ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 638 ศิษย์สายตรง

ภายในห้องข้างห้องโถงบางแห่งในยอดเขากระบี่สวรรค์ หลงเหยียนเฟยกำลังจ้องมองผนังที่มีแสงสีขาวสลัวๆ ด้วยสีหน้าครุ่นคิด

ขณะนี้ ชายชุดคลุมผ้าแพรสีขาวผู้หนึ่งก็ผลักประตูเข้ามา และก้าวมาด้านหลังของหลงเหยียนเฟยอย่างรวดเร็ว เขาก็คือซาทงเทียนนั่นเอง

“ศิษย์พี่หลง ได้ยินมาว่าหลิ่วหมิงทะลวงคอขวดระดับผลึกได้แล้วจริงหรือ?” ซาทงเทียนถามออกมาเช่นนี้ น้ำเสียงของเขามีความตื่นเต้นแฝงอยู่เล็กน้อย

“อืม! ข้าก็เพิ่งได้ยินเรื่องนี้ แม้จะบอกว่าคุณสมบัติร่างสามชีพจรจิตวิญญาณจะมีโอกาสทะลวงเขตแดนระดับผลึกน้อยมาก แต่ข้าได้ยินมาว่าเขาใช้แต้มคุณูปการจำนวนมาก เพื่อยืมใช้กระจกหยินหยางแยกผสาน เช่นนี้แล้วการทะลวงคอขวดระดับผลึกก็มีโอกาสเป็นได้เล็กน้อย ทำไมล่ะ! ดูเหมือนว่าศิษย์น้องซาจะรู้สึกดีใจเล็กน้อย?” หลงเหยียนเฟยหันมามองซาทงเทียนทีหนึ่ง และกล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“ดี! ดีมาก! เดิมทีข้าคิดว่าชาตินี้จะไม่มีโอกาสต่อสู้กับเขาแล้ว!” ซาทงเทียนแหงนหน้าหัวเราะออกมาทันที จากนั้นก็โยนแผ่นค่ายกลส่งเสียงลงบนตั่งน้ำชาตรงหน้าหลงเหยียนเฟย และหมุนตัวเดินจากไปทันที

หลังจากเขาเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว เดิมทีคิดว่าการฝึกฝนของหลิ่วหมิงจะหยุดอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นปลายตลอดชีวิต แม้ว่าวิชาขี่กระบี่ของเขาจะร้ายกาจแค่ไหน แต่ต้องมีสักวันที่ตนเองจะเหนือกว่า ด้วยเหตุนี้จึงรู้สึกเสียใจดายมาโดยตลอด

หลงเหยียนเฟยมองดูทิศทางที่ซาทงเทียนจากไปด้วยสีหน้าซับซ้อน ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่

……

ภายในห้องลับแห่งหนึ่งในหุบเขาเลื่อนลอย ในมือของเจียหลานก็คีบแผ่นหยกส่งสารสีฟ้าจางๆ อยู่เช่นกัน มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของนาง

ดวงตาของนางเป็นประกายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หลับตาทั้งคู่ลง เพื่อสงบจิตสงบใจเข้าสู่สมาธิ

ไม่รู้ว่าใครปล่อยข่าวเรื่องที่หลิ่วหมิงอาศัยร่างสามชีพจรจิตวิญญาณทะลวงระดับผลึกสำเร็จออกไป พริบตาเดียวก็เกิดความฮือฮาขึ้นมา ราวกับว่าเวลาแค่ไม่กี่วันข่าวนี้ก็แพร่สะบัดไปครึ่งค่อนเทือกเขาหมื่นวิญญาณแล้ว

ศิษย์ธรรมดาที่มีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกทั้งตกใจและดีใจในคราเดียวกัน

และข่าวเกี่ยวกับหลิ่วหมิงจำนวนหนึ่งในก่อนหน้านั้น เช่นการได้ที่หนึ่งในงานประลองใหญ่ของศิษย์สายนอกแต่กลับไม่มีผู้ควบคุมยอดเขาท่านใดรับเป็นศิษย์ จึงอาศัยการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายฝ่าด่านเจดีย์ชั้นที่สามสิบหก หลังจากผ่านไปหลายปี ข่าวที่เงียบหายไปนานเหล่านี้ ก็กลับมาเป็นหนึ่งในหัวข้อสนทนาหลังอาหารของบรรดาศิษย์ต่างๆ

ขณะเดียวกัน บนเขาลูกหนึ่งที่อยู่บริเวณยอดเขาลั่วโยว ภายในถ้ำลึกลับที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ มีปราณหยินหนาแน่นปกคลุมอยู่

“อาจารย์ ในยอดเขามีคนทะลวงเขตแดนระดับผลึกอีกแล้ว” ชายหนุ่มชุดคลุมสีดำกล่าวรายงานอยู่นอกห้องลับด้วยท่าทีนอบน้อม

“เฟิงเอ๋อร์ ไม่ใช่บอกเจ้าแล้วหรือว่าอาจารย์กำลังกักตัวอยู่ หากไม่มีเรื่องสำคัญอะไรก็ไม่ต้องมารบกวนข้า” มีเสียงทุ้มต่ำของผู้อาวุโสท่านหนึ่งดังมาจากด้านใน

“ทราบ! ศิษย์ผิดไปแล้วที่รบกวนการฝึกฝนของอาจารย์” ชายหนุ่มชุดคลุมสีดำหมุนตัวเดินจากไป

“เดี๋ยวก่อน ครั้งนี้คือศิษย์ผู้ใดที่เข้าสู่ระดับผลึก? อาจารย์เพิ่งกักตัวได้สองปีเท่านั้น ศิษย์ระดับของเหลวของยอดเขาลั่วโยวก็มีแค่สิบกว่าคน และไม่ค้นพบว่าใครจะมีพลังแฝงพอที่จะทะลวงระดับผลึกภายในระยะเวลาสั้นๆ เช่นนี้ได้” น้ำเสียงทุ้มต่ำในห้องลับดังขึ้นอีกครั้ง

“เรียนอาจารย์ คือหลิ่วหมิง ศิษย์น้องหลิ่วผู้นั้น” ชายหนุ่มชุดดำได้ยินก็หมุนตัวกลับมาตอบอย่างรวดเร็ว

“อะไรนะ?”

กลิ่นไออันแข็งแกร่งแผ่ออกจากห้องลับในทันที ปราณหยินพุ่งออกจากรอยแยกของประตูใหญ่

“เพล้ง!” แสงสีดำเปล่งประกายบนประตูสีเทา พริบตาเดียวมันก็เปิดออกมา ชายวัยกลางคนที่มีปราณหยินรายล้อมม้วนตัวออกมา คนผู้นี้ก็คือผู้อาวุโสแซ่อวี๋ที่มีผมสีขาวเล็กน้อย ซึ่งหลิ่วหมิงเคยพบตอนที่เข้ามาในยอดเขาลั่วโยววันนั้น

“คือศิษย์สายนอกที่อาศัยการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายฝ่าด่านเจดีย์ชั้นที่สามสิบหก และกราบตัวเป็นศิษย์ยอดเขาเราในวันนั้นหรือ?” พอชายวัยกลางคนเก็บปราณหยินรอบตัว ก็เผยให้เห็นใบหน้าที่ค่อนข้างงดงาม ซึ่งไม่สอดคล้องกับน้ำเสียงของเขาเลยแม้แต่น้อย จากนั้นก็ถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“คือคนผู้นี้” ชายหนุ่มชุดคลุมสีดำถูกแรงกดดันมหาศาลจนร่นถอยไปก้าวหนึ่งถึงทรงตัวไว้ได้อย่างยากลำบาก

“ตามที่ข้าทราบมา หลังจากเจ้าเด็กนี่มอบตัวเป็นศิษย์ยอดเขาลั่วโยวแล้ว ยังไม่ถูกผู้อาวุโสท่านใดรับเป็นศิษย์เลย วันนั้นข้าก็เป็นกังวลกับทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด จึงไม่ได้รับเขาเป็นศิษย์ แต่ในเมื่อตอนนี้เขาเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว สถานการณ์ย่อมแตกต่างกัน เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้เจ้าเด็กนี่อยู่ที่ใด?” ชายวัยกลางคนพูดพึมพำด้วยสีหน้าครุ่นคิด จากนั้นก็ถามชายหนุ่มชุดดำตรงหน้า

