ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 113 เห็ดหูหนูจิตวิญญาณทองคำ

ตอนที่ 113 เห็ดหูหนูจิตวิญญาณทองคำ

หลังจากผ่านไปสักครู่ ในที่สุดศิษย์ทั้งหมดก็หล่นออกมาจากกลุ่มแสงสีเทา และยืนห้อมล้อมกันตามกลุ่มนิกายของตนเอง

ขณะนั้นเองก็สีน้ำเสียงเยือกเย็นของเหลิ่งเยวี่ยซือไท่ดังออกมาจากกลุ่มแสงสีเทา

“พวกเจ้าจงฟังให้ดี ทางเข้านี้มีของล้ำค่าของสหายมู่หรงคอยช่วยต้านทานไว้ ดังนั้นจึงประคองไม่ให้มันทลายลงมาได้นานขึ้น พวกเจ้าสามารถอยู่ในแดนลึกลับได้นานหนึ่งเดือนครึ่งแล้วค่อยกลับมายังสถานที่แห่งนี้ จำไว้ให้ดีมีเวลาแค่หนึ่งเดือนครึ่งเท่านั้น ถ้ากลับมาช้ากว่านี้ก็อย่าคิดที่จะออกไปจากในนี้อีกเลย”

หลังจากเสียงของเหลิ่งเยวี่ยซือไท่สิ้นสุดลง กลุ่มแสงสีเทาก็เงียบสงบขึ้นมา

“ศิษย์น้องทุกท่านได้ยินกันแล้วใช่ไหม พวกเรามาหารือกันว่าจะดำเนินการต่อไปดีกว่า ตามความเห็นของท่านประมุขและอาจารย์อาทั้งหลายคือถ้าหากว่าแดนลึกลับแห่งนี้ไม่กว้างล่ะก็ ให้พวกเราไปด้วยกันจะดีที่สุด เพื่อป้องกันการโจมตีจากนิกายอื่นๆ แต่ถ้าหากแดนลึกลับกว้างมากล่ะก็ ก็ต้องแยกย้ายกันดำเนินการ จะได้รวบรวมทรัพยากรได้มากและรวดเร็วที่สุด” หยางเฉียนกวาดสายตามองหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ แล้วกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ

“เฮ่อๆ! แดนลึกลับแห่งนี้มีพลังฟ้าดินเข้มข้นเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าพื้นที่คงไม่เล็กแล้ว ย่อมต้องแยกย้ายกันดำเนินการ อย่างน้อยข้าก็จะไม่ไปกับคนอื่นแน่นอน!” ศิษย์แข็งแกร่งที่สุดของสาขาฝึกศพที่มีผมเผ้ายุ่งเหยิงอย่างเฟิงฉานก็หัวเราะและกล่าวออกมา

“ข้าเองก็เห็นด้วย ข้าไม่อยากถูกคนอ่อนแอบางคนที่อาศัยความโชคดีเข้ามาในกลุ่มของพวกเรา และเป็นภาระในการดำเนินการด้วย แดนลึกลับลับธรรมชาติขนาดใหญ่เช่นนี้ไม่รู้ว่าหลายพันปีจะเจอสักครั้งหรือเปล่า ข้าจะไม่ยอมเสียโอกาสอันดีที่ฟ้าประทานมาให้นี้ไปอย่างแน่นอน” หมิ่นโซ่วหัวเราะเยือกเย็นแล้วกล่าวออกมา

ส่วนผู้อ่อนแอที่เขากล่าวถึงจะเป็นใครนั้นนั้น ก็คงมีแต่ฟ้าเท่านั้นที่รู้

ส่วนเฉียนฮุ่ยเหนียง เจียหลาน เกาชงและคนอื่นๆ ถึงจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ดูจากสีหน้าที่แสดงออกก็ประจักษ์ชัดว่าก็เห็นด้วยพอๆ กัน!

“ดีมาก! ในเมื่อศิษย์น้องทุกท่านต่างก็ต้องการเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็แยกกันดำเนินการ และรับผิดชอบความเป็นตายของตัวเองเถอะ! แต่ถ้าในระหว่างนี้เจอศิษย์ร่วมนิกายที่ผจญกับอันตรายอยู่ล่ะก็ จงให้ความช่วยเหลือเป็นอันดับแรก” หยางเฉียนพยักหน้ากล่าวออกมา

ขณะนี้ศิษย์นิกายอื่นๆ ก็ดูเหมือนจะหารือกันเสร็จแล้ว ตอนนั้นไม่รู้ว่าใครเป็นคนนำออกไปก่อน และต่างก็แยกย้ายกันออกไป บ้างก็กระโจนไปยังป่าดงดิบบริเวณนั้น บ้างก็ขี่เมฆทะยานขึ้นฟ้ามองไปยังทุ่งหญ้าที่ไกลออกไป

แต่ผู้ที่แสดงวิชาทะยานเวหานั้นต่างก็อยู่สูงจากพื้นสิบกว่าจั้งเท่านั้น และไม่กล้าเหาะขึ้นสูงมากนัก

ดูเหมือนทุกคนต่างก็ไม่มีใครโง่ ที่จะไม่รู้ว่าสถานที่อันตรายแห่งนี้ ถ้าเหาะขึ้นสูงขึ้นไปก็เท่ากับหาเรื่องตายเท่านั้น

เมื่อเห็นสภาพเช่นนี้เฟิงฉานก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง แล้วเขาก็พุ่งร่างไปยังป่าดงดิบพร้อมกับไอดำที่พุ่งออกมา

หมิ่นโซ่วกับเกาชงก็เดินตามไปติดๆ โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

หยางเฉียนและคนอื่นๆ ต่างก็เรียกเมฆสีเทาออกมาแล้วขี่ออกไปยังทุ่งหญ้าที่อยู่ไกลๆ

พริบตาเดียวก็เหลือแค่หลิ่วหมิง สือชวน และเจียหลานที่ยังอยู่ที่เดิมเท่านั้น

“ศิษย์น้องระวังให้มากหน่อยนะ ข้าเองก็ต้องไปก่อนละ!”

สือชวนกำชับหลิ่วหมิวไปหนึ่งประโยคแล้วก็ทะยานขึ้นฟ้าไป ดูจากทิศทางที่ไปแล้วเป็นทิศทางเดียวกับศิษย์พี่ใหญ่ในนิกายอย่างหยางเฉียน

เจียหลานยิ้มให้กับหลิ่วหมิงแล้วก็หมุนตัวเหาะไปยังป่าดงดิบ

หลิ่วหมิงแหงนหน้ามองฟ้า และมองไปยังศิษย์ไม่กี่คนที่ยังไม่ยอมจากไปอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็เรียกเมฆเทาเหาะไปยังป่าดงดิบ

แต่พอเขาเหาะไปใกล้จะถึงชายป่าดงดิบ กลับเปลี่ยนทิศทางเหาะเลียบไปตามขอบชายป่าในฉับพลัน

คนอื่นๆ ที่เหลือก็เลือกทิศทางอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พากันจากไป

หลิ่วหมิงใช้แผ่นกลมๆ วาดแผนที่ที่เหาะผ่านมา และสำรวจดูรอบด้านอย่างระมัดระวัง

เห็นได้ชัดว่าพื้นที่ป่าดงดิบนั้นกว้างมาก ต้องเรียกว่าป่าดงดิบขนาดใหญ่ถึงจะถูก

อึดใจเดียวเขาก็เหาะมาได้ครึ่งชั่วยามแล้ว แต่ตลอดทางที่เหาะผ่านมานั้นดูเงียบผิดปกติ นอกจากจะพบเห็นแมลงขนาดเล็กที่ไม่ทราบชื่อจำนวนหนึ่งแล้ว ก็ไม่เห็นสัตว์อื่นใดปรากฏออกมาเลย

หลิ่วหมิงเริ่มคิดพิจารณาแล้วว่าจะมุ่งหน้าต่อไปดีหรือไม่

ตามที่เขาคำนวณในใจ ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากตำแหน่งที่คนอื่นเข้าไปในป่าดงดิบค่อนข้างไกลแล้ว เพียงแค่ระวังให้มากหน่อยในระยะเวลาอันสั้นนี้คงจะไม่พบเจอกับศิษย์นิกายอื่นๆ

ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังคิดไตร่ตรองอยู่นั้นพลันได้ยินเสียงดังขึ้น ตอนแรกดูเหมือนจะเบาๆ แต่ครู่เดียวก็ดังสะเทือนเลือนลั่นขึ้นมา

เขามองไปยังทุ่งหญ้าด้วยความตกใจ บนเส้นขอบฟ้าที่จรดกับทุ่งหญ้าสีเขียวนั้น มีกำแพงวายุสีแดงที่มองไม่เห็นขอบสิ้นสุด ซึ่งไม่รู้ว่ามันปรากฏออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ และมันกำลังพุ่งมายังป่าดงดิบด้วยเสียงอันดัง

สีหมิงสีหน้าหนักอึ้งในทันที เขาหมุนตัวเหาะไปยังป่าดงดิบอย่างไม่ลังเล

ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่ากำแพงวายุสีแดงนี้คืออะไร แต่คิดว่ามันคงไม่ใช่สิ่งที่ดีอย่างแน่นอน และก็ไม่รู้ว่าศิษย์ที่เข้าไปในทุ่งหญ้าจะมีใครโชคร้ายโดนม้วนตัวเข้าไปในนั้นหรือเปล่า

หากเป็นเช่นนี้จริงล่ะก็ คงได้แต่ขอให้พวกเขาโชคดีเท่านั้น

สถานที่ทุกแห่งของป่าดงดิบเต็มไปด้วยต้นไม้โบราณที่สูงยี่สิบถึงสามสิบจั้ง!

พอหลิ่วหมิงเจ้าไปในป่าดงดิบ ก็รีบเก็บวิชาทะยานฟ้า แล้วเปลี่ยนเป็นวิชาตัวเบาแทน จากนั้นก็ค่อยๆ ลอยไปตามช่องว่างระหว่างต้นไม้แต่ละต้น

ผ่านไปไม่นานเขาก็เข้าไปในป่าดงดิบได้ไกลหลายลี้ จากนั้นจึงได้ชะลอความเร็วเพื่อสำรวจดูรอบด้าน

ไม่รู้ว่ากี่ปีแล้วที่ไม่มีผู้มาเยือนป่าดงดิบแห่งนี้ ช่องว่างระหว่างต้นไม้แต่ละต้นต่างก็มีเถาวัลย์สีดำที่ไม่ทราบชื่อพันอยู่เต็มไปหมด บนพื้นเต็มไปด้วยใบไม้แห้งที่ทับถมกันจนสูงหลายฉื่อ ใบไม้ส่วนล่างล้วนเน่าเปื่อยกลายเป็นดินเลนหมดแล้ว ขณะที่ส่วนบนกลับยังมีสภาพเป็นเหมือนใบไม้ที่เพิ่งจะร่วงลงมา

และด้านบนของป่าดงดิบทั้งหมดล้วนปกคลุมด้วยใบไม้กิ่งไม้ ใบไม้ ซ้อนกันหลายๆ ชั้น ซึ่งมีแสงแดดเล็ดลอดลงมาได้เพียงเล็กน้อย ทำให้บรรยากาศด้านล่างเปียกชื้นและมืดครึ้มผิดปกติ

หลังจากที่ตาของหลิ่วหมิงเป็นประกาย ก็ถือโอกาสถึงเถาวัลย์แห้งเส้นหนึ่งที่อยู่บริเวณนั้น หลังจากที่ออกแรงไปสองส่วนไม่คาดคิดว่าจะไม่สามารถดึงมันให้ขาดได้ เขาแสดงสีหน้าประหลาดใจอย่างอดไม่ได้

เขาสังเกตดูเถาวัลย์เหล่านี้อย่างละเอียดครู่หนึ่ง แล้วถึงได้กำมือออกแรงไปห้าส่วน

เสียงดัง “พลั่ก!”

ครั้งนี้เส้นเถาวัลย์ก็ขาดกระจุยอยู่ในมือเขา

หลิ่วหมิงส่ายศีรษะแล้วก็ลอยไปโดยไม่สนใจเถาวัลย์เหล่านี้อีก

หลังจากที่เดินหน้าต่อไปได้ประมาณชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าว สีหน้าของหลิ่วหมิงก็เปลี่ยนไป เขาลอยลงจากบนต้นไม้ และร่อนลงบนใบไม้แห้งหนาๆ หลังจากที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วก็มาปรากฏตัวด้านหน้าต้นไม้แห้งที่เหลืออยู่เพียงครึ่งท่อน

ไม่รู้ว่าทำไมส่วนบนของไม้ต้นนี้ถึงได้อันตรธานหายไปจนหมดสิ้น เปลือกไม้ส่วนล่างก็เหลืองแห้งจนลีบผิดปกติ ดูเหมือนกับว่ามันไม่มีชีวิตรอดแล้ว

แต่หลิ่วหมิงไม่ได้สนใจต้นไม้แห้งต้นนี้ สายตาของเขาตกอยู่ที่กลุ่มเห็ดหูหนูสีดำที่ขึ้นหลบแสงแดดอยู่ตรงส่วนล่างของต้นไม้ต้นนี้ มันดูคล้ายไปกับเห็ดหูหนูทั่วไป แต่บริเวณขอบของมันกลับมีอักขระสีทองเปล่งประกายอยู่ และยังส่งกลิ่นหอมจรุงใจยั่วยวนคนเป็นอย่างมาก

หลิ่วหมิงเอามือคลำตรงหน้าอกแล้วหยิบคัมภีร์สีเงินหนาๆ เล่มหนึ่งออกมา บนนั้นมีอักษรสีคำเขียนว่าไว้ ‘คัมภีร์รวมวัตถุจิตวิญญาณ’ เขาพลิกดูอย่างรวดเร็ว

ก่อนที่พวกเขาจะออกเดินทาง ประมุขนิกายปีศาจได้มอบคัมภีร์เล่มนี้ให้กับศิษย์แกนนำทั้งสิบโดยเฉพาะ เพื่อป้องกันพวกเขาพลาดทรัพยากรล้ำค่าอะไรไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิษย์เหล่านี้ต่างก็ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญการเก็บสมุนไพรโดยเฉพาะ ถึงแม้จะรู้จักวัตถุจิตวิญญาณบ้าง แต่ก็ล้วนเป็นแค่สิ่งของธรรมดาเท่านั้น และไม่เคยได้สัมผัสกับวัตถุจิตวิญญาณฟ้าดินตามตำนานทั้งหมดอย่างแน่นอน

มีคัมภีร์เล่มนี้แล้ว พวกเขาแค่อ่านผ่านๆ ก่อนหนึ่งรอบก็พอจะเข้าใจคร่าวๆ จากนั้นเมื่อค้นพบสิ่งของที่ดูคล้ายกันก็หยิบมันออกมาดูคำอธิบายตามรูปภาพก็สามารถแยกแยะได้แล้ว

คัมภีร์รวมวัตถุจิตวิญญาณเล่มนี้ไม่เพียงแต่บันทึกพืชหญ้าสมุนไพรเท่านั้น แต่ยังบันทึกเกี่ยวกับทรัพยากรล้ำค่ากับวัตถุจิตวิญญาณฟ้าดินที่ไม่สามารถจัดหมวดหมู่ได้

ทันทีที่นิ้วเขาหยุดชะงัก หน้าคัมภีร์ก็หยุดค้างไว้

“ที่แท้ก็เป็นเห็ดหูหนูจิตวิญญาณทองคำ ของสิ่งนี้สามารถใช้เป็นวัตถุดิบในการปรุงโอสถจิตวิญญาณคุณภาพสูง ในโลกภายนอกนั้นมีอยู่น้อยมาก คาดว่าเห็ดกลุ่มเล็กๆ นี้มีราคาเกือบหนึ่งพันหินจิตวิญญาณเลยทีเดียว” หลิ่วหมิงดูรูปในคัมภีร์ และมองไปยังวัตถุจิตวิญญาณบนตอไม้แห้งแล้วก็กล่าวพึมพำด้วยความดีใจอย่างอดไม่ได้

จากนั้นเขาก็หยิบกล่องไม้เล็กๆ ออกมาจากตัว มืออีกข้างก็พลิกตัวหยิบกระบี่สั้นสีเขียวออกมา

เขาค่อยๆ สะบัดข้อมือเล็กน้อย หลังจากที่ลำแสงสีเขียวกระพริบผ่านไป เห็ดหูหนูจิตวิญญาณทองคำทั้งหมดก็ถูกตัดออกมาพร้อมกันและหล่นลงในกล่องไม้ที่ตนเองเตรียมไว้พอดี

หลิ่วหมิงนำผ้าย่อส่วนคลุมกล่องไม้ไว้ หลังจากที่มันถูกย่อส่วนจนมีขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียวแล้วก็ห่อมันไว้ในนั้น และนำไปเก็บไว้ตรงหน้าอก จากนั้นก็ค้นหาบริเวณนั้นอีกรอบ

หนึ่งชั่วยามผ่านไป เขาก็หาเห็ดหูหนูจิตวิญญาณทองคำจากต้นไม้แห้งสองต้นที่อยู่บริเวณนั้นได้อีกสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งมีขนาดพอๆ กับที่พบในก่อนหน้า ส่วนอีกกลุ่มกลับมีขนาดใหญ่กว่าสามถึงสี่เท่า

เท่ากับว่าภายในระยะเวลาสั้นๆ นี้เขาได้ทรัพยากรที่มีมูลค่าห้าถึงหกพันเหรียญจิตวิญญาณแล้ว

สิ่งนี้ย่อมทำให้หลิ่วหมิงค่อนข้างพอใจเป็นอย่างมาก

ถึงแม้เขาจะรู้ว่าถ้าค้นหาต่อไปก็จะยังหามันได้เพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ แต่เขาก็ระงับอาการดีใจไว้ แล้วก็ไปออกไปจากสถานที่แห่งนี้

ถึงแม้เห็ดหูหนูจิตวิญญาณทองคำนี้จะมีมูลค่าไม่น้อย แต่ก็ไม่คุ้มค่าที่จะเสียเวลาไปกับมัน

เขามีเวลาอยู่ในแดนลึกลับนี้จำกัด ดังนั้นควรจะไปหาของล้ำค่าที่แท้จริงของแดนลึกลับแห่งนี้จะดีกว่า

หลิ่วหมิงเดินไปตามทิศทางบางแห่งในป้าดงดิบไปเรื่อยๆ ถ้าระหว่างทางพบเจอกับพืชสมุนไพรจิตวิญญาณก็รีบค้นหาอีกรอบ พอพื้นที่บริเวณนั้นไม่มีของล้ำค่าใดแล้วก็รีบเดินทางอีกครั้ง

ผ่านไปไม่นาน ผ้าย่อส่วนของเขาก็มีพืชจิตวิญญาณที่แตกต่างกันเจ็ดถึงแปดชนิด ในนั้นมีทั้งพืชที่มีราคาไม่เท่าเห็ดหูหนูจิตวิญญาณทองคำ และราคามากกว่าเห็ดหูหนูจิตวิญญาณทองคำเท่าตัว นับว่าเขาเก็บเกี่ยวได้ไม่เลว

ทันใดนั้น หลิ่วหมิงก็หยุดชะงักลงบนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งด้วยความตกใจ เขามองออกไปยังต้นไม้ใหญ่อีกต้นที่อยู่ไม่ไกล

บนปลายกิ่งไม้ขนาดเท่าแขนนั้น มีศพของสัตว์ขนอ่อนสีเทาเล็กๆ เสียบอยู่ ร่างเกือบครึ่งหนึ่งของมันได้อันตรธานหายไปแล้ว ส่วนที่เหลืออยู่กลับมีหยดโลหิตสดๆ ไหลออกมา

ขณะเดียวกันกลิ่นคาวเลือดก็คละคลุ้งไปทั่วพื้นที่บริเวณแถบนี้ สัตว์ตัวนี้ดูเหมือนเพิ่งจะตายไปได้ไม่นาน

ถึงแม้หลิ่วหมิงจะรู้แต่แรกแล้วว่าแดนลึกลับธรรมชาติที่มีขนาดใหญ่เช่นนี้ จะต้องมีสัตว์อาศัยอยู่ แต่เมื่อเห็นสภาพการณ์ในตอนนี้แล้วเขาก็รู้สึกใจเสียขึ้นมาในทันที

……………………………………….

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset