ต่อมา หลิ่วหมิงก็เปิดขวดที่บรรจุสุราคุณภาพเยี่ยมออกมา และเทของเหลวเหนียวๆ สีขาวน้ำนมทั้งหมดลงไปในถุงอสูรจิตวิญญาณ ทันใดนั้น กลิ่นไอที่เต็มไปด้วยพลัง ก็แผ่ออกจากถุงอสูรจิตวิญญาณ
แม้ว่าดวงตาขนาดเท่าเม็ดถั่วของหมึกน้อยแปดขาจะยังคงไร้ความรู้สึก แต่มันสามารถอ้าปากดูดกลืนสุราคุณภาพเยี่ยมเหล่านี้แล้ว
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เผยสีหน้าพอใจออกมา จากนั้นก็เก็บถุงอสูรจิตวิญญาณเข้าไปในมุมหนึ่งของแหวนย่อส่วน
หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ เขาก็ไปจากถ้ำที่พักอีกครั้ง พอทำท่ามือ เมฆดำก้อนหนึ่งก็ยกร่างของเขาขึ้นมา และพุ่งไปทางตลาดในนิกาย
หลังจากเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว การขี่เมฆของหลิ่วหมิงย่อมเร็วกว่าก่อนหน้านั้นไม่น้อย ชั่วเวลาแค่หนึ่งถ้วยชา ก็มาถึงตลาดในนิกายที่มีผู้คนแออัดแล้ว
แต่หลังจากผ่านไปครึ่งวัน หลิ่วหมิงกลับเดินออกจากตลาดด้วยสีหน้าผิดหวัง
หลังจากเดินวนในตลาดไปหนึ่งรอบ ดูเหมือนว่าร้านโอสถ และร้านรวบรวมคัมภีร์ไม่มีตำราโอสถที่เหมาะสมกับเขาเลย ในระหว่างนี้ เขาก็ผ่านการสอบถามข้อมูลบางอย่าง ถึงรู้ว่าตำราโอสถระดับผลึกขึ้นไปมีน้อยมาก ดังนั้นปกติจะไม่มีขายในนิกาย ซึ่งได้แต่ใช้แต้มคุณูปการไปแลกที่หอเก็บคัมภีร์ หรือไม่ก็ไปเสี่ยงดวงดูที่ตลาดอื่นๆ เท่านั้น
ตอนที่หลิ่วหมิงไปหาประสบการณ์ภายนอกในก่อนหน้านั้น ก็ค้นพบตั้งแต่แรกแล้วว่า ตำราโอสถระดับผลึกในตลาดข้างนอกก็มีอยู่น้อยมาก โดยปกติจะมีในงานประมูลบางอย่างเท่านั้น อีกอย่างส่วนมากก็เป็นตำราโอสถที่ไม่ค่อยเหมาะสมกับเขา ทั้งยังตามหาวัตถุดิบได้ยากมาก
เช่นนี้ เขาคงได้แต่ไปเสี่ยงดวงเอาที่หอเก็บคัมภีร์แล้ว ดูสิว่าจะหาตำราโอสถที่เหมาะสมกับตัวเองได้หรือไม่
หลิ่วหมิงตัดสินใจตามนี้ จากนั้นก็ทำท่ามือโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และเหยียบเมฆดำพุ่งไปยังหอเก็บคัมภีร์อย่างรวดเร็ว
ภายในหอเก็บคัมภีร์ หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าชั้นไม้สีดำที่มีตำราโอสถเฉพาะจัดวางอยู่ เขานำแผ่นหยกแต่ละแผ่นที่บันทึกตำราโอสถมาแปะบนหน้าผาก และอ่านดูอย่างละเอียด
ผ่านไปราวๆ สองชั่วยาม หลิ่วหมิงถึงถูกใจตำราโอสถชนิดหนึ่งที่สามารถเพิ่มพลังเวทได้ คิดไม่ถึงว่าจะใช้แต้มคุณูปการมากถึงหนึ่งแสนแต้ม แต่ขณะที่เขากัดฟันเพื่อที่จะแลกตำราโอสถนั้น ป้ายประจำตัวของเขากลับไม่อาจหักแต้มคุณูปการเพื่อเปิดชั้นจำกัดบนตำราโอสถได้
เขารีบลุกขึ้นมาด้วยความแปลกใจ และเดินกลับไปยังชั้นหนึ่งของหอทันที จากนั้นก็สอบถามศิษย์ดำเนินการที่เคยคุยผูกไมตรีในก่อนหน้า
“พี่หลี่ว์ ข้ายากจะแลกตำราโอสถแฝงจิตวิญญาณ แต่กลับไม่สามารถเปิดชั้นจำกัดได้ ศิษย์พี่พอจะทราบหรือไม่ว่าเป็นเพราะเหตุใด?” หลิ่วหมิงกุมมือคารวะศิษย์ดำเนินการรูปร่างอวบอ้วนผู้นี้แล้วถามออกมา
“พี่หลิ่วควรเปลี่ยนคำเรียกได้แล้ว แม้ข้าจะเข้านิกายเร็วกว่าท่าน แต่ตอนนี้ท่านเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว ไม่จำเป็นต้องเรียกข้าว่าศิษย์พี่อีก ข้ามิอาจรับได้ ส่วนในเรื่องของตำราโอสถนั้น……ไม่ทราบว่าพี่หลิ่วมีสถานะเป็นผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่ได้รับการยอมรับจากนิกายหรือไม่?” ศิษย์อวบอ้วนกล่าวด้วยสีหน้านอบน้อม และคารวะหลิ่วหมิงก่อนกล่าวออกมา
“สถานะผู้เชี่ยวการปรุงโอสถที่ได้รับการยอมรับจากนิกาย? อธิบายให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่!” หลิ่วหมิงได้ยินก็เผยสีหน้าแปลกใจออกมา
“พี่หลิ่วไม่รู้อะไร ตำราโอสถระดับผลึกขึ้นไปนี้ มีเงื่อนไขคือต้องเป็นศิษย์สายใน ทั้งยังต้องมีสถานะเป็นผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่ได้รับการยอมรับจากนิกายถึงจะสามารถใช้แต้มคุณูปการแลกได้ หากศิษย์น้องอยากแลกตำราโอสถนี้จริงๆ เกรงว่าต้องไปที่ยอดเตาหลอมจิตวิญญาณสักรอบ เพื่อยืนยันสถานะผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถถึงจะได้” ชายร่างอวบอ้วนอธิบาย
สำหรับยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณที่กล่าวถึงนั้น ในขณะที่หลิ่วหมิงฝ่าด่านเจดีย์ซวีหลิงชั้นที่สามสิบหกได้ และทำการเลือกยอดเขาที่สังกัดนั้น ก็เคยเห็นการแนะนำที่เกี่ยวข้องมาแล้ว
ยอดเขานี้เป็นยอดเขาเดียวในนิกายยอดบริสุทธิ์ที่อาศัยการฝึกฝนปรุงโอสถเป็นหลัก ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถส่วนใหญ่ของนิกายยอดบริสุทธิ์จะมาจากที่นี่ ขณะเดียวกัน โอสถส่วนมากในนิกายก็มาจากยอดเขานี้ด้วย ด้วยเหตุนี้ระดับการฝึกฝนของศิษย์ในยอดเขานี้ อาจดูจะไม่เตะตา แต่ว่าตำแหน่งในนิกายนั้นอยู่เหนือกว่ามาก
“พี่หลี่ว์รู้หรือไม่ว่าสถานะผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถต้องยืนยันอย่างไร?” หลิ่วมีสีหน้าเข้าใจขึ้นมาทันที จากนั้นก็สอบถามต่อ
“ส่วนเรื่องที่ว่าจะยืนยันอย่างไรนั้น ข้ารู้มาไม่มาก แต่ว่าศิษย์น้องหลิ่วไปสอบถามเล็กน้อย ก็คงจะรู้เอง” ศิษย์ร่างอวบอ้วนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณพี่หลี่ว์ที่บอก ข้ายังมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ ต้องขอตัวก่อนแล้ว” หลิ่วหมิงพยักหน้าให้กับศิษย์ร่างอวบอ้วน จากนั้นก็ก้าวยาวๆ ออกไปจากหอเก็บคัมภีร์
เมื่อเขาเดินมาถึงประตูทางออกนั้น ก็นำแผนที่เทือกเขาหมื่นวิญญาณมาดูทีหนึ่ง จากนั้นก็ขี่เมฆพุ่งไปยังยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณ
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม เมฆดำก้อนหนึ่งก็พุ่งมาถึงยอดเขาเขียวชอุ่มที่มีเมฆหมอกลอยวนเวียน จากนั้นหลิ่วหมิงก็กระโดดลงมา
ยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณมีรูปร่างแปลกมหัศจรรย์เป็นอย่างมาก มองเห็นเตาหลอมสีเขียวมรกตจากระยะไกล และส่วนบนของยอดเขา ล้วนเป็นพื้นที่ราบขนาดใหญ่ รอบด้านมีหินขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่หลายก้อน
ใจกลางพื้นที่ราบก็มีวิหารขนาดต่างๆ ตั้งอยู่ บนวิหารที่มีขนาดใหญ่โตที่สุด มีอักขระสีทองเขียนอยู่อย่างชัดเจน ‘วิหารเตาหลอมจิตวิญญาณ’
และด้านหลังของวิหารหลักก็เป็นสิ่งก่อสร้างทรงเจดีย์ปลายแหลม ซึ่งเป็นสถานที่ปรุงโอสถของยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณ และก็เป็นสถานที่ยืนยันคุณสมบัติของผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถ
หลิ่วหมิงสังเกตดูบรรยากาศรอบๆ แบบผ่านๆ จากนั้นก็เดินไปยังเจดีย์แหลมๆ ตรงด้านหลัง
เขาบอกจุดประสงค์ที่มากับศิษย์ดำเนินการหน้าประตู และนำป้ายศิษย์นิกายสายในออกมา จากนั้นก็เดินเข้าไปในเจดีย์ชั้นหนึ่ง
สิ่งก่อสร้างแห่งนี้เป็นห้องโถงที่ค่อนข้างกว้างแห่งหนึ่ง พอหลิ่วหมิงก้าวเข้าไปด้านใน ก็ค้นพบว่ามีคนยืนอยู่ยี่สิบกว่าคน
พอเห็นหลิ่วหมิงเข้ามา ชายหนุ่มเตี้ยๆ ที่สวมชุดศิษย์นิกายเตาหลอมจิตวิญญาณก็เดินมารับ
“ศิษย์พี่ผู้นี้มารับโอสถแทนผู้ควบคุมหรือผู้อาวุโสท่านใดหรือ?” ดูเหมือนชายหนุ่มร่างเตี้ยจะรับรู้ถึงกลิ่นไอระดับผลึกบนตัวหลิ่วหมิงได้ จึงกล่าวออกมาอย่างนอบน้อม
“ข้ามาทำการยืนยันสถานะผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถ ใช่สถานที่แห่งนี้หรือไม่?” หลิ่วหมิงเลิกคิ้วถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“อ๋อ! ที่แท้ศิษย์พี่ก็มายืนยันสถานะผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถ ทุกเดือนทางยอดเขาเราจะจัดพิธีทดสอบหนึ่งครั้ง ศิษย์พี่มาได้ประจวบเหมาะพอดี อีกสามวันให้หลังจะมีหนึ่งรอบ ศิษย์พี่เพียงแค่ลงชื่อไว้ที่นี่ พอถึงเวลานั้นก็ไปห้องปรุงโอสถชั้นสามก็พอแล้ว พอถึงเวลาจะมีผู้อาวุโสของยอดเขาเราไปทำการทดสอบด้วยตนเอง” ชายหนุ่มร่างเตี้ยแสดงสีหน้าเข้าใจในทันที จากนั้นก็พลิกฝ่ามือนำแผ่นหยกออกมาอันหนึ่ง และกล่าวออกมา
“ศิษย์น้องรู้หรือไม่ว่า ทำอย่างไรถึงจะผ่านการยืนยันสถานะผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถได้?” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็นำป้ายบนเอวยื่นให้ทันที จากนั้นก็ทำเป็นถามอย่างไม่ใส่ใจ
“ศิษย์พี่ต้องเตรียมวัตถุดิบปรุงโอสถเอง และพอถึงเวลานั้นก็ปรุงโอสถระดับของเหลวออกมาเตาหนึ่งก็ได้แล้ว ผู้อาวุโสยอดเขาเราจะทำการยอมรับจากอัตราความสำเร็จและคุณภาพของโอสถ โดยปกติอัตราปรุงสำเร็จหกส่วนขึ้นไป ก็ผ่านการยอมรับแล้ว” ชายร่างเตี้ยรับป้ายหลิ่วหมิงมา และโบกมันเหนือแผ่นหยกเบาๆ ก่อนยื่นคืนให้ ขณะเดียวกันก็บอกทุกสิ่งที่เขารู้ให้กับหลิ่วหมิง
“ขอบคุณศิษย์น้องที่แจ้งให้ทราบ”
ในยันต์เก็บของของหลิ่วหมิง ยังมีวัตถุดิบปรุงโอสถจินหยวนอยู่ไม่น้อย หลังจากประสานมือกล่าวขอบคุณแล้ว ก็ออกจากเจดีย์ปลายแหลมไปทันที
สามวันต่อมา บนชั้นสามของเจดีย์ปลายแหลม ณ ยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณ
หลิ่วหมิงมาตามเวลานัด และภายในห้องโถงที่กว้างขวางในขณะนี้ มีศิษย์หลายคนที่ดูเหมือนจะมาทำการยืนยันสถานะผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถเหมือนกับเขาอยู่หลายคน
แต่นอกจากหญิงสาวอายุราวๆ สิบหกสิบเจ็ดปีที่มีใบหน้างดงาม และดูน่ารักแล้ว คนอื่นๆ ล้วนสวมชุดยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณทั้งหมด
ทันทีที่หลิ่วหมิงก้าวเข้ามา ก็ดูเหมือนว่าจะดึงดูดความสนใจของคนในนั้น ชายหนุ่มดุดันที่มีใบหน้ากลม จมูกใหญ่ ซึ่งเป็นศิษย์ของยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณเงยหน้ามองหลิ่วหมิงที่เดินเข้ามา
“ข้าน้อยซุนหัง ศิษย์ยอดเขาลั่วโยว ไม่ทราบว่าศิษย์พี่ผู้นี้มีนามเรียกขานว่าอย่างไร?”
“หลิ่วหมิง ยอดเขาลั่วโยว” หลิ่วหมิงก็ประสานมือกล่าวด้วยสีหน้าสงบ
“หลิ่วหมิง ชื่อนี้ช่างคุ้นเคยยิ่งนัก……พี่หลิ่ว หรือว่าท่านคือผู้ที่เข้าสู่ระดับผลึกด้วยร่างสามชีพจรจิตวิญญาณผู้นั้น?” ชายหนุ่มหน้ากลมได้ยินก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย
“เฮ่อๆ! หากว่ายอดเขาลั่วโยวไม่มีหลิ่วหมิงคนที่สองล่ะก็ คิดว่าคนที่ท่านพูดถึงคงต้องเป็นข้าน้อยแล้ว” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ชายหนุ่มหน้ากลมย่อมเอ่ยปากออกมาว่า “ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว” ส่วนคนอื่นๆ ก็มองมาด้วยความตกใจ
“สวัสดี ข้าชื่อเถียนจิง เป็นศิษย์ยอดเขาลั่วโยวเช่นกัน ท่านก็คือหลิ่วหมิงที่บรรลุระดับในช่วงนี้นั่นเอง ช่วงนี้มีข่าวลือเกี่ยวกับท่านเยอะมาก แม้แต่ท่านพ่อของข้ายังพูดถึงชื่อท่านอยู่บ่อยๆ ” พอหญิงสาวได้ยินชื่อของหลิ่วหมิงก็กระพริบตาสองสามที จากนั้นก็เดินเข้ามากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เถียนจิง? หรือว่าเจ้าจะเป็นหลานสาวของผู้อาวุโสเถียน?” พอหลิ่วหมิงได้ยินคำพูดของนาง ก็สังเกตดูสองสามที ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจขึ้นมาทันที
“ไม่ผิด! หากท่านปู่ของข้าไม่มีหลานสาวคนที่สองล่ะก็ คนที่ท่านพูดถึงน่าจะเป็นข้าแล้ว” หญิงสาวได้ยินก็ตอบกลับด้วยคำพูดแบบเดียวกันกับหลิ่วหมิงในก่อนหน้า แต่กลับยิ้มจนตาหยี
……
ผ่านไปราวๆ ครึ่งเค่อ หลังจากผ่านการสนทนาไปสองสามครั้ง หลิ่วหมิงก็สนิทกับศิษย์น้องเถียนผู้นี้ขึ้นมา ทั้งยังรู้ว่าแม้นางจะมีอายุไม่มาก แต่กลับมีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลางแล้ว ทั้งยังมีรากเหง้าอยู่ในยอดเขา บวกกับการที่ผู้อาวุโสเถียนทำการบ่มเพาะอย่างไม่เสียดายทรัพยากร การเข้าสู่ระดับผลึกในภายหน้าคงไม่มีปัญหาอะไร
แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด เถียนจิงถึงชอบวิชาปรุงโอสถตั้งแต่เด็ก แต่คุณสมบัติของนางธรรมดา ซึ่งได้มาทดสอบสถานะผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถเจ็ดแปดครั้งแล้ว แต่กลับไม่เคยสำเร็จเลยสักครั้ง
สิ่งนี้ทำให้หญิงสาวบ่นเกี่ยวกับความคร่ำครึของผู้อาวุโสยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณ และการแสดงความสามารถออกมาได้ไม่ดีของตนเองให้หลิ่วหมิงฟัง
บางทีอาจเป็นเพราะคิดว่าหลิ่วหมิงมีความสนใจในวิชาการปรุงโอสถเหมือนกัน หญิงสาวถึงค่อนข้างรู้สึกสนใจหลิ่วหมิงมาก นางซักถามเรื่องราวในงานประลองใหญ่กับเรื่องการฝ่าเจดีย์ซวีหลิงชั้นที่สามสิบหกอยู่ไม่หยุด และนางก็ทำเสียงจุ๊ๆ อยู่ข้างหลิ่วหมิงไม่หยุดราวกับเป็นนกน้อยตัวหนึ่ง
หลิ่วหมิงไม่มีทางเลี่ยง จึงได้แต่ตอบคำถามทีละประโยคของหญิงสาวผู้นี้
ดีที่ว่าหลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา ชายวัยกลางคนที่สวมชุดนักพรตสีเทา ก็เดินเข้ามาจากด้านนอก
“ศิษย์คารวะผู้อาวุโสหลี่” ศิษย์ยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณเห็นเช่นนี้ ก็พากันลุกขึ้นมาคารวะอย่างนอบน้อม
และหลิ่วหมิงกับศิษย์ยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณอีกคนก็คารวะตาม
“พวกเจ้ามาเข้าร่วมทดสอบยืนยันสถานะผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถหรือ? เถียนจิง เจ้าหนูน้อยนี้มาอีกแล้วหรือ?” หลังจากชายวัยกลางคนกวาดสายตามองดูแล้ว สายตาของเขาก็ตกอยู่บนตัวของหญิงสาว และขมวดคิ้วกล่าว
………………………………