“คิดว่าศิษย์น้องหลิ่วยังคงปรับสมดุลอยู่ในวังหลีเหอ แต่คาดว่าอีกสองวันคงจะออกมาแล้ว” ชายหนุ่มชุดดำคิดไปคิดมาอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบออกมา

“ดีมาก! เจ้าไปรอที่ถ้ำของเขา พอเห็นศิษย์ผู้นี้ก็บอกว่าข้าอยากพบเขา นำเขามาหาข้าด้วย” ชายวัยกลางคนสั่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นปราณหยินก็ม้วนตัวเขากลับไปในห้องลับอีกครั้ง และประตูห้องลับก็ถูกไอหมอกสีเทาปกคลุมไว้

ชายหนุ่มชุดดำตอบรับในทันที จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไป และขี่เมฆดำพุ่งไปทางยอดเขาลั่วโยว

เหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันเกิดขึ้นภายในถ้ำที่พักของผู้อาวุโสท่านอื่นๆ หลังจากผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้รับรู้เรื่องของหลิ่วหมิง ก็มีความคิดที่จะรับเขาเป็นศิษย์ขึ้นมา

แต่ทว่าในขณะที่ผู้อาวุโสเหล่านี้ส่งศิษย์ออกไปเรียกหลิ่วหมิงเข้าพบนั้น ต่างก็ได้รับข่าวที่ทำให้พวกเขาต้องแอบตำหนิอยู่ในใจ

ที่แท้ในวันที่หลิ่วหมิงออกจากการกักตัวนั้น อินจิ่วหลิงได้ส่งคนมาเรียกตัวหลิ่วหมิงไปเข้าพบที่วิหารใหญ่ของยอดเขาลั่วโยวแล้ว

……

เมฆดำก้อนหนึ่งพุ่งมาถึงด้านนอกห้องโถงหลักของยอดเขาลั่วโยว พอแสงดับลงก็เผยให้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มชุดดำ ซึ่งเขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง

หลังจากเข้าสู่ระดับผลึกสำเร็จ เขาก็อยู่ในห้องหินภายในวังหลีเหอต่ออีกหลายวัน จากนั้นก็คิดจะกลับไปปรับสมดุลระดับการฝึกฝนให้มั่นคงที่ห้องลับภายในถ้ำของตัวเองสักระยะหนึ่ง

แต่พอออกจากวังหลีเหอ ก็ได้รับข่าวจากอินจิ่วหลิงว่าให้มาพบที่ห้องโถงหลัก

ในเมื่อผู้ควบคุมยอดเขาเรียกพบ เขาย่อมไม่อาจปฏิเสธได้ จึงมุ่งตรงมาที่ยอดเขาลั่วโยวทันที

ขณะนี้อินจิ่วหลิงกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หลักที่วางอยู่ตรงกลางสุด ดูเหมือนเขาจะรอหลิ่วหมิงมาพักหนึ่งแล้ว

“ศิษย์คารวะผู้ควบคุมยอดเขา” พอหลิ่วหมิงเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ ก็ก้าวไปคารวะอย่างนอบน้อม

“หลิ่วหมิง วันนั้นที่เจ้ากับเสี่ยวอู่ช่วยข้าเอากวางจิตวิญญาณเก้าสีมาได้นั้น ข้าก็ค้นพบว่าเจ้ามีพลังไม่ธรรมดา คิดไม่ถึงว่าภายในระยะเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่ปี เจ้าก็สามารถทะลวงคอขวดระดับผลึกด้วยร่างสามชีพจรจิตวิญญาณได้ ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก!” น้ำเสียงของอินจิ่วหลิงดูหนักแน่นกว่าปกติเล็กน้อย และใบหน้าแห้งเหี่ยวครึ่งซีก ก็มีรอยยิ้มปรากฏออกมาจางๆ

“ท่านผู้ควบคุมชมเกินไปแล้ว ข้าน้อยก็แค่บังเอิญโชคดีเท่านั้น” หลิ่วหมิงก้มหน้าเล็กน้อย และกล่าวอย่างนอบน้อม

“ช่างเป็นการบังเอิญที่โชคดีมาก! ในเมื่อเจ้าเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว ไม่ว่าภายหน้าจะเป็นเช่นไร ตอนนี้ก็มีคุณสมบัติเป็นศิษย์สายตรงของยอดเขาเราแล้ว ข้าจะไม่พูดจาให้มากความ ตอนนี้อยากถามเจ้าว่า ยินดีเป็นศิษย์ของข้าหรือไม่?” อินจิ่วหลิงปรบมือหัวเราะเป็นการใหญ่ และถามออกมาในทันที

“ศิษย์ย่อมยินดีอย่างแน่นอน!” แม้หลิ่วหมิงจะคาดเดาได้ลางๆ ตั้งแต่แรกแล้ว แต่พอได้ยินก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก จากนั้นก็โค้งตัวตอบรับอย่างไม่ลังเล

สำหรับเขาแล้ว การที่ได้อยู่ใต้สังกัดระดับแก่นแท้ผู้หนึ่ง เป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นอินจิ่วหลิงที่เป็นผู้ควบคุมยอดเขาด้วย

“ดี! นับจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าก็เป็นศิษย์สายตรงของข้าอินจิ่วหลิงแล้ว” สีหน้าที่มักจะดูเย็นชาของอินจิ่วหลิง กลับกล่าวออกพร้อมเสียงหัวเราะ

“ศิษย์หลิ่วหมิง คารวะอาจารย์” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้านอบน้อม และคำนับอย่างเป็นทางการอีกครั้ง

อินจิ่วหลิงพยักหน้าเล็กน้อย พอโบกแขนเสื้อด้วยสีหน้าดีใจ ยันต์สีทองผืนหนึ่งก็พุ่งออกมา หลังจากโบกสะบัดกลางอากาศทีหนึ่ง มันก็ค่อยๆ ร่วงลงบนมือหลิ่วหมิง

“นี่คือยันต์จันทราฟ้าร้อง อานุภาพของมันเทียบเท่ากับการโจมตีด้วยพลังทั้งหมดของระดับแก่นแท้ ถือว่าเป็นของขวัญจากอาจารย์ที่มอบให้เจ้าในวันนี้ เผื่อภายหน้าพบเจอกับศัตรูที่แข็งแกร่ง ก็สามารถใช้รักษาชีวิตไว้ได้” อินจิ่วหลิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ขอบคุณอาจารย์” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกดีใจมาก จากนั้นก็เก็บยันต์สีทองอร่ามผืนนี้เข้าในแหวนย่อส่วนอย่างระมัดระวัง

จากนั้นหลิ่วหมิงก็ถามปัญหาเกี่ยวกับการฝึกฝนกับอาจารย์อินจิ่วหลิงผู้นี้เล็กน้อย และอินจิ่วหลิงก็ค่อยๆ อธิบายอย่างใจเย็น ทั้งยังแบ่งปันเรื่องราวที่ต้องใส่ใจในขณะที่เพิ่งเข้าสู่ระดับผลึกให้กับหลิ่วหมิงด้วย

ผ่านไปราวๆ สองชั่วยาม หลิ่วหมิงถึงกล่าวลาอินจิ่วหลิง และขี่เมฆเหาะกลับไปยังถ้ำที่พักของตนเอง

จากนั้นไม่นาน ข่าวที่หลิ่วหมิงถูกอินจิ่วหลิงรับเป็นศิษย์สายตรง ก็แพร่กระจายไปทั่วยอดเขาลั่วโยว

หลังจากผู้อาวุโสระดับผลึกหลายคนที่อยากจะรับหลิ่วหมิงเป็นศิษย์ได้รับรายงานจากศิษย์ที่ส่งออกไป ก็อดทอดถอนใจไม่ได้ที่อินจิ่วหลิงลงมือรวดเร็วเช่นนี้ โดยเฉพาะผู้อาวุโสแซ่อวี๋ผู้นั้น ต้องกลัดกลุ้มเป็นทุกข์เพราะเรื่องนี้อยู่ช่วงหนึ่ง

แต่ในเมื่อหลิ่วหมิงกราบตัวเป็นศิษย์สายตรงของอินจิ่วหลิงแล้ว คนเหล่านี้ก็ไม่อาจพูดอะไรได้มาก จึงได้แต่ปล่อยไปเช่นนี้

……

ห้องลับภายในถ้ำบนยอดเขาลั่วโยว

หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะสีเหลืองกลมๆ อันหนึ่ง ดวงตาทั้งคู่หลับสนิท และกำลังตรวจสอบดูทะเลจิตรับรู้ของตนเองอยู่

ขณะนี้ นาฬิกาทรายบนศิลาหุนเทียนที่วางอยู่ในทะเลจิตรับรู้อย่างเงียบๆ ก็เหลืออยู่ไม่มากแล้ว เวลาที่ฟองอากาศลึกลับจะออกมาดูดกลืนพลังเวท ก็คงอีกไม่นานแล้ว ตามที่หลัวโหวกล่าวไว้ คงเหลือเวลาแค่หนึ่งปีกว่าๆ

ขณะนี้ หลิ่วหมิงบรรลุระดับผลึกแล้ว ทั้งยังเกาะผลึกพลังเวทออกมาได้มาก ซึ่งมากกว่าศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณสวรรค์หลายเม็ด

ผลึกพลังเวทที่ปรากฏในภายหลังแปลกมหัศจรรย์มาก หลังจากเขาคิดไตร่ตรองอย่างละเอียดในภายหลังแล้ว คาดว่าคงจะเกี่ยวข้องกับจิตปีศาจบนตัวเขา หรือไม่ก็เกี่ยวข้องกับผลึกแปลกประหลาดในหัวปีศาจยักษ์ที่กลืนกินเข้าไปในตอนที่กลายร่างเป็นปีศาจในวันนั้

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หลังจากเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว พลังเวทก็เพิ่มขึ้นมาอย่างน่าตกใจ คิดว่าคงรับมือกับการดูดกลืนพลังเวทของฟองอากาศลึกลับในครั้งหน้าได้อย่างไม่มีปัญหา

และเขาเพิ่งทะลวงระดับผลึกขั้นต้น หากคิดจะยกระดับพลังเวทอีกครั้ง ยังจำเป็นต้องอาศัยโอสถด้วย

แม้จะบอกว่าเขาปรุงโอสถผลึกเย็นเข้าสู่ระดับสูงแล้ว ซึ่งโอสถนี้เห็นผลในระดับของเหลวอย่างชัดเจน แต่สำหรับระดับผลึกแล้ว มันมีผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยังต้องหาตำราโอสถที่ช่วยเพิ่มพลังเวทของระดับผลึกถึงจะได้

หลิ่วคิดไตร่ตรองเช่นนี้อยู่พักหนึ่ง จากนั้นความคิดก็เปลี่ยนไปทันที เขานำสุราคุณภาพเยี่ยมขวดนั้นกับถุงอสูรจิตวิญญาณที่ใส่หมึกน้อยแปดขาใบนั้นออกจากแหวนย่อส่วน

เขาเปิดปากถุงเบาๆ พอกวาดจิตมองดู ก็ค้นพบว่าหมึกแปดขาในนั้นที่เคยมีขนาดชุ่นกว่าๆ ได้ขยายใหญ่ครึ่งฉื่อแล้ว แต่พอใช้วิชาเชื่อมจิตสื่อสารกับมัน ก็ยังคงไม่ท่าทีตอบสนองใดๆ

หลายปีมานี้ เพียงแค่เขามีเวลาก็จะโยนหินจิตวิญญาณลงไปในถุงอสูรจิตวิญญาณสองสามก้อน ให้มันได้ดูดซับปราณจิตวิญญาณ หลังจากบ่มเพาะมาหลายปี แม้มันจะยังไม่มีการรับรู้ใดๆ แต่กลิ่นไอที่แผ่ออกมาก็อยู่ที่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายแล้ว

………………………………

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset