ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 104 การต่อสู้อันดุเดือด (5)

ตอนที่ 104 การต่อสู้อันดุเดือด (5)

“อาวุธจิตวิญญาณ!”

ชายฉกรรจ์หัวล้านที่คิดจะหัวเราะดังๆ แล้วใช้พลังอันสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วบรรณพิภพพุ่งเข้ามาหาหลิ่วหมิง พลันเสียงเขาก็ทุ้มต่ำลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

ขณะนั้นเอง ได้มีเงาร่างสีเขียวเกิดขึ้นบนพื้นบริเวณที่หลิ่วหมิงอยู่ แมงป่องกระดูกขาวกระโดดขึ้นมาโดยไร้สุ้มเสียง และยืนบังอยู่ตรงหน้าเขา

ศิษย์ที่ดูการต่อสู้อยู่ฮือฮาขึ้นอีกครั้ง

คิ้วของเกาชงค่อยๆ ขมวดตั้งแต่ตอนที่หลิ่วหมิงปล่อยปีศาจกระดูกขาวออกมาแล้ว และพอมาเห็นกระบี่สั้นสีเขียวที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณในมือเขา สีหน้าเกาชงก็ดูอึมครึมลง

“ฮึ! เจ้าคิดว่ามีอาวุธจิตวิญญาณชิ้นหนึ่งแล้วจะสามารถต้านทานข้าได้เหรอ ช่างเถอะ! ต่อไปนี้ข้าจะให้เจ้าได้รู้จักความร้ายกาจที่แท้จริงของฝีมือข้า!” ชายฉกรรจ์หัวล้านทำเสียงฮึดฮัด แล้วมือข้างหนึ่งก็คว้าไปยังถุงหนังหลายใบที่อยู่ตรงเอว และดึงมันออกมาทั้งหมด จากนั้นก็โยนขึ้นไปในอากาศพร้อมกับชกหมัดออกไปด้วยเสียงดัง “ฟู่!” “ฟู่!”

เมื่อมีเสียงแตกร้าวดังออกมา ถุงหนังทั้งหมดก็ถูกเงาหมัดชกใส่จนแตกละเอียด สิ่งของสีขาวขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือจำนวนมากร่วงพรูออกมาจากในนั้น

จากนั้นชายฉกรรจ์ทำท่ามือด้วยมือทั้งสองพร้อมกับร่ายคาถา ไอดำบนร่างม้วนตัวขึ้นไปอากาศแล้วห่อหุ้มสิ่งของที่ร่วงพรูไว้ และดึงมันกลับเข้ามา

ในเวลาเดียวกัน เกราะกระดูกบนตัวชายฉกรรจ์ก็ได้สลาย กลายเป็นไอสีดำหมุนวนล้อมรอบตัวเขาไว้ ครู่เดียวก็นำพาร่างเขาให้จมมิดอยู่ในนั้น

เสียงแผดร้องของปีศาจดังออกมาจากในนั้น ตอนแรกก็มีแค่เสียงสองเสียง แต่ครู่เดียวก็เปลี่ยนเป็นสิบกว่าเสียง หลายสิบสิบเสียง จนถึงเกือบร้อยเสียง ราวกับว่ามีปีศาจซ่อนอยู่ในนั้นเป็นจำนวนมาก

และไอดำที่หมุนวนก็ยิ่งขยายขนาดกว้างขึ้น พริบตาเดียวก็กินพื้นที่ไปสิบกว่าจั้ง

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็แอบตกใจเป็นอย่างมาก แต่ก็รีบสะบัดแขนเสื้อข้างหนึ่งไปยังฝั่งตรงข้าม ปรากฏคมวายุสิบกว่าเส้นตรงหน้าเขา แล้วมันก็ทยอยพุ่งยิงออกไปด้วยเสียงอันดังลั่น

หลังจากมีเสียงอันดังเกิดขึ้น คมวายุทั้งหมดจมเข้าไปในไอสีดำราวกับดินเหนียวที่จมหายไปในทะเล โดยไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา

แต่ในไอสีดำกลับมีเสียงแผดร้องของปีศาจที่ดูเหมือนจะโดนอะไรยั่วยุเข้าจนขยายขนาดใหญ่กว่าเดิม

พอหลิ่วหมิงทำหน้าเคร่งขรึม กระบี่สั้นสีเขียวในมือก็ส่งเสียงดังหวึ่งๆ พร้อมกับมีอักขระสีเขียวกะพริบผ่านไป

ปราณกระบี่สีเขียวขนาดยาวหลายฉื่อม้วนตัวออกไปจากกระบี่สั้น

เสียงดัง “ฟิ้ว!” แสงกระบี่สีเขียวฟันเข้าไปบนไอสีดำ ก่อให้เกิดประกายแสงเย็นสะท้านอันคมกริบ และไอสีดำก็โดนตัดผ่านราวกับตัดเต้าหู้ จากนั้นมันก็มุ่งไปยังใจกลางของไอสีดำ

ในขณะนั้นเองเสียงแผดร้องอันแหลมคมของปีศาจจำนวนมากได้ดังออกมาพร้อมกับที่มีหัวกระโหลกสีขาวขนาดเท่ากำปั้นสามหัวพุ่งออกมาจากไอสีดำ และปะทะโดนกับปราณกระบี่สีเขียว

เสียงดัง “ตู้ม!” “ตู้ม!” “ตู้ม!”

หัวกะโหลกทั้งสามหัวระเบิดออกมาเป็นแสงสีดำสามกลุ่ม

ปราณกระบี่สีเขียวเปล่งประกายวูบวาบอย่างบ้าคลั่ง แล้วก็หายไปพร้อมกันกับแสงสีดำ

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป และกำลังคิดที่จะทำอะไรบางอย่าง แต่ไอสีดำในฝั่งตรงข้ามกลับหมุนวนแล้วกลายเป็นกำแพงดำขนาดใหญ่พุ่งเข้ามา

ภายในไอสีดำอันพวยพุ่ง หัวกะโหลกแต่หัวต่างก็แผดเสียงร้องแปลกประหลาดออกมา ราวกับว่ามันมีเกือบร้อยกว่าหัว

หลิ่วหมิงได้เห็นถึงอานุภาพการระเบิดตัวของหัวกะโหลกทั้งสามหัวในก่อนหน้านั้นแล้ว พอมาเห็นสถานการณ์เช่นนี้เขาย่อมรู้สึกหวาดกลัวเป็นธรรมดา เขารีบทำท่ามือด้วยมือเดียวโดยไม่ต้องคิด แสงสีแดงเป็นจุดๆ ปรากฏตัวตรงด้านหน้า และขยายขนาดขึ้นมา ลูกเปลวไฟลูกหนึ่งได้ปรากฏขึ้นกลางอากาศ และขยายขนาดใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ครู่เดียวก็กลายเป็นลูกไฟยักษ์ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางครึ่งจั้ง ขณะเดียวกันสีมันก็แดงเข้มขึ้นเป็นอย่างมาก

“วิชากระสุนไฟขั้นสมบูรณ์แบบ!”

มีเสียงตกตะลึงของชายฉกรรจ์หัวล้านดังออกมาจากในไอสีดำที่ก่อตัวเป็นกำแพง ซึ่งกำลังดันเข้ามาห่างจากหลิ่วหมิงไม่ถึงเจ็ดแปดจั้ง และเขากำลังคิดที่จะถอนตัวกลับ

แต่ระยะห่างที่ใกล้ขนาดนี้ หลิ่วหมิงย่อมไม่ทิ้งโอกาสนี้ไปอย่างแน่นอน เขารีบผลักมือข้างหนึ่งออกไปทันที ลูกไฟยักษ์ปะทะเข้ากับกำแพงดังจนเกิดเสียงดังลั่น และหลังจากที่มีแสงสีแดงเปล่งออกมามันก็ระเบิดออกภายในพริบตา

เสียงดังสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วฟ้าและปฐพี!

เปลวไฟสีแดงคุโชนขึ้นมา แล้วกลายเป็นเมฆอัคคีสีแดงดำม้วนเอาสิ่งของทั้งหมดเข้าไปในนั้น

เมื่อหัวกะโหลกสีขาวเหล่านั้นถูกเปลวเพลิงอันคุโชนม้วนตัวผ่านไปมันก็ค่อยๆ ระเบิดออกมา

กำแพงดำกว่าครึ่งหนึ่งได้พังทลายไป

ในขณะนั้นเอง เงาร่างคนผู้หนึ่งได้กระเด็นออกไปจากขอบกำแพง

ประกายแสงอันเย็นยะเยือกเปล่งประกายผ่านดวงตาหลิ่วหมิง อักขระสีเขียวสองชั้นกะพริบผ่านกระบี่สั้นในมือไป จากนั้นแสงกระบี่สีเขียวเส้นหนึ่งก็ฟันออกไปทันที

ครั้งนี้แสงกระบี่สีเขียวเคลื่อนไหวรวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ มันฟันเข้าไปที่เอวของเงาร่างนั้นจนขาดเป็นสองส่วนอย่างรวดเร็วจนดูเป็นภาพเบลอ

สิ่งนี้ทำให้ศิษย์ที่อยู่ด้านล่างอุทานออกมาด้วยความตกใจ

แต่หลังจากที่สายตาหลิ่วหมิงดูจริงจังแล้ว สีหน้าก็ยังคงดูเคร่งขรึมเช่นเดิม

เงาร่างที่ถูกเขาฟันขาดไปนั้น แท้จริงแล้วเป็นแค่โครงกระดูกมนุษย์เท่านั้น

ขณะนี้เมฆอัคคีสีแดงดำได้ดับไปแล้ว เหลือไว้เพียงแค่ไอสีดำพวยพุ่ง จากนั้นมันเผยร่างของชายฉกรรจ์หัวล้านออกมา

แต่ตอนนี้ชุดคลุมดำบนร่างของเขาเปื่อยยุ่ยไปหมดแล้ว แม้แต่หน้ากากสีเลือดบนใบหน้าก็เสียหายไปส่วนหนึ่ง เผยให้เห็นบางส่วนของใบหน้าแห้งเหี่ยวสีเขียวหยกอันสยดสยอง

ทำให้คนที่พบเห็นรู้สึกเย็นสะท้านไปทั่วร่าง

ประจักษ์ชัดว่าลูกไฟยักษ์เมื่อครู่สร้างความเสียหายให้แก่เขาไม่น้อย

“ไม่คาดคิดว่าวิชากระสุนไฟของเจ้าก็ฝึกฝนจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว! เป็นไปได้อย่างไร!” ชายฉกรรจ์หัวล้านจ้องมองหน้าหลิ่วหมิงแล้วกล่าวพึมพำออกมา

“เรื่องที่ศิษย์พี่กู่คาดไม่ถึง เกรงว่ายังคงมีอีกเยอะ!” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างราบเรียบ ขณะเดียวกันก็ประเมินดูพลังเวทย์ที่เหลือ แล้วก็โยนกระบี่สั้นขึ้นไปในอากาศพร้อมกับทำท่ามือด้วยมือเดียว

อักขระสามชั้นกะพริบผ่านพื้นผิวของกระบี่สั้นสีเขียวไป จากนั้นมันก็หมุนตัวติ้วๆ กลายเป็นพระจันทร์สีเขียวกลมๆ และยังขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเปล่งประกายแสงเย็นสะท้านออกมา

และในขณะเดียวกัน แมงป่องกระดูกขาวก็กลายเป็นเงาร่างสีเขียวกระโจนเข้าใส่ชายฉกรรจ์หัวล้านด้วยเสียงดัง “ซู่!”

ก่อนที่มันจะกระโจนเข้าไปถึง หางตะขอตรงหลังก็กลายเป็นเส้นสีดำสิบกว่าเส้นโจมตีออกไป

ชายฉกรรจ์หัวล้านไม่ได้หลบหลีก แต่กลับทำเสียงฮึดฮัด เหยียบเท้าข้างหนึ่งลงบนพื้น เศษกระดูกด้านหน้าเขาพุ่งขึ้นฟ้าแล้วรวมตัวกันเป็นโล่กระดูกหนาๆ บังอยู่ด้านหน้าเขา

หลังจากมีเสียงดัง “ซู่!” “ซู่!” ก็บังเกิดรูสีดำเล็กๆ บนโล่กระดูกหลายสิบรู แต่มันก็สามารถต้านทานการโจมตีอันรวดเร็วของหางตะขอได้

แมงป่องกระดูกขาวส่งเรียงร้องแปลกประหลาดดังออกมา “แกว๊กๆ!” จากนั้นมันก็บิดตัวเพื่อที่จะกระโดดข้ามโล่กระดูกแล้วค่อยโจมตีชายฉกรรจ์

แต่ในขณะนั้นเอง ชายฉกรรจ์ก็มีสีหน้าแปลกประหลาด แล้วเขาเพียงแค่ยกมือชี้ผ่านอากาศไปยังโล่กระดูก

โล่กระดูกแตกกระจายออกมาในทันทีโดยไม่ทราบสาเหตุ เศษกระดูกจำนวนมากหมุนตัวติ้วๆ ล้อมรอบแมงป่องกระดูกขาวไว้ พริบตาเดียวก็กลายเป็นกรงกระดูกยักษ์ที่มีพื้นที่กว้างยาวหลายฉื่อ และมันก็ขังแมงป่องกระดูกขาวไว้ในนั้นแล้วหล่นลงมาตั้งไว้บนพื้น

แมงป่องกระดูกขาวพยายามดิ้นรนออกจากกรงกระดูกด้วยความตกใจ มันใช้ก้ามยักษ์ทุบตีอยู่ไม่หยุด แต่ก็ไม่สามารถหลุดออกมาได้

หลิ่วหมิงกำลังกระตุ้นดาบสั้นที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณบนอากาศ พอเขาเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก

แต่ในขณะนั้นเอง ชายฉกรรจ์หัวล้านได้กล่าวออกมาด้วยเสียงอันเยือกเย็น

“ศิษย์น้องไป๋ใช้พลังเวทย์ในการปล่อยวิชา และกระตุ้นอาวุธจิตวิญญาณต่อเนื่องกันเช่นนี้ เกรงว่าตอนนี้คงเหลือพลังเวทย์ไม่มากแล้วใช่ไหม!”

“ศิษย์พี่ใยต้องสนใจข้าด้วยเล่า ข้ามีพลังเวทย์เหลือไม่มากแล้วจริงๆ แต่เคล็ดวิชาที่ศิษย์พี่กู่ได้แสดงไปก่อนหน้านี้ มีวิชาไหนบ้างที่ไม่สูญเสียพลังเวทย์ไปจำนวนมากเช่นกัน” หลิ่วตอบกลับโดนไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้พวกเราใช้การโจมตีเดียวตัดสินแพ้ชนะไปเลยดีไหม?” ชายฉกรรจ์หัวล้านสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆ กล่าวออกมา

“ดีมาก ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน” หลิ่วหมิงตอบรับด้วยตาที่เป็นประกาย

ชายฉกรรจ์หัวล้านได้ยินก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เขาโบกแขนเสื้อไปยังพื้นด้านล่าง ไอดำบริเวณนั้นลอยเข้าไปในชุดคลุมของเขาจนทำให้มันกลับมาดูใหม่เหมือนเดิม ขณะเดียวกันหน้ากากสีแดงเลือดบนใบหน้าก็ซ่อมแซมกลับมาเป็นดังเดิม และปิดบังใบหน้าอัปลักษณ์ไว้อีกครั้ง

เปลวไฟสีเขียวบนหน้ากากเปล่งประกายขึ้นมาอีกครั้ง และลุกไหม้คุโชนขึ้นมา

จากนั้นชายฉกรรจ์ก็ชี้แขนไปที่พื้น เศษกระดูกที่หล่นอยู่บนพื้นสั่นไหวแล้วค่อยๆ ลอยขึ้นมารวมตัวอยู่ตรงด้านหน้าเขา

หลังจากมีเสียงแตกหักดังขึ้น!

กระบี่กระดูกอัปลักษณ์ยาวจั้งกว่าๆ ที่มีไอสีดำพันล้อมรอบเล่มหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศ

ชายฉกรรจ์หัวล้านอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกไปกลายเป็นหมอกเลือดจมหายเข้าไปในกระบี่กระดูก

ครู่ต่อมา กระบี่กระดูกยักษ์ที่เดิมทีเป็นสีขาวพลันเปล่งแสงสีเลือดออกมา มีอักขระสีเลือดแต่ละเส้นโผล่ขึ้นบนพื้นผิวของกระบี่ และบิดเบี้ยวไปมาราวกับสิ่งมีชีวิต และยังแผ่ไอเย็นสะท้านออกมา

“กระบี่กระดูกโลหิตปีศาจ! ไม่คาดคิดว่าศิษย์ผู้นี้จะฝึกฝนวิธีการควบคุมกระดูกในตำนานได้สำเร็จ มิเช่นนั้นคงไม่สามารถสร้างกระบี่เล่มนี้ได้”

บานลานหยก พออาจารย์จิตวิญญาณท่านหนึ่งเห็นเช่นนี้ก็หลุดปากออกมาอย่างอดไม่ได้

และพอประมุขนิกายปีศาจกับอาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นๆ เห็นหลิ่วหมิงปล่อยกระสุนไฟยักษ์ออกไปแล้วต่างก็มองหน้ากันครั้งหนึ่ง พอตอนนี้มองเห็นการปรากฏตัวของกระบี่กระดูกยักษ์นี้อีกต่างก็มีสีหน้าที่ประหลาดใจเป็นอย่างมาก

กุยหรูฉวนตะลึงงันอย่างถึงที่สุด

พอหลิ่วหมิงเห็นลักษณะอันแปลกประหลาดของกระบี่กระดูกยักษ์แล้วก็รู้สึกตกตะลึงเช่นกัน

แต่มาจนถึงขั้นนี้แล้ว เขาไม่มีความคิดที่จะถอยเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่กระตุ้นพลังเวทย์ภายในร่างอย่างบ้าคลั่ง แล้วส่งมันไปยังกระบี่สั้นบนอากาศ

ตอนนี้พระจันทร์ลูกกลมๆ ที่กลายร่างมาจากอาวุธจิตวิญญาณมีขนาดใหญ่เท่าล้อรถแล้ว และเป็นเพราะการหมุนวนที่รวดเร็วมันก็เริ่มมีเสียงดังประหลาดออกมาจากในนั้น และจากการกระตุ้นพลังเวทย์เข้าใส่อย่างต่อเนื่องทำให้มันขยายขนาดขึ้นอยู่ไม่หยุด

ชายฉกรรจ์หัวล้านที่เดิมทีมีแผนอยู่ในใจ พอเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกสั่นสะท้าน เขารีบยื่นมือทั้งสองออกไปอย่างไม่ลังเล และคว้าเอากระบี่กระดูกขึ้นมาตั้งขวางไว้ด้านหน้าเขา

ชุดคลุมสีดำบนตัวเขาส่งเสียงดัง “ฟู่!” แล้วกลายเป็นไอดำพุ่งไปพันวนกระบี่กระดูกไว้หลายรอบ จากนั้นก็กลายเป็นเปลวไฟสีดำอันร้อนแรง

กลิ่นไอบนกระบี่ยักษ์อัปลักษณ์แผ่ออกมามากยิ่งขึ้น

ชายฉกรรจ์หัวล้านตะคอกเสียงออกมาพร้อมกับออกแรงที่แขนทั้งสอง แล้วกวัดแกว่งกระบี่กระดูกยักษ์ฟาดฟันออกไปอย่างรุนแรง

เสียงดัง “ตู้ม!”

มังกรสีเลือดยาวสิบกว่าจั้งม้วนตัวออกจากกระบี่กระดูก มันแยกเขี้ยวยิงฟันแผดเสียงร้องแปลกประหลาดพุ่งเข้าใส่หลิ่วหมิง พื้นที่ว่างที่มันพุ่งผ่านไปดูบิดเบี้ยว และพร่ามัว

และในขณะที่กระบี่เล่มนี้ฟันออกไป กระบี่กระดูกอัปลักษณ์ และหน้ากากบนใบหน้าของชายฉกรรจ์ ก็ได้แตกละเอียดออกมาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

“ฟัน!”

พอหลิ่วหมิงตะคอกเสียงต่ำไป พระจันทร์กลมๆ สีเขียวบนอากาศก็สั่นไหวแล้วพุ่งลงมาด้วยเสียงอันดังแหลมแสบแก้วหู

……………………………………….

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset