ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 721 พระราชวัง

ทางเดินต่อไปค่อนข้างง่าย มีทางเดินหินสีดำกว้างขวางสายหนึ่ง ดูจากทิศทางแล้วคงทอดไปยังตำหนักใหญ่ใจกลางซากโบราณ

แต่ว่ามีหุ่นมากมายตลอดทาง ทั้งสองไหนเลยจะกล้าเดินทางหลัก จึงได้แต่อ้อมไปทางเล็กๆ ที่อยู่ด้านข้าง และค่อยๆ ค้นหาไปในระหว่างทาง

พริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งวัน ดูเหมือนว่าหลิ่วหมิงทั้งสองค้นหาในซากโบราณไปแล้วกว่าครึ่งหนึ่ง แต่ยังคงไม่ได้อะไรเลย

ภายใต้สิ่งก่อสร้างแห่งหนึ่งที่อยู่นอกตำหนักใหญ่ของใจกลางซากโบราณ หลิ่วหมิงทั้งสองกำลังสนทนากันเบาๆ

“ค้นหาทั่วทั้งซากโบราณไปพอประมาณแล้ว ดูท่าคงต้องไปที่ตำหนักใหญ่ที่อยู่ใจกลางแล้ว” ซาฉู่เอ๋อร์มองดูตำหนักสูงใหญ่ที่อยู่ใจกลางซากโบราณแล้วกล่าวด้วยสีหน้าลังเล

“ก่อนหน้านั้นท่านผู้เฒ่าเคยบอกข้าว่า หากหาชิ้นส่วนแกนหลักในซากโบราณไม่พบ ก็คงได้แต่ไปค้นหาที่ตำหนักใหญ่กันสักรอบแล้ว แต่ฟังจากคำพูดของท่านผู้เฒ่า เนื่องจากเผ่าของพวกเจ้าเคยทำการสาบานไว้ ไม่เคยมีใครเข้าไปในนั้นมาก่อน แม่นางซาพอจะรู้ข้อมูลอะไรที่เกี่ยวข้องหรือไม่?” หลิ่วหมิงถามด้วยตาที่เป็นประกาย

“เรื่องนี้……จากบันทึกโบราณของเผ่า ตำหนักใหญ่ที่อยู่ใจกลางคือสถานที่ที่ขุยตี้อาศัยอยู่ และใช้ในการฝึกฝน ไม่รู้เป็นเพราะสาเหตุอันใด ชั้นจำกัดทั้งด้านในและด้านนอกตำหนักถึงได้หายไปอย่างน่าประหลาดใจ เพียงแค่ระวังตัวเล็กน้อยก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร มิเช่นนั้นท่านผู้เฒ่าคงไม่ให้พี่หลิ่วเสี่ยงอันตรายเข้าไปเป็นอันขาด” ซาฉู่เอ๋อร์ลังเลเล็กน้อยแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา

“อืม! ดูจากภายนอกมองไม่เห็นแสงของชั้นจำกัดใดๆ จริงๆ แต่เพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดคิด ข้าผู้แซ่หลิ่วจะต้องทดสอบด้วยตนเองถึงจะรู้ มิเช่นนั้นเพียงแค่ชั้นกำจัดที่ผู้ทรงพลังระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์วางไว้อย่างไม่ใส่ใจ ก็อาจจะทำให้ข้ากลายเป็นเถ้าถ่านได้” หลิ่วหมิงหันมามองพระราชวังที่อยู่ไกลๆ และกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา เพียงแค่พี่หลิ่วไม่ทำลายพระราชวัง มีวิธีการอะไรก็รีบแสดงออกมาก็พอแล้ว และข้าไม่อาจเข้าไปเป็นเพื่อนกับท่านได้” ซาฉู่เอ๋อร์ได้ยินก็ตอบรับในทันที และไม่คิดจะคัดค้านแต่อย่างใด

“ดีมาก! แม่นางซารออยู่ที่นี่สักครู่ ข้าจะไปดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน” หลิ่วหมิงพยักหน้าตอบ

กลิ่นไอของซาฉู่เอ๋อร์อ่อนลงจนถึงขีดสุดแล้ว นางรู้ตัวว่าตนเองไม่อาจเข้าใกล้ตำหนักใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าได้ ดังนั้นจึงไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด และได้แต่กำชับเพิ่มอีกสองประโยค

ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงก้าวยาวๆ เดินเข้าไปในทางพระราชวัง

เมื่อเดินมาถึงตรงหน้า หลิ่วหมิงถึงมองเห็นอย่างชัดเจนว่าตำหนักใหญ่นี้สูงร้อยกว่าจั้ง เป็นสีดำแวววาวไปทั้งหลัง ราวกับว่าทั้งหมดเกาะตัวมาจากดินทรายสีดำ

พอมองออกไปมันยังคงดูใหม่เหมือนเดิม ดูไม่เหมือนซากปรักหักพังหลายหมื่นปีเลยแม้แต่น้อย

ไม่รู้ว่ามันเป็นภาพลวงตาหรือไม่ หลิ่วหมิงมักจะคิดว่าบนพื้นผิวของพระราชวัง มีแสงจางๆ หมุนวนยู่ แต่พอมองดูอย่างละเอียดกลับมองไม่เห็นความผิดปกติใดๆ เลย

นอกตำหนักใหญ่มีเสาหินขนาดใหญ่หลายสิบกว่าต้นตั้งตระหง่านอยู่ แต่ละต้นมีขนาดเท่าหลายคนโอบ วัสดุที่ใช้ก็เป็นหินสีดำแปลกประหลาดชนิดหนึ่ง

พระราชวังนี้ใหญ่โตมโหฬารเป็นอย่างมาก ประตูเข้าวังกลับแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง มีประตูหินสีดำสองบานปิดสนิท ความกว้างของมันพอที่คนสองคนจะสามารถเดินผ่านได้ สูงสิบจั้ง แลดูไม่สอดคล้องกันเป็นอย่างยิ่ง

“รสนิยมของขุยตี้แห่งหนานฮวงผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ…” หลิ่วหมิงซุบซิบอยู่ในใจ หลังจากสังเกตดูนอกประตูตำหนักอย่างละเอียดแล้ว ก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา จากนั้นยันต์สีเงินผืนหนึ่งก็ปรากฏบนมือ และเขาโยนมันขึ้นไป

“ฟู่!”

ยันต์สีเงินกลายเป็นเปลวไฟปะทะลงบนประตูหิน และระเบิดตัวกลายเป็นอักขระสีเงินสิบกว่าตัว หลังจากหมุนวนบนประตูอยู่พักหนึ่งแล้ว ก็สลายไปอย่างไร้สุ้มเสียง

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เลิกคิ้วขึ้นมา พอทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง และร่ายคาถาออกมาแล้ว ก็อ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมา นิ้วมือทั้งสิบก็เคลื่อนไหวอยู่ไม่หยุด

“ฟู่!” โลหิตบริสุทธิ์กลายเป็นหมอกโลหิตจางๆ แผ่ขยายออกไปในพริบตา ภายใต้การควบคุมของหลิ่วหมิง มันก็กลายเป็นค่ายกลสีเลือดพร่ามัวในทันที และกะพริบหายไปบนประตูตำหนักอย่างไร้ร่องรอย

หลิ่วหมิงทำท่ามืออยู่ไม่หยุด แต่ไอโลหิตปรากฏขาดๆ หายๆ บนใบหน้า ราวกับว่ากำลังกระตุ้นเคล็ดวิชาบางอย่างเงียบๆ

หลังจากไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ก็มีเสียงดังขึ้นบนประตู ค่ายกลสีเลือดที่หายไปในก่อนหน้าปรากฏออกมาอย่างสมบูรณ์แบบอีกครั้ง และเลี่ยมฝังอยู่บนประตูตำหนักราวกับว่ามันมีมาตั้งแต่แรกแล้ว

“ไม่มีคลื่นชั้นจำกัดใดๆ สะท้อนกลับมาจริงๆ ด้วย ดูท่าชั้นจำกัดด้านในล้วนถูกคนปิดไปหมดแล้ว หากเป็นเช่นนี้ ก็คุ้มค่าที่จะเสี่ยงเข้าไปข้างในสักครั้งแล้ว” ขณะนี้หลิ่วหมิงเพิ่งจะหยุดทำท่ามือ และพูดพึมพำด้วยแววตาประหลาดใจเล็กน้อย

สถานที่ที่เป็นที่อยู่อาศัยของผู้ทรงพลังระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ แม้กระทั่งยังอาจจะเป็นที่ละสังขารด้วย ต่อให้เป็นหลิ่วหมิงก็เกิดอารมณ์เร่าร้อนอย่างอดไม่ได้

หลังจากหลิ่วหมิงลังเลไปรอบหนึ่งแล้ว ในที่สุดก็ตัดสินใจได้ พอสะบัดแขนเสื้อ ยันต์สีเหลืองที่มีสภาพไม่สมบูรณ์เล็กน้อยก็ถูกนำออกมา หลังจากสะบัดหนึ่งที ก็นำไปแปะบนระหว่างคิ้ว

“ฟู่!” หลังจากยันต์สีเหลืองพร่ามัว มันก็กลายเป็นนักรบเกราะสีทองที่สูงจั้งกว่าๆหน้าตาค่อนข้างคล้ายกับหลิ่วหมิง แต่ว่าดูพร่ามัวเล็กน้อย และไม่มีอาวุธติดมือเลย

มันคือยันต์นักรบพลังผ้าเหลืองนั่นเอง

พอหลิ่วหมิงกระตุ้นนักรบยันต์ นักรบสีทองก็ก้าวยาวๆ ไปยังประตูใหญ่ หลังจากขยับแขน ฝ่ามือทั้งสองก็วางอยู่บนประตู และออกแรงทันที

“แคล็ก!” ค่อยๆ เกิดเสียงดังขึ้นมา

ประตูหินที่ดูหนักอย่างที่เปรียบมิได้ กลับถูกผลักออกอย่างง่ายดาย และกลิ่นอับจางๆ ก็โชยออกจากด้านหลังประตูทันที

พอหลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่ลง ก็มองเห็นทุกสิ่งที่อยู่ด้านหลังประตูอย่างชัดเจน

จะเห็นว่าด้านหลังประตูตำหนักมืดสลัวไปหมด มองเห็นทางเดินสีดำเส้นหนึ่งอยู่ลางๆ

หลังจากหลิ่วหมิงยืนนิ่งๆ อยู่กับที่แล้ว ก็ค้นพบว่าทางเดินด้านหลังเงียบสงัด และไม่มีความผิดปกติใดๆ จากนั้นถึงสูดหายใจลึกๆ ก่อนเดินเข้าไป

ขณะนี้ นักรบยันต์เกราะทองคำได้ก้าวเดินเข้าไปก่อนหนึ่งก้าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก และดูเหมือนจะรักษาระยะห่างกับหลิ่วหมิงเจ็ดแปดจั้ง

แต่ว่าในขณะที่เท้าทั้งคู่ของหลิ่วหมิงเหยียบลงบนทางเดินสีดำนั้น พลันมีคลื่นสั่นสะเทือนใต้เท้า ค่ายกลแสงสีแดงที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางสิบกว่าจั้งปรากฏออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ครู่เดียวก็ปกคลุมหลิ่วหมิงกับนักรบยันต์เกราะทองคำไว้ในนั้น

“แย่แล้ว!”

หลิ่วหมิงใจเต้นโครมคราม เขาขยับเท้าทั้งสองโดยไม่ต้องคิด เพื่อคิดจะพุ่งไปยังทิศทางที่จากมา

“ปัง!”

ร่างของเขาปะทะกับขอบค่ายกลแสงที่เป็นเกราะกำบังไร้รูป ทำให้ไม่อาจไปจากค่ายกลแสงได้เลยแม้แต่น้อย

พอหลิ่วหมิงส่งเสียงคำราม และคว้ามือข้างหนึ่งออกไปบนอากาศ กระบี่ยาวสีทองก็ปรากฏในมือ แต่เขายังไม่ทันฟันเกราะกำบังไร้รูป ภาพรอบด้านก็พร่ามัว และรู้สึกวิงเวียนอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ถูกส่งไปยังสถานที่แปลกหน้าที่มืดมิดจนมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้าพร้อมกับนักรบยันต์เกราะทอง

หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่าภาพตรงหน้ามืดสนิท ด้วยพลังสายตาของเขาในตอนนี้ ไม่อาจมองเห็นสิ่งของใดๆ เลย

ทั้งยังดูเหมือนว่าภายในสถานที่แห่งนี้ จิตรับรู้ของเขาก็ถูกระงับอย่างสมบูรณ์

สิ่งที่เดียวที่ปลอบใจหลิ่วหมิงในตอนนี้ก็คือ ขณะนี้เท้าทั้งคู่เหยียบอยู่บนพื้นที่แข็งแกร่ง

ขณะที่หลิ่วหมิงสูดหายใจเข้าลึกๆ และคิดที่จะปล่อยแสงกระบี่ในมือเพื่อส่องดูทุกสิ่งที่อยู่รอบด้านนั้น พลันมีคลื่นสั่นสะเทือนเบาๆ พัดผ่านร่างของเขาไป

ต่อมาหลิ่วหมิงรู้สึกว่าพลังเวทภายในร่างกว่าครึ่งหนึ่งหยุดชะงักในทันที ไม่อาจโคจรได้ดั่งใจ ทำให้เขารู้สึกตกใจมาก

หรือว่าในตำหนักใหญ่จะเป็นพื้นที่ที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่มีพลังเวท สูญเสียสัมผัสพิเศษ ถ้าอย่างนั้นก็เหมือนกับคนธรรมดาคนหนึ่ง แล้วจะรับมือกับอันตรายที่ไม่อาจทราบได้อย่างไร

ดวงตาหลิ่วหมิงเปล่งประกายดุดัน พอส่งเสียงคำราม ไอดำก็ปรากฏออกมาบนตัว มีเงามังกรสี่ตัวกับพยัคฆ์สี่ตัวปรากฏออกมาด้านหลังพร้อมกัน เขาคิดที่จะฝืนกระตุ้นพลังมังกรพยัคฆ์ทมิฬใส่ชั้นจำกัดภายในร่าง

“เอ๊ะ!”

พลันมีเสียงอุทานด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ดังมาจากความมืดมิดตรงหน้า

“เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ที่แท้เจ้าก็เป็นศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ ร่างกายก็ฝึกฝนได้ไม่เลว ไม่ถูกต้อง! กลิ่นไอโครงกระดูกของเจ้า…นี่คือเคล็ดกระดูกดำ!” น้ำเสียงชัดและไพเราะดังมาจากความมืดมิดตรงหน้า เพียงแต่ว่ามันดูแปลก ๆ เล็กน้อยในพื้นที่ว่างเปล่าและเงียบสงบเช่นนี้

หลิ่วหมิงได้ยินก็ตัวแข็งขึ้นมาทันที

เรื่องที่เขาฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำค่อนข้างเป็นความลับ อีกอย่างหลังจากบรรลุเข้าสู่ระดับของเหลว ก็ได้เปลี่ยนเป็นเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬแล้ว กลิ่นไอของเคล็ดกระดูกดำได้ถูกควรจะถูกปิดคลุมตั้งนานแล้ว

ก่อนหน้านั้นแม้แต่ผู้ควบคุมยอดเขา ผู้อาวุโส และคนอื่นๆ ในนิกายยอดบริสุทธิ์ต่างก็ไม่ค้นพบถึงความผิดปกติแต่อย่างใด ผู้ที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดเป็นใครกันแน่ เหตุใดถึงมองออกมาว่าตนเองเคยฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำ?

ความคิดเหล่านี้ผุดอยู่ในใจของเขา จากนั้นก็ถูกโยนทิ้งไปอีกด้าน ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ยังต้องทำลายชั้นจำกัดภายในร่างก่อนแล้วค่อยว่ากัน!

หลิ่วหมิงไม่สนใจเสียงในความมืดอีก สีหน้าของเขาเคร่งขรึมขึ้นมาทันที กลิ่นไอบนตัวปะทุออกมา และคิดที่จะกระตุ้นเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬต่อ

ขณะนั้นเอง ฝ่ามือเย็นยะเยือกสองข้างก็ยื่นออกมาจากความมืดอย่างไร้สุ้มเสียง และกดลงบนไหล่ของหลิ่วหมิงอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ พลังมหาศาลบางอย่างทะลักออกมา

หลิ่วหมิงรู้สึกราวกับว่าถูกเขาลูกใหญ่กดทับไว้ ใบหน้าเขาเปลี่ยนเป็นสีม่วงราวกับตับหมู ร่างของเขาไม่อาจเคลื่อนไหวได้เลยแม้แต่น้อย

หลิ่วหมิงดวงตาเป็นประกาย ในใจของเขารู้สึกหวาดผวามาก!

ด้วยความแข็งแกร่งของกายเนื้อในตอนนี้ คิดไม่ถึงว่าจะไม่อาจต้านทานพลังมหาศาลที่ถูกส่งมาจากฝ่ามือเย็นยะเยือกได้

ขณะนั้นเองเกิดเสียงฝ่ามือตบลงบนไหล่เบาๆ “เพียะๆ!”

พื้นที่มืดมิดตรงหน้าสว่างขึ้นมา แสงทรงกลดสีขาวส่องลงมาจากเหนือศีรษะ จนหลิ่วหมิงต้องหรี่ตาลงเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ ในที่สุดเขาก็มองเห็นทุกสิ่งที่อยู่รอบด้านอย่างชัดเจน

ห้องโถงขนาดใหญ่หนึ่งหมู่กว่าๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้า

หลิ่วหมิงค้นพบว่าตนเองกำลังยืนอยู่ใจกลางห้องโถง สิ่งที่อยู่ตรงข้ามคือแท่นหยกสูงสีขาว บนแท่นหยกขาวมีเก้าอี้หินปะการังสีแดงวางอยู่ตัวหนึ่ง

บนเก้าอี้มีเด็กผู้หญิงที่ดูเหมือนอายุไม่เกินห้าหกขวบนั่งอยู่ ดวงตาทั้งคู่กำลังสังเกตดูหลิ่วหมิง

เด็กหญิงผู้นี้สวมชุดคลุมสีแดงสด แขนเล็กๆ ราวกับรากบัวหยกโผล่ออกมาด้านนอกครึ่งหนึ่ง ผิวหนังที่เผยออกมามีประกายโลหะสีเงินจางๆ

คิดไม่ถึงว่าเด็กสาวผู้นี้จะเป็นหุ่นที่ดูคล้ายของจริงมาก ริมฝีปากเผยอเล็กน้อย ประจักษ์ชัดว่าน้ำเสียงในก่อนหน้ามาจากปากของนางนั่นเอง

พอหลิ่วหมิงพยายามหันหน้าไป ถึงเห็นว่าฝ่ามือที่กดอยู่บนไหล่ของเขาเป็นหุ่นมนุษย์สีทองที่สูงเท่าคนหนึ่งคน ทั่วทั้งตัวเป็นแสงสีทองอร่าม อักขระแปลกประหลาดปกคลุมเต็มตัว แม้ว่าจะมีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่มือที่จับไหล่ของเขานั้นหนักราวกับเขาเล็กๆ สองลูก ทำให้ไม่อาจเคลื่อนไหวได้เลยแม้แต่น้อย

………………………………

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset