ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 700 ใจกลางแดนลึกลับ

หลังจากผู้อาวุโสขุยมู่ลงมือสำเร็จ แสงสีเขียวก็เปล่งประกายบนตัว จากนั้นก็กลายร่างเป็นหมาป่ายักษ์สีเขียวที่มีขนาดหลายจั้ง และกลายเป็นเงาร่างพุ่งถอยออกไปติดต่อกัน

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หรี่ตาทั้งคู่ลงอย่างอดไม่ได้ เขาเคลื่อนตัวเข้าใกล้อสรพิษยักษ์สองหัว พอชี้มือข้างหนึ่ง คมวายุสีเขียวเจ็ดแปดสายก็พุ่งยิงไปยังบาดแผลตรงหางของอสรพิษยักษ์

“เต๊งๆ!”

คมวายุส่วนมากฟันลงบนเกล็ดจนแตกกระจาย มีเพียงแค่สายเดียวเท่านั้นที่ดูเหมือนจะพุ่งยิงโดนบาดแผลพอดี “ฟิ้ว!”

ภายใต้ความเจ็บปวด อสรพิษยักษ์สองหัวก็สะบัดหางใส่หลิ่วหมิงอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นเงาสีดำ และมีเสียงระเบิดดังขึ้นกลางอากาศเป็นระยะๆ

ร่างของหลิ่วหมิงเคลื่อนไหวกลายเป็นเงาร่างสามเงา และหลบหลีกไปได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือทั้งสอง กระบี่บินสีทองเล่มหนึ่งปรากฏออกมาตรงหน้า แต่พอเขาเปลี่ยนท่ามือ กระบี่บินสีทองก็ม้วนแสงสีทองออกมาห่อหุ้มร่างของตนเองไว้

“กระบี่ร่างเป็นหนึ่ง!” หลิ่วหมิงคำรามเสียงออกมา ร่างของกลายเป็นแสงกระบี่ขนาดสิบกว่าจั้ง และม้วนตัวไปในอากาศ มันพร่ามัวแค่ทีเดียว ก็ฟันไปยังคอของอสรพิษยักษ์อย่างรวดเร็วปานลมกรด

เห็นได้ชัดว่าอสรพิษรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ จนไม่สนใจจะไล่สังหารผู้อาวุโสขุยมู่ต่อ ทันทีที่มันหันตัวกลับมา หัวทั้งสองก็พ่นลูกเปลวไฟสีแดงกับคมวายุสีม่วงใส่แสงกระบี่ที่พุ่งเข้ามาอย่างบ้างคลั่ง

ขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงที่อยู่ท่ามกลางแสงกระบี่กลับเผยรอยยิ้มเยือกเย็นอยู่ครู่หนึ่ง และยังคงกระตุ้นแสงกระบี่พุ่งเข้าใส่ลูกเปลวไฟกับคมวายุ

ครู่ต่อมา อสรพิษสองหัวที่มีลักษณะดุดันก็ม้วนตัวในทันที ทันใดนั้นหางของมันก็นูนขึ้นมา และเคลื่อนไปที่ลำตัวส่วนบนอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็มาถึงตรงคอ ขณะเดียวกันก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นเป็นระยะๆ

อสรพิษยักษ์สองหัวส่งเสียงร้องปานใจจะขาด ร่างขนาดมหึมากับหัวทั้งสองดีดดิ้นไปมาอย่างบ้าคลั่ง ดูเหมือนว่าจะได้ความเจ็บปวดอย่างรุนแรง

“ฟู่!” หัวข้างที่ปล่อยลูกเปลวไฟส่ายไปส่ายมา จากนั้นลูกตาสีทองข้างหนึ่งก็ระเบิดออกมาในทันที นักรบชุดเกราะสีทองเล็กๆ ขนาดครึ่งฉื่อพุ่งออกมา

มันคือยันต์นักรบพลังผ้าเหลืองที่หลิ่วหมิงซ่อนไว้ในคมวายุในก่อนหน้านั้น และปล่อยเข้าไปในบาดแผลตรงหางของมัน พอถูกกระตุ้น มันก็กลายเป็นนักรบยันต์ก่อกวนอยู่ภายในร่างของอสรพิษยักษ์อยู่พักหนึ่ง จากนั้นถึงพุ่งออกมา

ขณะนั้นเอง แสงกระบี่สีทองก็ทะลวงด่านคมวายุกับลูกเปลวไฟมาอยู่ตรงหน้า และกะพริบผ่านบริเวณคอของอสรพิษยักษ์ไป

แม้ว่าอสรพิษยักษ์จะฝืนความเจ็บปวดดิ้นรนเพื่อหลบหลีกอย่างสุดชีวิต แต่ยังคงเกิดรอยแผลตรงจุดเจ็ดชุ่น ทันใดนั้นโลหิตก็ทะลักออกมา

ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสขุยมู่ที่อยู่ไกลๆ คืนร่างเป็นมนุษย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ พอเห็นว่าอสรพิษยักษ์ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ ก็โบกมือข้างหนึ่งด้วยความดีใจ กริชที่ปักอยู่ด้านข้างอสรพิษยักษ์ถูกดึงออกมา และพร่ามัวหายไปอย่างไร้ร่องรอย

เกิดคลื่นสั่นสะเทือนบนอากาศบริเวณหัวสีม่วงของอสรพิษยักษ์ กริชสีดำเปล่งประกายออกมา จากนั้นก็กลายเป็นเส้นสีดำกะพริบผ่านไป

“เต๊ง!”

หัวสีม่วงของอสรพิษยักษ์เกิดรูเลือดขนาดใหญ่หนึ่งรู

หัวทั้งสองส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาพร้อมกัน จากนั้นหัวขนาดใหญ่ทั้งสองก็ร่วงพื้นอย่างรุนแรง ลูกตาสีทองทั้งสามกลายเป็นสีเลือดในพริบตา ร่างขนาดมหึมาดีดดิ้นอยู่บนพื้นบริเวณนั้นไม่หยุด

ขณะนั้นเอง แสงกระบี่สีทองที่ม้วนตัวผ่านไปก็วกกลับมาอีกครั้ง และปล่อยแสงสีทองเจิดจ้า

“ฟิ้วๆ!” “ฟิ้ว!” แสงกระบี่สีทองเพียงแค่หมุนวนรอบคออสรพิษยักษ์สองรอบ ก็ตัดหัวขนาดใหญ่ทั้งสองลงมาได้

จากนั้นแสงกระบี่ก็กลายเป็นปราณกระบี่จำนวนมาก และประสานกันไปมาจนหัวทั้งสองกับวิญญาณที่ซ่อนอยู่ในนั้นถูกปั่นจนละเอียด

ร่างอสรพิษยักษ์ที่ดีดดิ้นอยู่ท่ามกลางบ่อเลือดกระตุกสองสามครั้ง จากนั้นก็ไม่อาจเคลื่อนไหวได้อีก

พอแสงกระบี่ดับลง หลิ่วหมิงก็ปรากฏตัวบนอากาศบริเวณนั้นพร้อมกับกระบี่ที่ถืออยู่ในมือ หลังจากถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก็ค่อยๆ ร่อนลงด้านข้างร่างไร้หัวของอสรพิษยักษ์

พอโบกมือข้างหนึ่งออกไป ยันต์นักรบพลังผ้าเหลืองที่มีสภาพเก่าๆ กลางอากาศก็ถูกเก็บเข้ามา จากนั้นก็ควักเอาป้ายอาญาสิทธิ์สีเทาหลายอันกับยันต์เก็บของหนึ่งผืนออกจากตัวอสรพิษยักษ์

หลิ่วหมิงเก็บสิ่งของเหล่านี้เข้าไปโดยไม่ได้ดูอย่างละเอียด จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิลงไปอย่างรวดเร็ว หลังจากทานโอสถจินหยวนไปหนึ่งเม็ด ก็ทำการฟื้นฟูพลังขึ้นมา

และพอผู้อาวุโสขุยมู่ที่อยู่ไม่ไกลเห็นว่าหลิ่วหมิงสังหารอสรพิษยักษ์แล้ว ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก แต่หลังจากคิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้ว กลับเคลื่อนไหวมาปรากฏตัวข้างหวงอิ๋งตรงบริเวณก้อนหินยักษ์ที่อยู่ไม่ไกล

นางยังคงหลับตานอนหมดสติอยู่บนพื้น

หลังจากผู้อาวุโสขุยมู่ตรวจสอบดูเล็กน้อยแล้ว ก็ควักโอสถจากอกใส่เข้าไปในปากของนาง จากนั้นก็ตบไปที่หลังของนางอีกหลายฝ่ามือ สีหน้าของนางถึงได้ดูดีขึ้นมาเล็กน้อย

ขณะนี้ ผู้อาวุโสขุยมู่ถึงมองดูหลิ่วหมิงทีหนึ่ง จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิลงพื้นบริเวณนั้นเช่นกัน เขาหยิบขวดหยกสีขาวออกมา พอเปิดจุกออก ก็อ้าปากสูดของเหลวใสในขวดเข้าไป

พอก็ทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง แสงจิตวิญญาณสีเขียวก็เปล่งประกายบนตัว และกระพริบไปรวมตัวบริเวณแขนที่ขาดอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ร่ายคาถาออกมา

ภายใต้การรวมตัวของแสงสีเขียวบริเวณบาดแผลอย่างหนาแน่น หน่อเนื้อจำนวนมากก็งอกออกมาอย่างบ้าคลั่ง พริบตาเดียวก็กลายเป็นแขนที่มีสภาพสมบูรณ์ข้างหนึ่ง

ครู่ต่อมา หวงอิ๋งค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น หลังจากมองดูความยุ่งเหยิงรอบ ๆ และศพอสรพิษไร้หัวบนพื้นที่อยู่ไม่ไกลแล้ว ก็มองไปยังผู้อาวุโสขุยมู่กับหลิ่วหมิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ และกล่าวด้วยความเก้อเขินเล็กน้อย

“ข้าใช้ไม่ได้เลยจริงๆ เพิ่งจะแลกมือก็พ่ายแพ้แล้ว โชคดีที่สหายทั้งสองมีพลังล้ำลึก จึงสามารถสังหารมันได้”

“ทั้งหมดนี้เป็นผลงานของพี่หลิ่ว หากไม่ใช่ว่าเขาแสดงวิธีการมหัศจรรย์ออกมาในฉับพลัน และใช้วิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่งล่ะก็ ไหนเลยจะสำเร็จได้ง่ายเช่นนี้” ผู้อาวุโสขุยมู่ลืมตาทั้งคู่ขึ้นมากล่าวด้วยรอยยิ้ม

หลิ่วหมิงได้ยินก็เผยรอยยิ้มเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไรออกมา แต่กลับกลั่นพลังโอสถฟื้นฟูพลังเวทต่อ

“ดูท่าครั้งนี้ ข้าคงโชคดีไม่น้อยที่ได้เจอกับพี่หลิ่ว” หวงอิ๋งละสายตาออกมาและถอนหายใจกล่าว จากนั้นก็ควักโอสถมาทานไปหนึ่งเม็ด และนั่งฟื้นฟูพลังด้วยเช่นกัน

ครึ่งวันผ่านไป ภายใต้การอาศัยพลังจากโอสถต่างๆ ของแต่ละคน อาการบาดเจ็บของพวกเขาก็ฟื้นฟูไปกว่าครึ่งหนึ่ง และพลังเวทก็ฟื้นฟูมาพอประมาณแล้ว

ขณะนี้ พอนับป้ายอาญาสิทธิ์ดูแล้ว ก็พบว่ามีมากถึงสิบหกอัน

ทั้งสามย่อมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก

“ไม่ทราบว่าหลังจากออกไปแล้ว สหายทั้งสองมีแผนการอย่างไร?” ผู้อาวุโสขุยมู่ถามออกมาในฉับพลัน

“อืม! ตกอยู่ในสถานที่แปลกประหลาดและอันตรายเช่นนี้ ยังสามารถรอดมาได้ ก็นับว่าเป็นการเก็บเกี่ยวรูปแบบหนึ่ง กลับไปครานี้ย่อมต้องทำระดับการฝึกฝนให้มั่นคง และเก็บตัวฝึกฝนอย่างจริงจังอีกรอบ!” หวงอิ๋งถอนหายใจแล้วกล่าวออกมา

“ข้าเป็นผู้ฝึกฝนอิสระคนหนึ่ง จะไปที่แห่งใดนั้น รอออกไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน!” หลิ่วหมิงหัวเราะฮ่าๆ ประจักษ์ชัดว่าไม่อยากพูดอะไรมาก

“มันก็ถูก พวกเรายังไม่หลุดไปจากสถานที่อันตราย ลองไปดูก่อนว่าโลหิตปีศาจสวรรค์ที่ผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์ทั้งสองลงทุนลงแรงมากมายเช่นนี้ มีลักษณะเป็นเช่นไร แล้วก่อนว่ากันเถอะ!” ผู้อาวุโสขุยมู่พยักหน้ากล่าวด้วยแววตาที่เป็นประกาย

ดังนั้นหลังจากทั้งสามจัดการตัวเองอย่างง่ายๆ แล้ว ก็เดินทางไปยังชั้นจำกัดตรงใจกลางแดนลึกลับทันที

ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป แสงหลบหลีกสามสีที่มีลักษณะแตกต่างกัน ก็พุ่งเข้ามาถึงใจกลางแดนลึกลับ และลอยนิ่งๆ อยู่กลางอากาศ

ซึ่งก็คือพวกหลิ่วหมิงนั่นเอง

หลิ่วหมิงหรี่ตามองพื้นที่ว่างเปล่าด้านล่าง เขตพื้นที่บริเวณนี้ดูเป็นทุ่งหญ้าธรรมดาที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุดเท่านั้น

เพียงแต่ว่าต้นไม้ใบหญ้าเหล่านี้มีสภาพเหลืองแห้งราวกับไม่ได้โดนน้ำมานานแล้ว

“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้?” ผู้อาวุโสขุยมู่มีหน้าดูไม่ได้เป็นอย่างมาก เมื่อครู่เขาใช้จิตกวาดดูกลับไม่ค้นพบอะไรเลย

หวงอิ๋งก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเช่นกัน

หลิ่วหมิงหลับตานิ่งๆ ไม่ขยับเขยื้อน ประจักษ์ชัดว่ากำลังคิดใคร่ครวญอยู่

ทันใดนั้น เขาก็ลืมตาขึ้นมาด้วยรอยยิ้มตรงมุมปาก และหันไปกล่าวกับหวงอิ๋งกับผู้อาวุโสขุยมู่อย่างราบเรียบ “ป้ายปีศาจสวรรค์”

ผู้อาวุโสขุยมู่กับหวงอิ๋งได้ยิน ถึงเข้าใจในฉับพลัน

จากนั้นทั้งสามก็นำป้ายอาญาสิทธิ์ทั้งหมดออกมา และพริบตาที่ป้ายอาญาสิทธิ์ทั้งหมดปรากฏตัว ก็มีคลื่นสั่นสะเทือนกลางอากาศอย่างน่าประหลาดใจ

“ฟู่!” “ฟู่!”

หลังจากป้ายอาญาสิทธิ์ทั้งสิบหกอันสั่นสะท้าน มันก็พากันพุ่งออกไปบนอากาศ และรวมตัวเป็นแผนภาพที่ดูลึกซึ้งเป็นอย่างมาก

แผนภาพนี้เพียงแค่หมุนตัวติ้วๆ กลางอากาศ จากนั้นก็พุ่งขึ้นด้านบน

หลังจากมีเสียงดังขึ้นในครู่ต่อมา ลำแสงสีขาวน้ำนมก็ถูกพ่นออกมาหนึ่งลำ และร่วงลงบนพื้นหญ้า

“ตู๊ม!”

พริบตาที่ลำแสงสีขาวน้ำนมสัมผัสกับพื้น มันก็กลายเป็นคลื่นสีขาวสั่นสะเทือนออกไปรอบด้าน

อากาศเหนือพื้นหญ้าบิดเบี้ยวขึ้นมา ภาพวิวทิวทัศน์เปลี่ยนไปในฉับพลัน ม่านแสงแวววาวครึ่งวงกลมขนาดใหญ่ปรากฏออกมา มันมีขนาดร้อยกว่าหมู่ มีไอหมอกสีเทาลอยอยู่ในนั้น พอกวาดจิตลงไป ก็ไม่อาจทะลุเข้าไปได้เลยแม้แต่น้อย

รอบๆ ม่านแสงมีเสาหินค้ำฟ้าสิบหกต้นที่สูงร้อยกว่าจั้ง มันตั้งล้อมม่านแสงแวววาวไว้

พอมองอย่างละเอียด ปลายเสาแต่ละต้นต่างก็มีภาพตัวประหลาดที่มีหัวเป็นปีศาจร่างเป็นมนุษย์สลักอยู่ตัวหนึ่ง บ้างก็มีลักษณะคล้ายสิงโตดุร้าย บางก็คล้ายเสือดาว บ้างก็คล้ายจระเข้ บ้างก็คล้ายอสรพิษยักษ์ ซึ่งมีลักษณะท่าทางแตกต่างกันไป แต่กลับดูราวกับมีชีวิต

และภาพปีศาจแต่ละตัวต่างก็มีร่องขนาดเท่ากำปั้นอยู่บริเวณหัวใจ ดูจากลักษณะของมันแล้ว มันประกบกับป้ายอาญาสิทธิ์สีเทาในก่อนหน้านั้นได้พอดี

“สถานที่แห่งนี้ก็คือชั้นจำกัดใจกลางแดนลึกลับแล้ว เพียงแค่พวกเรานำป้ายอาญาสิทธิ์ที่ได้มาไปวางไว้ในร่องบนเสาหิน ก็สามารถเข้าไปข้างในได้” ผู้อาวุโสขุยมู่เห็นเช่นนี้ก็กล่าวด้วยสีหน้าดีใจอย่างปิดไม่มิด

หลิ่วหมิงได้ยินก็พยักหน้า และโบกมือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ

ป้ายอาญาสิทธิ์ที่ก่อตัวเป็นแผนภาพในอากาศแยกออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง และกลายเป็นแสงสีเทาพุ่งลงไปด้านล่าง จากนั้นก็จมลงในร่องบนเสาหิน

พอป้ายอาญาสิทธิ์เลี่ยมฝังลงไปหนึ่งอัน ภาพปีศาจบนเสาก็เปล่งประกายออกมา แสงแวววาวพุ่งออกจากบนนั้น และจมหายไปในม่านแสงแวววาวที่อยู่ตรงกลาง ทำให้ไอหมอกสีเทาที่อยู่ด้านในพวยพุ่งอย่างรุนแรง

พอป้ายอาญาสิทธิ์อันสุดท้ายเลี่ยมฝังลงไปนั้น ทุกสิ่งที่อยู่บนอากาศก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในฉับพลัน อากาศที่ดูแจ่มใสกลับปกคลุมไปด้วยเมฆดำ และมีเสียงสายฟ้าดังเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

ครู่ต่อมา ขณะที่หมอกสีเทาในม่านแสงพวยพุ่งอย่างรุนแรง ม่านแสงแวววาวก็สั่นสะเทือนขึ้นมาทันที

“เพล้ง!”

หลังจากสายฟ้าขนาดใหญ่ฟันลงบนม่านแสงแวววาว มันก็แตกกระจายออกมา

ไอหมอกสีเทาในนั้นม้วนตัวออกไป ชั่วเวลาเพียงแค่สองสามอึดใจ พวกเขาทั้งสามก็จมอยู่ในนั้น

………………………………

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset