“ศิษย์น้องไป๋ ข้ารู้ว่าพลังจิตของเจ้าแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปมาก สามารถสัมผัสอะไรได้จากศิษย์นิกายเอกะบ้าง!” จู่ๆ เจียหลานก็ขมวดคิ้วถามขึ้นมา
“หรือว่าศิษย์พี่พบเห็นอะไร? ข้าไม่ได้รู้สึกผิดปกติแต่อย่างใด!” หลิ่วหมิงได้ยินก็ถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ข้าคงจะคิดไปเอง แต่เมื่อเข้าไปในแดนลึกลับศิษย์น้องควรจะระวังศิษย์นิกายเอกะสักหน่อยนะ! ในบรรดาศิษย์ของนิกายเอกะดูเหมือนจะมีคนที่ไม่ได้รับผลกระทบจากร่างละเมอฝันของข้า แต่กลับจะต่อต้านพลังของข้าได้ คงจะเป็นผู้ที่มีพลังจิตแข็งแกร่งมากเช่นกัน” สีหน้าเจียหลานเปลี่ยนไปมาหลายครั้งแล้วถึงกล่าวออกมา
“นิกายเอกะมีศิษย์เช่นนี้ด้วย!” หลิ่วหมิงได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังหินโสโครกครู่หนึ่ง น่าเสียดายที่อยู่ห่างกันค่อนข้างไกล ทำให้เห็นแค่เงาร่างเลือนลางจำนวนหนึ่งเท่านั้น และไม่สามารถมองเห็นอะไรอย่างชัดเจนได้เลย
ตอนนี้เจียหลานก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีก เพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยแล้วก็เดินออกไปเงียบๆ เหมือนตอนที่เดินมา
“ศิษย์น้องไป๋ เมื่อครู่ศิษย์น้องเจียหลานพูดอะไรกับเจ้า?” ในขณะที่หลิ่วหมิงกำลังคิดถึงเรื่องที่เจียหลานกล่าวถึงอยู่นั้น พลันมีคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาและกล่าวอย่างเยือกเย็น
“ที่แท้ก็คือศิษย์พี่หมิ่น! ศิษย์พี่ก็แค่พูดคุยเล่นกับข้าไม่กี่ประโยคเท่านั้น!” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วมองผู้ที่เดินมาแล้วกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน
ผู้ที่ถามขึ้นมาคือหมิ่นโซ่วที่มีชื่ออยู่อันดับที่สามบนแผ่นศิลาจันทรา ใบหน้าเขาซีดขาว ดวงตาทั้งคู่เรียวเล็ก เป็นศิษย์สาขาพิษจิตวิญญาณ ถึงแม้จะไม่ได้แสดงฝีมือในการประลองใหญ่ แต่ว่ากันว่าวิชาพิษของเขาได้ฝึกฝนจนเข้าขั้นยอดเยี่ยมแล้ว สามารถใช้พิษโจมตีศัตรูได้อย่างรวดเร็วและไร้ร่องรอย
“ในเมื่อแค่พูดคุยเล่น ศิษย์น้องควรจะอยู่ห่างเจียหลานไว้หน่อยจะดีกว่า เพื่อป้องกันการเข้าใจผิดของศิษย์พี่อย่างข้า” หมิ่นโซ่วกล่าวด้วยสีหน้าอึมครึม
ตอนแรกหลิ่วหมิงก็รู้สึกงงงวย จากนั้นก็พินิจดูชายชุดเขียวอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็หัวเราะโดยไม่กล่าวอะไรออกมา
หมิ่นโซ่วเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก เขากล่าวออกมาด้วยแววตาที่โหดร้าย
“ดูเหมือนศิษย์น้องจะยังไม่รู้ ตระกูลหมิ่นของข้าได้พูดเรื่องการแต่งงานกับเจียหลานแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานศิษย์น้องเจียหลานก็จะเป็นคนของข้า ทางที่ดีศิษย์น้องควรจะรู้ว่าต้องทำตัวอย่างไร! มิเช่นนั้นล่ะก็เจ้าจงดูจุดจบของหินก้อนนี้!”
พอหมิ่นโซ่วกล่าวคำพูดที่เหมือนข่มขู่จบ ก็พลันชี้นิ้วมือไปยังหินสีเทาก้อนที่อยู่ข้างตัวหลิ่วหมิง จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงชายตามองเล็กน้อย ก็เห็นหินก้อนนั้นกลายเป็นสีดำมืดแล้วระเบิดออกมา
เขาเอามือลูบคางไปมา หลักจากที่ดวงตาของเขาเป็นประกายเขาก็ไม่ใส่ใจในเรื่องนี้อีก
เวลาค่อยๆ ผ่านไป เมื่อเวลาผ่านไปประมาณครึ่งวัน ในที่สุดก็มีแสงพุ่งออกมาจากปล่องภูเขาไฟที่อยู่ไกลออกไป เงาร่างของคนสองคนเหาะออกมาจากในนั้นแล้วพุ่งมายังแนวหินโสโครก
ครู่เดียวลำแสงก็ดับไปพร้อมกับปรากฏร่างของคนสองคน พวกเขาคือเหลิ่งเยวี่ยซือไท่กับหลวงจีนชื่อหยาง
“ทางเข้าแดนลึกลับมั่นคงแล้ว ทั้งหมดจงลงไปข้างล่างเพื่อเตรียมพร้อมเข้าแดนลึกลับกัน” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่กล่าวอย่างเยือกเย็น
“ศิษย์นิกายเอกะฟังให้ดี จากการที่พวกข้าได้หารือกัน พวกเจ้าสามารถเข้าแดนลึกลับได้สิบคน ที่เหลือก็ให้รอฟังข่าวอยู่ด้านนอก” หลวงจีนชื่อหยางกล่าวกับศิษย์นิกายเอกะด้วยรอยยิ้มจางๆ
“ทราบ! พวกข้าน้อมรับคำสั่งของผู้อาวุโส!” ศิษย์ของนิกายเอกะผู้หนึ่งที่เป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงบางลุกขึ้นมาโค้งคารวะพร้อมกับกล่าวออกมา
“ในเมื่อไม่มีปัญหาอะไรแล้วก็เริ่มดำเนินการเถอะ!” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่สั่งแล้วก็หมุนตัวเหาะไปยังปล่องภูเขาไฟพร้อมกับหลวงจีนชื่อหยางอีกครั้ง
ภายใต้การนำของเหลิ่งเยวี่ยซือไท่ ศิษย์แต่ละนิกายก็พากันเหาะไปยังภูเขาไฟ
เวลาผ่านไปชั่วครู่ หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ก็มาถึงด้านบนของปล่องภูเขาไฟ เมื่อมองลงไปด้านล่างก็เห็นหินละลายสีแดงดำพ่นไอร้อนสีดำออกมา
“ระวังกันหน่อยนะ! ด้วยระดับการฝึกฝนของพวกเจ้าในตอนนี้ไม่อาจจะต้านทานอุณหภูมิระดับนี้ได้ พวกข้าจะแสดงวิชาคุ้มกันให้พวกเจ้าลงไปเอง”
ประมุขนิกายปีศาจกล่าวอย่างเคร่งขรึมแล้วก็สะบัดแขนเสื้อ ม่านแสงสีแดงชั้นหนึ่งถูกปล่อยออกมาทันที และค่อยๆ แผ่ขยายปกคลุมไว้รอบด้าน มันห่อหุ้มหยางเฉียน เฟิงฉาน และอีกสามคนไว้ข้างใน แล้วก็กลายเป็นแสงสีแดงกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมา พอมันเปล่งประกายก็จมหายไปในหินละลายอย่างไร้ร่องรอย
หลิ่วหมิงเห็นฉากนี้ก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย
แต่ในขณะนั้นเอง อาจารย์อาจางที่อยู่ด้านข้างก็แสดงวิชาเหมือนกันออกมาแล้ว และมันก็ห่อหุ้มเขา เหลยเจิ้น และสือชวนไว้ในแสงสีแดงแล้วพุ่งออกไป
หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่าแสงสีแดงตรงหน้ามืดแล้วก็สว่าง จากนั้นร่างของเขาก็เข้าไปในหินละลายนั้นแล้ว แต่เพราะถูกแสงสีแดงปกคลุมไว้เลยไม่รู้สึกร้อนแต่อย่างใด และถูกพลังบางอย่างพาเขาดิ่งลึกลงไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่พุ่งลงไปประมาณชั่วเวลาครึ่งถ้วยชา แสงสีแดงที่ปกคลุมรอบด้านก็หายไป ทิวทัศน์รอบด้านก็กลายเป็นดินสีดำ
แต่ครั้งนี้เขาดิ่งลงไปแค่เพียงชั่วครู่ก็พบกับถ้ำขนาดใหญ่ที่มีแสงสว่างรอบด้าน
พื้นที่ภายในถ้ำทั้งหมดมีขนาดใหญ่ร้อยกว่าหมู่ ผนังหินรอบด้านล้วนเป็นหินสีดำที่ดูเกลี้ยงเกลาเป็นพิเศษ ราวกับว่าถูกคนใช้ขวานอันคมกริบผ่ามันออกมา
และพื้นที่ใจกลางถ้ำมีค่ายกลอักขระหลากสีขนาดหมู่กว่าๆ ตั้งอยู่ ในนั้นมีผลึกหินฟ้าสีดำเลี่ยมฝังอยู่แน่นขนัด มองออกไปคร่าวๆ ก็เห็นมีจำนวนประมานหลายร้อยก้อน และแต่ละก้อนก็มีขนาดเท่าไข่ไก่
รอบค่ายกลยังมีแท่นหินสูงจั้งกว่าๆ อยู่หกแท่น แต่และแท่นมีคนนั่งอยู่หนึ่งคน ซึ่งก็คืออาจารย์ปู่เยี่ยน เหลิ่งเยวี่ยซือไท่ และผู้อาวุโสระดับผลึกท่านอื่นๆ
ห้าคนในนั้นต่างก็มีแผ่นกลมๆ ลอยอยู่ด้านหน้า และมีแสงสีขาวเปล่งออกมาจากในนั้น แสงเหล่านั้นต่างก็รวมตัวเป็นกลุ่มแสงสีเทาลอยอยู่เหนือค่ายกล
แสงกลุ่มนี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางเจ็ดแปดจั้ง มันค่อยๆ หมุนตัวในอากาศอยู่ไม่หยุด ทั้งยังไร้ซึ่งสุ้มเสียงใดๆ ราวกับว่ามันไม่มีเสียง
ใจกลางค่ายกลกลับมีเตาหลอมสีทองขนาดใหญ่อยู่ใบหนึ่ง และอักขระสีทองแต่ละตัวก็พุ่งออกมาจากในนั้นอยู่ไม่หยุด แแล้วก็จมหายเข้าไปในกลุ่มแสงสีเทา
ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังสังเกตดูรอบด้านนั้น ศิษย์แต่ละนิกายต่างก็มาถึงถ้ำที่เขาอยู่แล้ว และยืนอยู่รวมกันเป็นกลุ่มตามนิกายของตนเอง
พอเขากวาดสายตามองไป กลับเห็นทางด้านหุบเขาเก้าช่องนั้นมีศิษย์ผู้หนึ่งใช้สายตาที่โหดเหี้ยมจ้องมองเขาอยู่
“คือเขา”
พอหลิ่วหมิงเห็นใบหน้าของศิษย์ของหุบเขาเก้าช่องผู้นั้นชัดเจนก็หัวเราะออกมา
คนผู้นั้นก็คือจินอวี่ ศิษย์ผู้มีพรสวรรค์ที่เคยต่อสู้กับเขาบนเกาะสยบมังกรนั่นเอง ตอนนี้เขาสูงกว่าสองปีก่อนเล็กน้อย ไหล่ก็หนากว่าเดิมนิดหน่อย โดยรวมแล้วเปลี่ยนแปลงไปไม่ค่อยมาก
แต่ตัวเขาเองกลับใช้น้ำล้างไขกระดูกจนทำให้รูปร่างภายนอกดูเปลี่ยนไปไม่น้อย ต้อมชมที่ศิษย์ผู้นี้ยังจำเขาได้
หลังจากที่หลิ่วหมิงนึกถึงจุดนี้ก็ยิ้มให้กับฝ่ายตรงข้ามเล็กน้อยแล้วก็ละสายตากลับมา แต่เป็นเพราะคำพูดของเจียหลานในก่อนหน้านั้นเขาเลยมองไปยังนิกายเอกะ
ศิษย์ทั้งสิบของนิกายเอกะเป็นหญิงสามคนชายเจ็ดคน ในสามคนนี้ต่างก็ค่อนข้างเป็นคนสวยงาม ชายหนุ่มทั้งเจ็ดก็เรียกได้ว่ามีกลิ่นไอที่ไม่ธรรมดา แต่จากการสังเกตเพียงคร่าวๆ และรวดเร็วก็ไม่สามารถค้นพบความผิดปกติใดๆ ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเจียหลานคิดไปเอง ก็เป็นเพราะว่าคนผู้นี้กับเจียหลานต่างก็มีความชำนาญในการปลอมตัว
หลิ่วหมิงไม่กล้ามองอะไรมาก เขาถอนสายตากลับมาแล้วกวาดมองไปยังนิกายอื่นๆ รอบหนึ่ง
ศิษย์นิกายจันทราสวรรค์ล้วนสวมชุดสีขาวไปทั้งตัว แต่ละคนสะพายกระบี่ไว้ที่หลัง ศิษย์หอสายธารโลหิตสวมชุดสีเลือดเป็นหลัก ทุกคนต่างก็มีกลิ่นคาวเลือดบางอย่างที่บอกไม่ถูก ศิษย์หุบเขาเก้าช่องถึงแม้จะใส่ชุดปนกันหลายแบบ แต่ต่างก็มีถุงหนังตุงนูนห้อยอยู่ที่เอว
ขณะนี้ชายแปลกประหลาดบนแท่นหินผู้หนึ่งที่มีผิวหนังดูคล้ายกับโปร่งแสงก็ได้กล่าวออกมาในที่สุด
“ดีมาก! ในเมื่อมากันครบแล้ว หลังเวลาหนึ่งก้านธูปก็เริ่มเข้าสู่แดนลึกลับกันเถอะ!”
เมื่อกล่าวจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อ “ฟรึ่บ!” ธูปติดไฟก็พุ่งออกมาและเสียบอยู่บนพื้นบริเวณอย่างมั่นคง
“แต่ก่อนอื่นจะอธิบายกฎของการทดสอบความเป็นความตายกันก่อน เพราะนิกายเอกะนั้นก็เป็นแขก คงจะไม่ค่อยเข้าใจกฎการทดสอบความเป็นความตายของพวกเรา” ชายผอมสูงที่คลุมผ้าคลุมยาวสีเลือดมองดูก้านธูปอยู่ครู่หนึ่งและยิ้มกล่าวออกมาด้วยสีหน้าอึมครึม
“ฮึ! การทดสอบครั้งนี้ต่างกับครั้งที่ผ่านมา แล้วยังต้องใช้กฎอะไรอีก กฎเดียวก็คือไม่ต้องการกฎ! ศิษย์ที่เข้าแดนลึกลับสามารถรวบรวมทรัพยากรต่างๆ ได้โดยไม่จำกัดวิธีการใดๆ ในระหว่างนี้ทุกคนต้องรับผิดชอบความเป็นตายของตนเอง รอจนเมื่อศิษย์ทุกคนกลับมาแล้ว ค่อยใช้จำนวนทรัพยากรที่แต่ละนิกายหาได้จากในนั้นมาตัดสินอันดับตามที่ได้ตกลงไว้ในก่อนหน้า!” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่กล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
“เฮ่อๆ! ดูท่าสหายเหลิ่งเยวี่ยมีความมั่นใจต่อศิษย์ที่พามาในครั้งนี้มาก ได้! งั้นเอาตามนี้แหละ!” ชายโปร่งแสงหัวเราะแปลกประหลาดแล้วกล่าวออกมา
“ข้าไม่มีข้อคัดค้านใดๆ!”
“แบบนี้ดีแล้ว!”
ผู้อาวุโสระดับผลึกหลายคนต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย
ผู้อาวุโสระดับผลึกของนิกายเอกะอย่างมู่หรงเซวี่ยน กลับหรี่ตาควบคุมแผ่นกลมที่อยู่ด้านหน้า โดยไม่กล่าวอะไรออกมา
“ดีมาก! ในเมื่อทุกคนไม่มีข้อคัดค้านใดๆ ก็ให้ผู้น้อยเหล่านี้เริ่มเตรียมตัวกันเถอะ!” หลวงจีนหลิงอวี้มองดูธูปที่ไหม้ไปเกือบครึ่งหนึ่งแล้วกล่าวออกมาอย่างสงบ
“ตามกฎเดิม จะส่งศิษย์นิกายละหนึ่งคนนิกายเข้าไปพร้อมกันในแต่ละครั้ง” หลวงจีนหลิงอวี้กล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
ประจักษ์ชัดแจ้งว่าคนอื่นๆ ก็ไม่คัดค้านกับวิธีการนี้
ดังนั้นเมื่อธูปก้านนั้นมอดไหม้จนหมด ศิษย์แต่ละนิกายก็เริ่มเดินเข้าไปยังใจกลางค่ายกล พวกเขาถูกแรงดึงดูดม้วนตัวเข้าไปกลุ่มแสงสีเทา จากนั้นก็หมุนติ้วๆ หายวับเข้าไปอย่างไร้ร่องรอย
ทางฝั่งนิกายปีศาจได้ส่งศิษย์พี่ใหญ่อย่างหยางเฉียนเข้าไปก่อน
ศิษย์คนแรกที่นิกายอื่นๆ ส่งเข้าไปต่างก็เป็นผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาศิษย์ของตนเอง เพื่อป้องกันไว้ว่าถ้าหากเกิดอะไรขึ้นในนั้นก็ยังพอจะรับมือด้วยตนเองได้
หลิ่วหมิงถูกส่งเข้าไปเป็นอันดับที่เจ็ด หลังจากที่ตัวเขาหมุนติ้วๆ พลิกไปมาแล้ว ก็มาคุกเข่าอยู่กลางทุ่งหญ้ารกที่สูงเท่าเอว
เขาฝืนลุกขึ้นมามองดูรอบด้านก็พบว่าศิษย์ที่ถูกส่งมาก่อนหน้านั้นต่างก็ยืนอยู่กันเป็นกลุ่มๆ ในบริเวณแถบนั้น
และอากาศที่อยู่สูงขึ้นไปสิบกว่าจั้ง ก็มีกลุ่มแสงสีเทาขนาดใหญ่เช่นกัน มันค่อยๆ หมุนวนอยู่ไม่หยุด
บนท้องฟ้าที่สูงขึ้นไปอีกก็มีพระอาทิตย์อยู่ดวงหนึ่ง ตำแหน่งที่อยู่ห่างจากพวกเขาไปไม่ไกลมีป่าดงดิบผืนหนึ่งที่เขียวชอุ่มเป็นอย่างมาก อีกด้านหนึ่งเป็นทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
ดูเหมือนว่าพวกเขาต่างก็อยู่ในระหว่างเขตแดนทั้งสองพอดี
หลิ่วหมิงฉุกคิดไปมาอย่างรวดเร็ว จนเมื่อฟื้นตัวมาเล็กน้อยแล้วก็เดินไปยังที่ที่หยางเฉียนและคนอื่นๆ ยืนอยู่
……………………………………….