดอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็โยนกำไลวงหนึ่งขึ้นมา พอยกแขนเสื้อขึ้น ลูกเปลวไฟ และคมวายุจำนวนมากก็เปล่งประกายออกมา และพากันโจมตีลงบนกำไล

เกิดเสียงดังเปรี๊ยะๆ! อยู่ชั่วขณะหนึ่ง หลังจากแสงไฟและเสียงพายุผ่านพ้นไป กำไลก็ค่อยๆ ร่วงลงพื้น พอกวาดสายตามองดู ก็ไม่ค้นพบรอยสีขาวเลยแม้แต่เส้นเดียว

ต่อมาหลิ่วหมิงลองใช้มุกพลังวารี วิชาขี่กระบี่ ทรายทองคำร่วง และสิ่งของอื่นๆ ทดลองดู แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างความเสียหายให้มันได้เลยแม้แต่น้อย หลังจากไม่ได้ผลลัพธ์ใดๆ หลิ่วหมิงก็ได้แต่ละความคิดนี้ไปชั่วคราว และเก็บมันเข้าไป

ต่อมา เขาก็นำกำไลเก็บของของราชาโลหิต และสิ่งของอื่นๆ ออกมาตรวจสอบอย่างละเอียดหนึ่งรอบ

ลำพังแค่ยันต์เก็บของของราชาโลหิต ก็มีหินจิตวิญญาณห้าล้านกว่า อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดสี่ห้าชิ้น และยังมีสิ่งของประเภทโอสถอยู่หลายขวด น่าเสียดายที่ล้วนเป็นสิ่งของสำหรับฝึกฝนสายโลหิต และไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ดูท่าต้องนำไปแลกหินจิตวิญญาณมาจำนวนหนึ่งแล้ว

หลิ่วหมิงจำแนกสิ่งของเหล่านี้โดยคร่าวๆ และเก็บมันเข้าไปในแหวนย่อส่วน จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง และเริ่มคิดไตร่ตรองถึงการดำเนินการในขั้นต่อไป

ขณะนี้ อันตรายจากฟองอากาศลึกลับถูกกำจัดไปชั่วคราว สิ่งสำคัญที่ต้องทำในลำดับถัดไปก็คือเตรียมทะลวงระดับผลึกแล้ว

อย่างที่รู้ว่า อีกไม่นานฟองอากาศลึกลับก็จะปรากฏออกมาแล้ว เขาจำเป็นต้องยกระดับพลังเวทให้เพิ่มขึ้นหลายเท่าก่อนถึงจะได้

พลังเวทของตนเองบริสุทธิ์เป็นอย่างยิ่งแล้ว ส่วนสิ่งของช่วยเสริมที่จำเป็นต้องใช้ในการทะลวงระดับผลึกนั้น เขาก็ได้เตรียมไว้แล้วไม่น้อย ตอนนี้เพียงแค่มอบศีรษะของราชาโลหิตให้กับหอความเป็นความตาย ก็สามารถแลกแต้มคุณูปการได้หนึ่งล้านแต้ม สามารถยืมกระจกหยินหยางแยกผสานมาใช้หนึ่งครั้งอย่างไม่มีปัญหา

เมื่อสรุปออกมาเช่นนี้ โอกาสที่ตนเองจะเข้าสู่ระดับผลึกก็มีไม่น้อยแล้ว ดูเหมือนว่าจะมีโอกาสสี่ถึงห้าส่วน

“อัตราความสำเร็จครึ่งหนึ่งยังคงดูน้อยไปหน่อย” หลิ่วหมิงถอนหายใจออกมา เขายังคงรู้สึกไม่วางใจอยู่ดี

แต่อัตราความสำเร็จขนาดนี้ หากผู้ฝึกฝนระดับของเหลวทั่วไปรู้เข้า เกรงว่าคงจะอิจฉาตาร้อนเป็นอย่างยิ่ง

หลิ่วหมิงคิดพิจารณาอีกครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตัดสินใจยังไม่กลับเทือกเขาหมื่นวิญญาณชั่วคราว

ยังคงมีเวลาอีกเล็กน้อย เขาคิดจะไปเสี่ยงโชคภายนอก เพื่อดูว่าจะหาสิ่งของฟ้าดินสองชิ้นที่มีส่วนช่วยในการทะลวงระดับผลึกได้หรือไม่

ในระยะนี้เขาสังหารผู้ฝึกฝนชั่วร้ายไปไม่น้อย ลำพังแค่หินจิตวิญญาณบนตัวก็เกินสิบล้านแล้ว บนตัวยังมีอาวุธจิตวิญญาณสายปีศาจจำนวนไม่น้อย สิ่งของจำพวกโอสถยังต้องจัดการสักหน่อย

……

เมืองเจินหยวนที่อยู่ในที่ราบตอนกลางของแผ่นดินจงเทียน

เป็นหนึ่งในเมืองใหญ่ของราชวงศ์ต้าเจิน ขณะเดียวกันก็เป็นหนึ่งในแคว้นของมนุษย์ที่ถูกควบคุมโดยนิกายยอดบริสุทธิ์ เป็นสถานที่ที่มีผู้ฝึกฝนไปมาไม่ขาดสาย

ถนนหินขนาดใหญ่ที่ประตูหลักเมือง พอที่จะให้รถม้าขับเคียงข้างกันได้หลายคัน กำแพงเมืองที่สูงหลายสิบจั้ง โอบล้อมพื้นที่ระยะพันลี้ไว้ด้านใน

ด้านนอกกำแพงเมือง สามารถมองเห็นแสงแปลกประหลาดของผู้ฝึกฝนพุ่งไปมากลางอากาศ แต่พออยู่ในอาณาเขตของกำแพงเมืองแล้ว กลับพากันดับแสงลง และเดินเท้าเข้าเมืองด้วยสีหน้านอบน้อม

เพราะว่ามีชั้นจำกัดทางอากาศที่นิกายยอดบริสุทธิ์วางไว้ ทั้งยังมีศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์คอยดูแลอยู่ หากใครไม่รักษากฎ จุดจบคงพบเห็นได้ง่าย

ประชากรในเมืองเจินหยวนมีมากถึงหนึ่งล้านคน แน่นอนว่าส่วนมากเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีพลังเวท

แม้จะพูดว่าเป็นเมืองแห่งผู้ฝึกฝน แต่บรรดาผู้ฝึกฝนก็ไม่ทำการคลุกคลีกับคนธรรมดา โดยทั่วไปจะรวมตัวอยู่ในพื้นที่เล็กๆ ที่ล้อมรอบด้วยถนนหลายสายในเมือง

และเขตพื้นที่บริเวณนี้ คนธรรมดาทั่วไปก็ไม่กล้าเหยียบเข้ามา

ถนนเทียนหยวนเป็นถนนที่มีผู้ฝึกฝนมารวมตัวกันมากที่สุด

ขณะนี้ หลิ่วหมิงที่สวมชุดคลุมสีเขียวกำลังก้าวเดินอยู่บนถนนเทียนหยวนอย่างช้าๆ และกวาดสายตาสังเกตดูร้านค้าสองข้างทาง

ตอนนี้อยู่ห่างจากตอนที่ซากโบราณเผ่าปีศาจปรากฏตัวมาเป็นเวลาหนึ่งปีกว่าแล้ว หลิ่วหมิงไม่ได้รีบร้อนกลับเทือกเขาหมื่นวิญญาณ แต่กลับหาประสบการณ์ตามแคว้นต่างๆ ของมนุษย์ที่ถูกควบคุมโดยนิกายยอดบริสุทธิ์

ทันใดนั้น เขาก็หยุดชะงักฝีเท้าลง และเดินเข้าไปในร้านที่เห็นได้ชัดว่าสูงกว่าร้านค้าทั้งสองฝั่ง

โดยทั่วไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการซื้อของหรือขายของ ร้านค้าที่มีขนาดใหญ่ล้วนเป็นตัวเลือกที่ค่อนข้างดีกว่า

ร้านนี้เป็นร้านค้าอาวุธจิตวิญญาณที่มีชื่อว่าหอวารีกระจ่าง แลดูค่อนข้างภูมิฐาน ลำพังแค่หน้าร้านก็กว้างสิบกว่าจั้งแล้ว

พอเข้าไปในร้าน จะรู้สึกว่าขอบหน้าต่างรอบๆ ค่อนข้างสะอาด ดูกว้างขวางและสว่างมาก มีชั้นวางของที่ทำจากหยกขาวตั้งวางเป็นแถว มีอาวุธจิตวิญญาณชนิดต่างๆ วางอยู่ไม่น้อย ซึ่งมีมากถึงหนึ่งร้อยกว่าชิ้น

ข้างชั้นวางแต่อัน ต่างก็มีพนักงานชุดเขียวยืนเรียกลูกค้าอยู่

หลิ่วหมิงกวาดสายตามองออกไป ก็ค้นพบว่าส่วนมากเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับกลาง ที่ดีที่สุดก็เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น

พอพนักงานตาแหลมคนหนึ่งเห็นหลิ่วหมิงเดินเข้ามา ก็รับรู้ได้ว่ากลิ่นไอของเขาลึกซึ้ง แม้จะดูไม่ออกว่ามีการฝึกฝนระดับใด แต่ก็รู้ว่าเป็นลูกค้ารายใหญ่ จึงรีบเดินเข้าไปต้อนรับอย่างอบอุ่น

………………………………

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset