ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 707 อีแร้งวายุ

พอมองดูอย่างละเอียด จะเห็นว่าเมฆดำกลุ่มนี้เป็นปีศาจแมลงที่มีขนาดเท่าเมล็ดถั่ว ท่ามกลางความแน่นขนัด พวกมันมีมากถึงหมื่นกว่าตัว มันปกคลุมท้องฟ้าหนึ่งหมู่กว่าๆ

“ปีศาจริ้น…” หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว แสงกระบี่ใต้เท้าเปลี่ยนทิศทางในฉับพลัน ก่อนที่เมฆแมลงสีเทาจะปิดกั้นทางนั้น เขาก็พุ่งตรงออกไป

หลังจากผ่านไปสักพัก ขณะที่แสงหลบหลีกด้านหลังตามมาถึงนั้น กลับต้องเผชิญหน้ากับแมลงจิตวิญญาณที่ขวางอยู่ตรงหน้าพอดี

แสงสายฟ้าเปล่งประกายท่ามกลางแสงหลบหลีกสีม่วงในทันที จากนั้นก็ฝ่าเข้าไปในเมฆดำ ก่อให้เกิดเสียงดัง “เปรี๊ยงๆ!” ไม่หยุด และศพจำนวนมากของปีศาจริ้นก็พากันร่วงลงมา

“เฮ่อๆ! ผู้น้อย หากคิดจะอาศัยปีศาจอสูรเหล่านี้สลัดตัวให้หลุดพ้นจากข้าล่ะก็ ฝันไปเถอะ!”

ผ่านไปไม่กี่อึดใจ แสงหลบหลีกสีม่วงก็พุ่งออกจากเมฆดำด้วยเสียงหัวเราะดังกังวานราวกับเสียงระฆัง

เป็นธรรมดาที่ที่เลี่ยเจิ้นเทียนจะคิดเช่นนี้ แต่ที่หลิ่วหมิงเข้ามาในเทือกเทาจูหลงกลับไม่ใช่เพียงเท่านี้

ครึ่งวันผ่านไป เมื่อทั้งสองเข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขาจูหลงติดต่อกันนั้น หลิ่วหมิงกลับเริ่มล่อเลี่ยเจิ้นเทียนไปยังสถานที่บางแห่ง

แม้เลี่ยเจิ้นเทียนจะรู้ว่าการกระทำของหลิ่วหมิงในขณะนี้ ดูแปลกประหลาดไปหน่อย แต่กลับกระตุ้นเคล็ดวิชาสายฟ้าโลหิตตามไปอย่างไม่ลังเล เพราะเขามีการฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ ย่อมไม่ต้องกลัวว่าหลิ่วหมิงจะเล่นไม้ไหน

พอรู้สึกว่าไอโลหิตด้านหลังหนาแน่นขึ้นมา หลิ่วหมิงก็กระตุ้นปีกสีเงินอีกครั้งทันที จากนั้นพุ่งไปยังทิศทางบางแห่งด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น

ไม่นานหลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวตรงหน้ายอดเขาสีดำลูกหนึ่ง ด้านล่างยอดเขามีถ้ำสีดำขนาดสิบกว่าจั้ง

“ไม่ผิดจริงๆ ด้วย ดูท่าคงจะเป็นสถานที่แห่งนี้แล้ว” หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หยุดละงักลงด้วยตาที่เป็นประกาย

การเดินทางเหินเวหาในก่อนหน้านั้น พอมีโอกาสเขาก็จะนำโลหิตปีศาจโคดำระดับแก่นแท้ขวดนั้นออกมาวาดลงบนตัวสองสามขีด ในที่สุดหลายวันก่อนหลังจากใช้โลหิตไปเกือบครึ่งหนึ่ง เขาก็วาดภาพ ‘เชอฮ่วน’ สำเร็จอีกครั้ง

เขาร่ายคาถากระตุ้นเคล็ดวิชาภาพสัญลักษณ์ในทันที จากนั้นเงาร่างโคดำกึ่งโปร่งแสงก็เปล่งประกายออกจากตัว และหลังจากส่งเสียงคำรามออกมาแล้ว ก็รวมร่างกับเขาอีกครั้ง ทำให้กลิ่นไอบนตัวดูขาดๆ หายๆ ขึ้นมาทันที

หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ เขาก็เก็บกระบี่สีทองใต้เท้า และกลายร่างเป็นแสงสีดำจางๆ แฝงตัวเข้ามาไปในถ้ำที่เป็นรังของปีศาจอสูร

ในถ้ำมืดมิดไปทั้งแถบ หลิ่วหมิงปล่อยจิตออกมา และเดินไปยังส่วนลึกอย่างระมัดระวัง

ชั่วเวลาครึ่งถ้วยชาผ่านไป เขาก็มาถึงตำแหน่งตรงใจกลางเขา ภายใต้การกวาดจิตสำรวจดู ก็ค้นพบปีศาจวิหคที่ยึดครองสถานที่แห่งนี้ มันคืออีแร้งวายุสีดำตัวโตเต็มวัยสามตัว

ขณะนี้ปีศาจวิหคทั้งสามกำลังนอนพักผ่อนอยู่บนกองหน้าแห้งกองหนึ่ง

รูปร่างของอีแร้งวายุทั้งสามดูคล้ายอินทรียักษ์ แต่ละตัวมีขนาดสิบกว้าจั้ง กลิ่นไอน่าสะพรึงเป็นอย่างมาก ปีกขนาดใหญ่ทั้งคู่มีสีดำแซมกับสีขาว ขนยาวสามเส้นบนหัวย้อยลงด้านหลัง ลูกตาสีม่วงเข้มทั้งคู่เปล่งแสงสีเขียวเย็นสะท้านออกมา ดูแหลมคมเป็นอย่างมาก

และรอบๆ ตัวของอีแร้งวายุก็มีกระดูกสีขาวเปล่งแสงเรืองรองวางกระจัดกระจายเป็นจำนวนมาก ดูจากขนาดของโครงกระดูกแล้ว มันเป็นปีศาจอสูรที่มีรูปร่างขนาดใหญ่จำพวกหนึ่ง

ตอนแรกที่เขากับอู๋ขุยและคนอื่นๆ ไปล่าราชินีผึ้งห้าแสงที่รังของมันนั้น เคยได้ยินฮวาชิงอิ่งพูดว่าสถานที่แห่งนี้มีปีศาจอสูรระดับแก่นแท้ครอบครองอยู่สามตัว มีนิสัยดุร้ายเป็นอย่างมาก เพียงแต่ตอนนั้นไม่รู้ว่าเป็นอีแร้งวายุ

ตอนนั้นหลิ่วหมิงเกิดความสนใจ จึงถามออกไปอีกสองสามประโยคอย่างไม่ใส่ใจ ด้วยเหตุนี้จึงรู้ตำแหน่งของมัน

จะว่าไปแล้ว การซ่อนเร้นของเคล็ดวิชาภาพสัญลักษณ์ไร้นามนี้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ภายใต้การระมัดระวังของหลิ่วหมิง ปีศาจอสูรระดับแก่นแท้ทั้งสามกลับไม่รับรู้เลยแม้แต่น้อย

หลิ่วหมิงร่อนลงตรงมุมหนึ่งถ้ำอย่างไร้สุ้มเสียง จากนั้นก็กระตุ้นเคล็ดวิชาภาพสัญลักษณ์ และซ่อนตัวอยู่ด้านหลังกองหินสีดำไม่ขยับเขยื้อน โดยที่ไม่มีกลิ่นแผ่ออกไปเลยแม้แต่น้อย

หลังจากเวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งเค่อ แสงสีม่วงที่ดูราวกับสายฟ้าก็ปรากฏตัวนอกถ้ำ และพุ่งเข้ามาด้านในอย่างไม่ลังเล

เกิดเสียงร้องยาวดังขึ้นแผ่วโผย!

อีแร้งวายุในถ้ำค้นพบการบุกรุกของปีศาจสายฟ้าในทันที ขนของมันสั่นสะท้าน และแสดงท่าทีระแวดระวังออกมา พอกระพือปีกทั้งคู่ พายุกระหน่ำก็ก่อตัวขึ้นมา ทำให้ผนังถ้ำเกิดเสียงดังฟู่ๆ และทิ้งร่องรอยขนาดต่างๆ ไว้

แสงสีดำสามลำกะพริบออกจากส่วนลึกของถ้ำ และกลายเป็นปีศาจอสูรขนาดสิบกว่าจั้งสามตัวที่มีลักษณะคล้ายอินทรียักษ์ ครู่เดียวก็ห้อมล้อมปีศาจสายฟ้าที่เพิ่งจะเหยียบเข้ามาในถ้ำได้ไม่นาน

หลังจากหนึ่งในนั้นหุบปีกแล้ว ร่างของมันก็กระโจนเข้าใส่เลี่ยเจิ้นเทียนราวกับกระสวย กรงเล็บแหลมคมขนาดใหญ่คว้าไปยังกะโหลกศีรษะของเขา

ส่วนอีกสองตัวก็ยื่นปากแหลมคมออกมา ขณะเดียวกันก็จิกเข้าใส่ปีศาจสายฟ้าอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ

“ฮึ่!”

พอฝ่ายตรงข้ามโจมตีอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันตั้งตัว ปีศาจสายฟ้ากลับแต่ทำเสียงฮึดฮัดออกมา จากนั้นก็ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมาฉับพลัน เสียงสายฟ้าดังก้องอยู่ในมือ พอพลิกฝ่ามือ ลูกสายฟ้าสีม่วงจางๆ ก็ก่อตัวขึ้นมา และพุ่งออกไปทันที

“ตู๊ม!”

ลูกสายฟ้าสีม่วงระเบิดตัวกลางอากาศ แสงสีม่วงเล็กละเอียดจำนวนมากพุ่งยิงออกจากในนั้น พริบตาเดียวก็กลายเป็นตาข่ายยักษ์สีม่วงผืนหนึ่งพุ่งออกไปปกคลุมอีแร้งวายุทั้งสามที่พุ่งเข้ามาไว้

อีแร้งวายุทั้งสามเห็นเช่นนี้ก็หยุดชะงักในทันที ดวงตาของพวกมันฉายแววดุร้ายออกมา ภายใต้การกระพือปีกทั้งสองอย่างรุนแรง ขนวิหคสีดำขาวก็กลายเป็นใบมีดอันแหลมคมพุ่งยิงออกไปจำนวนมาก และปะทะลงบนตาข่ายสายฟ้า

เกิดเสียงระเบิดดัง “ตูมตาม!” แสงสีดำกับสีเขียวประสานเข้าด้วยกัน เสียงฟ้าร้องกับเสียงวิหคแผดร้องดังออกมาพร้อมกัน

แต่ทว่าพอมีแสงสีม่วงไหลวนบนผิวตาข่ายสายฟ้าสีม่วง มันก็สามารถต้านทานการโจมตีของขนวิหคกว่าครึ่งหนึ่งไว้ได้ ทั้งยังหดตัวรัดแน่นมากกว่าเดิม

ขนวิหคสีขาวดำที่เหลือหนึ่งร้อยกว่าเส้นพุ่งออกจากรอยแยกของตาข่ายสายฟ้า และพุ่งเข้าใส่เลี่ยเจิ้นเทียนทันที

พอเลี่ยเจิ้นเทียนยกแขนเสื้อขึ้นอย่างสบายๆ แสงสีม่วงลำหนึ่งก็ม้วนตัวออกมาต้านทานขนวิหคไว้ได้ทั้งหมด และจิตรับรู้ของเขาก็สังเกตดูการเคลื่อนไหวภายในถ้ำอยู่ตลอดเวลา

จิตรับรู้ที่กวาดเข้ามาตลอดเวลา ทำให้หลิ่วหมิงหลบอยู่หลังก้อนหินยักษ์ ไม่กล้าเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่กล้าหายใจแรงด้วย

ขณะที่ตาข่ายสีม่วงค่อยๆ หดตัวลง พื้นที่ที่อีแร้งวายุสามารถเคลื่อนไหวได้ก็ลดน้อยลง แววตาของมันดูโมโหและไม่พอใจเป็นอย่างมาก เสียงร้องที่มันส่งออกมาก็แหลมกว่าเดิม

ทันใดนั้น ขนยาวสามเส้นบนหัวของอีแร้งวายุทั้งสามต่างก็ตั้งตรงขึ้นมา หลังจากแสงสีดำกะพริบผ่านไป มันก็หลุดออกมาเป็นศรขนวิหคจำนวนเก้าลูก และพุ่งเข้าใส่ตาข่ายสายฟ้าสีเงินจนเกิดเสียงดัง “ฟิ้วๆ!”

“ตูมตาม!”

พริบตาที่ศรขนวิหคปะทะกับตาข่ายสายฟ้า มันก็ระเบิดออกมา คมวายุสีดำหลายสิบสายกลายเป็นเส้นสีดำพุ่งยิงออกไป

หลังจากเส้นสีดำจำนวนมากกะพริบผ่านไป ตาข่ายสายฟ้าสีม่วงอันน่าตกใจก็ถูกตัดขาดจนเกิดรูขนาดใหญ่

ขนยาวเหล่านี้เชื่อมโยงกับพลังสายเลือดภายในร่างของอีแร้งวายุ พอมันหลุดออกมา อานุภาพจึงน่าตกใจอย่างถึงขีดสุด แต่ไม่รู้ว่าแต่ละเส้นใช้เวลาในการบ่มเพาะนานแค่ไหน ถึงสามารถงอกออกมาได้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถนำออกมาใช้โดยง่าย ตอนนี้เพื่อให้หลุดพ้นจากตาข่ายสายฟ้าสีม่วงของปีศาจสายฟ้า จึงต้องกระตุ้นออกมาทั้งหมดอย่างไม่เสียดาย

 ครู่ต่อมา อีแร้งวายุสามตัวที่มีกลิ่นไออ่อนลงเล็กน้อยก็กรีดเสียงร้องแหลม และกระพือปีกกันจ้าละหวั่น เพื่อคิดที่จะบินออกจากตาข่ายสายฟ้าสีม่วง

“อย่าได้คิด!” ปีศาจสายฟ้าเผยแววตาสังหารออกมา พอกางนิ้วทั้งห้า แสงสายฟ้าสีม่วงก็ห่อหุ้มฝ่ามือไว้ สายฟ้าสีม่วงสามเส้นพุ่งออกจากฝ่ามือ และฟาดไปยังอีแร้งวายุทั้งสามที่กำลังจะสลัดตัวให้หลุดจากตาข่ายสายฟ้าอย่างรุนแรง

“ฟิ้ว!” เกิดเสียงดังขึ้นกลางอากาศ ภายใต้การเปล่งประกายของไหมสีม่วงทั้งสาม มันก็ค่อยๆ ร่วงลงบนตัวอีแร้งวายุทั้งสาม

เกิดเสียงดังเปรี๊ยะๆ อีแร้งวายุตัวแข็งทื่อในทันที มีเสียงดังเข้ามาติดต่อกันสามครั้ง จากนั้นสายฟ้าสีม่วงสามเส้นที่มีขนาดเท่าลำแขน ก็โจมตีลงบนท้องน้อยของอีแร้งวายุทั้งสามในพริบตา

เกิดเสียงดังขึ้นสามเสียง

ร่างขนาดมหึมาของอีแร้งวายุทั้งสามถูกโจมตีจนกระเด็นออกไป บนตัวมีบาดแผลดำเกรียมขนาดใหญ่ และมีกลิ่นไหม้แผ่ออกมารำไร

ปีศาจอสูรระดับแก่นแท้สามตัวไม่คณามือปีศาจสายฟ้าเลย!

สองตัวในนั้นชนใส่หน้าผาแล้วร่วงลงมา ดูท่าใกล้จะไม่รอดแล้ว ส่วนอีกตัวก็ร่างดำเกรียมไปทั้งตัว และบินมาทางก้อนหินสีดำที่หลิ่วหมิงอยู่พอดี

หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว เขารู้ว่าไม่อาจหลบต่อไปได้อีก จึงฉวยโอกาสนำกระบี่บินพลังจิตวิญญาณออกมาในฉับพลัน ภายใต้การม้วนตัวของปราณกระบี่สีทอง มันก็ห่อหุ้มร่างของเขาไว้ และพุ่งออกไปนอกถ้ำ

“เจ้ามนุษย์น้อย ยอมรับความตายซะเถอะ!”

พริบตาที่กระบี่บินพลังจิตวิญญาณปรากฏตัวนั้น เลี่ยเจิ้นเทียนก็รับรู้ได้ในทันที พอเขาส่งเสียงตะโกนออกมา แสงสีม่วงก็ม้วนตัวเขาพุ่งยิงออกไป จากนั้นมือยักษ์สีม่วงขนาดสิบกว่าจั้งข้างหนึ่ง ก็พุ่งออกจากในนั้น และพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

ขณะที่หลิ่วหมิงยังมาไม่ถึงปากถ้ำนั้น มือยักษ์สีม่วงก็ปรากฏอยู่เหนือศีรษะของเขา และกำลังจะกดลงมา

หลิ่วหมิงรับรู้ได้ถึงแรงกดดันมหาศาลจนตนเองเกือบจะไม่สามารถหายใจได้ ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของสีหน้าอย่างบ้าคลั่ง ทำได้แต่รวบรวมพลังเวททั้งหมดจนไอดำพวยพุ่งออกมารอบตัว ท่ามกลางเสียงมังกรพยัคฆ์คำราม มันก็กลายเป็นมังกรหมอกกับพยัคฆ์หมอกอย่างละสี่ตัว

“ตู๊ม!”

พอมังกรหมอกสี่ตัวกับพยัคฆ์หมอกสี่ตัวปะทะกับฝ่ามือยักษ์ มันก็พากันแตกกระจายออกมา และกลายเป็นไอหมอกดำปกคลุมไปทั่วถ้ำ ส่วนมือยักษ์สีม่วงก็สั่นสะท้านเพียงเล็กน้อย จากนั้นก็พุ่งผ่านหมอกดำ และฟาดลงใส่หลิ่วหมิงโดยตรง

ในระหว่างเวลานี้ พอแขนทั้งสองของหลิ่วหมิงพร่ามัว แสงจิตวิญญาณหลากสีก็พวยพุ่งเข้าใส่มือยักษ์สีม่วงราวกับสายน้ำที่ไหลย้อนกลับ

แสงจิตวิญญาณเหล่านี้คือยันต์อสรพิษไฟ ยันต์ไหมทองคำ ยันต์หอกน้ำแข็ง และยันต์โจมตีระดับสูงอื่นๆ จำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งมีทั้งหมดเจ็ดสิบถึงแปดสิบผืน

ยันต์เหล่านี้ค่อยๆ กลายเป็นเปลวไฟ หอกน้ำแข็ง สายฟ้า และกลุ่มแสงอื่นๆ จนปกคลุมเต็มฟ้า และพุ่งเข้าไปรับมือกับฝ่ามือยักษ์สีม่วง

ท่ามกลางเสียงระเบิดที่ดังตูมตาม ในที่สุดฝ่ามือยักษ์สีม่วงก็ยืนหยัดไม่ไหว และแตกกระจายไป

สีหน้าเลี่ยเจิ้นเทียนดูไม่ได้เป็นอย่างมาก พอตะโกนออกมาด้วยความโมโห แสงสีม่วงก็เปล่งประกายบนตัว และพุ่งออกไปโดยตรง

แต่ไอหมอกสีดำที่ปกคลุมเต็มถ้ำก็ดูราวกับมีชีวิต พอมันม้วนตัวแค่ทีเดียว ก็กลืนร่างของเขาเข้าไป พริบตาเดียวก็กลายเป็นแสงสีดำที่มืดมิดราวกับหมึก

มันคือพลังคุกมืดที่หลิ่วหมิงกระตุ้นออกมานั่นเอง

แต่ว่าคุกมืดสามารถยืนหยัดได้เพียงหนึ่งลมหายใจ ก็ถูกแสงสายฟ้าสีม่วงจำนวนมากฉีกทึ้งจนแตกกระจาย

ครู่ต่อมา ปีศาจสายฟ้าที่มีแสงสายฟ้าสีม่วงเจิดจ้าห่อหุ้มก็พุ่งออกมา ตอนนี้เขาดูราวกับเป็นเทพสายฟ้า ให้ความรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ที่ไม่มีใครสามารถทัดเทียมได้ สีหน้าเคร่งขรึม ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ แลดูน่ากลัวอย่างถึงขีดสุด

………………………………

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset