ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 722 หุ่นเด็กผู้หญิง

“เจ้าหนูน้อย เจ้าเป็นศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์จริงๆ หรือ? ยันต์นักรบผืนนี้อีก ได้มาจากไหนกัน ทั้งยังเป็นยันต์นักรบพลังผ้าเหลืองที่หายสาบสูญไปนานแล้วด้วย” ขณะที่หลิ่วหมิงเกิดความประหลาดใจและฉงนสนเท่ห์นั้น เด็กสาวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ก็เอ่ยปากถามอย่างราบเรียบ ในมือของนางกำลังถือยันต์ขาดๆ ที่ฟื้นฟูสภาพเดิมแล้ว

พริบตาที่นักรบยันต์เกราะทองคำถูกส่งมายังสถานที่แห่งนี้ มันก็ฟื้นคืนสภาพเดิมแล้ว

ขณะนี้หลิ่วหมิงถูกผนึกพลังเวทภายในร่าง ทั้งยังถูกหุ่นสีทองจับไหล่ไว้แน่น ย่อมไม่กล้าทำอะไรวู่วาม จึงได้แต่แอบถอนหายใจก่อนตอบกลับไป

“ผู้อาวุโสหลักแหลมยิ่งนัก ผู้น้อยเป็นศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์จริงๆ ยันต์ผืนนี้ก็ได้มาโดยไม่ตั้งใจ”

“อ๋อ? หรือว่าตาเฒ่าบนเขาหมื่นวิญญาณเหล่านั้น ก็มอบเคล็ดกระดูกดำให้เจ้าด้วย?” เด็กหญิงได้ยินก็ถามอย่างเยือกเย็น

หลิ่วหมิงเงียบไปเล็กน้อย

ถ้าจะพูดถึงเคล็ดวิชากระดูกดำ ก็ต้องพูดถึงเรื่องที่มาของเขากับเรื่องปรมาจารย์ลิ่วยิน แต่พอเห็นใบหน้าไร้ความรู้สึกของเด็กหญิง ในใจเขาก็รู้สึกเย็นยะเยือกแบบแปลกๆ ราวกับว่าฝ่ายตรงข้ามจะมองทะลุความรู้สึกของเขาได้ จึงได้แต่ตอบแบบคลุมเครือเท่านั้น

“ผู้น้อยเกิดบนเกาะเล็กๆ ที่ห่างไกลจากแผ่นดินจงเทียนมาก บังเอิญโชคดีได้มาแผ่นดินจงเทียนโดยบังเอิญ และกราบตัวเป็นศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ ส่วนเคล็ดวิชากระดูกดำกลับเป็นเคล็ดวิชาหนึ่งบนเกาะในปีนั้น”

“เกาะเล็กๆ ช่างน่าสนใจซะแล้วสิ ตามที่ข้าทราบมา ผู้ที่รู้วิธีการฝึกเคล็ดวิชากระดูกดำนี้ แม้แต่ในแผ่นดินจงเทียนเองก็มีไม่กี่คน” เด็กหญิงฟังจบก็พูดพึมพำออกมา

“ต่อหน้าผู้อาวุโส ผู้น้อยไม่กล้ากล่าวเท็จเลยแม้แต่น้อย ผู้น้อยพบกับรอยแยกมิติจึงมาถึงแผ่นดินจงเทียนได้” หลิ่วหมิงอธิบายไปหนึ่งประโยค

“รอยแยกมิติ……มิน่าล่ะ! ช่างเถอะ! เรื่องเหล่านี้ไม่มีปัญหาอะไร ข้าถามเจ้า นิกายเทียนกงยังคงดำรงอยู่ในแผ่นดินจงเทียนหรือไม่?” เด็กหญิงพูดพึมพำสองสามประโยค หลังจากนั้นก็เผยแววตาเฉียบขาดออกมา ตอนที่พูดถึง ‘นิกายเทียนกง’ นั้น น้ำเสียงก็เยือกเย็นขึ้นเล็กน้อย

“นิกายเทียนกงย่อมดำรงอยู่ ตอนนี้เป็นหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่ของแผ่นดินจงเทียน” หลิ่วหมิงรู้สึกอึ้งเล็กน้อย  แต่ความคิดต่างๆ ก็วนเวียนอยู่ในใจอย่างรวดเร็ว

“สี่ยอดนิกายใหญ่ ดูท่าตาเฒ่าเหล่านั้นคงยังไม่ตายหมด” เด็กหญิงหัวเราะอย่างเยือกเย็น แววตาดูลังเลขึ้นมา

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา จึงได้แต่รอคอยอย่างเงียบๆ

“ในเมื่อเจ้าเข้ามาถึงที่นี่ได้ คาดว่าคงจะเดาที่มาออกอยู่บ้าง ข้าเป็นเจ้าของที่นี่ ขุยตี้แห่งหนานฮวงที่พวกเจ้าพูดถึง” ผ่านไปสักพัก เด็กหญิงถึงมองมาทางหลิ่วหมิง และกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

แม้ว่าก่อนหน้านั้นหลิ่วหมิงจะคาดเดาได้ลางๆ แต่หลังจากได้ยินนางพูดออกมาเอง เขาก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก ปากของเขาขยับเล็กน้อยเพื่อจะพูดอะไรออกมา แต่สุดท้ายกลับไม่พูด

ในคำเล่าลือ ผู้ทรงพลังอย่างขุยตี้แห่งหนานฮวงผู้นี้ได้เสียชีวิตไปหลายหมื่นปีแล้ว ทั้งยังไม่มีใครพูดมาก่อนว่าเขาจะเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง

ด้วยเหตุนี้เขาย่อมไม่เชื่อคำพูดของเด็กหญิงอย่างง่ายดาย

ดูเหมือนเด็กหญิงจะเดาความคิดของหลิ่วหมิงออก จึงกล่าวอย่างเยือกเย็น

ร่างของข้าถูกศัตรูตัวฉกาจทำลายไปเมื่อหลายหมื่นปีก่อนแล้ว ถึงต้องนำวิญญาณส่วนหนึ่งมาแฝงอยู่ในหุ่นมนุษย์นี้ อีกอย่างตอนที่ข้าต่อสู้กับศัตรูในสมัยก่อน ล้วนแฝงตัวอยู่ในหุ่น ด้วยเหตุนี้จึงมีคนเห็นหน้าตาที่แท้จริงของข้าน้อยมาก คนงี่เง่าบางคนคิดว่าข้าเป็นผู้ชาย ทั้งยังตั้งฉายาข้าว่าขุยตี้อะไรพวกนี้ ช่างน่าขันสิ้นดี! แต่ว่าการต่อสู้ของข้ากับศัตรูในปีนั้น ไม่เพียงแต่หุ่นที่ป้องกันตัวจะถูกทำลายจนหมดสิ้น แม้แต่วิญญาณหลักก็ถูกสังหารคาที่ หากไม่ทิ้งทางหนีไว้ในสมบัติแห่งสวรรค์ก่อน เกรงว่าคงจะหายไปจากโลกนี้แล้วจริงๆ”

ปากของหลิ่วหมิงกระตุกเล็กน้อย และหมดสิ้นคำพูดโดยสมบูรณ์

เด็กหญิงทำเสียงฮึดฮัดแล้วกล่าวต่อ

“แต่หากจะบอกว่าข้าเป็นคนใหม่อีกคนโดยสมบูรณ์ก็ไม่ผิด เพราะแบ่งวิญญาณก็คือแบ่งวิญญาณ ซึ่งไม่เหมือนกับวิญญาณหลักของขุยตี้ที่สั่นสะเทือนหนานฮวงในปีนั้น เจ้ามาที่นี่พร้อมกับคนของเผ่าทราย คิดว่าคงจะได้ยินเรื่องที่ว่าทะเลทรายกุ่ยโม่แห่งนี้คือสมบัติแห่งสวรรค์แล้ว”

“ใช่แล้ว ผู้น้อยเคยได้ยินผู้เฒ่าเผ่าทรายพูดขึ้นมาจริงๆ และที่ผู้น้อยมาในครั้งนี้ ก็เพราะต้องการหาชิ้นส่วนแกนหลักของหุ่นมนุษย์ทองแดงยักษ์สีเขียวให้กับคนเผ่าทราย เพื่อใช้ในการต่อต้านการโจมตีของอสูรทรายจำนวนหนึ่งที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ จะได้ใช้เป็นข้อแลกเปลี่ยนในการไปจากที่นี่ และไม่ได้คิดจะมารบกวนท่าน” หลิ่วหมิงครุ่นคิดอยู่ในใจสองสามรอบ และกล่าวอย่างนอบน้อม

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ คนเผ่าทรายเหล่านี้ก็นับว่าเป็นลูกน้องของข้า ตอนนั้นยังมีแม้กระทั่งระดับดาราพยากรณ์ คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะอ่อนแอเพียงนี้ แต่ว่าเจ้าก็ไม่ต้องตื่นตระหนกไป ข้าไม่ได้เอาผิดที่เจ้าวางแผนบุกรุกมาที่นี่ ที่เจ้ามาถึงที่นี่ได้ก็เป็นเพราะการจัดการของข้า มิเช่นนั้นเจ้าคิดจริงๆ หรือว่าจะสามารถเหยียบเข้ามาที่นี่ได้โดยง่าย? ระดับดาราพยากรณ์อีกสองคนที่เข้ามาในสถานที่แห่งนี้ ยังถูกข้าขังอยู่ตรงขอบทะเลทรายอยู่เลย” น้ำเสียงเด็กหญิงเปลี่ยนเป็นดูอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย

“ยังมีระดับดาราพยากรณ์อีกสองคน!”

หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกอึ้งขึ้นมาจริงๆ

“หนึ่งในนั้นอาจจะเป็นปีศาจสายฟ้า แต่อีกคนเป็นใครกัน?”

เขายังไม่ทันได้คิดเรื่องนี้ได้อย่างแจ่มแจ้ง เด็กหญิงก็พูดต่ออย่างไม่สนใจ

“ตอนที่ข้าเสียชีวิตโดยไม่คาดคิด และวิญญาณแบ่งได้กลับมาในสมบัติสวรรค์แห่งนี้นั้น ได้เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงถูกขังอยู่ในหุ่นมนุษย์ตัวนี้ และก็ด้วยเหตุผลบางอย่างจึงไปอาจไปจากวังได้แม้แต่ครึ่งก้าว”

“และหุ่นร่างแปลงจิตวิญญาณที่ข้าเคยสร้างขึ้นในปีนั้น เดิมทีก็ประจำการอยู่ในซากโบราณแห่งนี้ แต่ว่าหลังจากชีวิตของข้าดับสูญ และวิญญาณหลักถูกทำลายไปในปีนั้น ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด หุ่นจิตวิญญาณตัวนี้ถึงคิดที่จะทำการทรยศ ทั้งยังหลุดพ้นจากชั้นกำจัดที่ข้าวางไว้ในปีนั้นได้ แม้กระทั่งยังสามารถควบคุมชั้นจำกัดค่ายกลกว่าครึ่งหนึ่งในซากโบราณได้ หลายหมื่นปีมานี้ เจ้าหุ่นทรยศได้ต่อสู้กับข้าในสถานที่แห่งนี้อยู่ไม่หยุด ต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้แก่กัน ต่างฝ่ายต่างโค่นล้มกัน แม้กระทั่งหุ่นทรงพลังที่ข้าทิ้งไว้ในนี้ในปีนั้น ก็ถูกใช้ไปจนหมดสิ้น”

พอพูดมาถึงจุดนี้ สีหน้าของเด็กหญิงก็ดูโหดร้ายขึ้นมา มีไอสีเขียวปรากฏตรงระหว่างคิ้วอย่างรำไร

ฟังมาถึงจุดนี้ ก็ดูเหมือนว่าหลิ่วหมิงจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ สีหน้าจึงค่อยๆ เปลี่ยนไป

“ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ข้าควบคุมผู้ฝึกฝนจากภายนอกให้เข้ามาในสถานที่นี้มาโดยตลอด น่าเสียดายที่ล้วนเป็นคนไม่ได้เรื่องทั้งนั้น หรือไม่ก็แก่ตายในทะเลทรายไปเลย      มักจะมีคนบุกมาถึงซากโบราณ แต่ด้วยเหตุที่ระดับการฝึกฝนถูกระงับไว้ จึงถูกเจ้าหุ่นทรยศตัวนั้นกระตุ้นหุ่นผู้พิทักษ์ที่อยู่ด้านนอกสังหารไปจนหมด”

“แต่ว่ารอมานานขนาดนี้ ในที่สุดก็มีคนที่ใช้การได้ เจ้าเด็กน้อย ข้าเห็นว่าเจ้ากับหญิงสาวเผ่าทรายรับมือกับหุ่นเหล่านั้นได้ค่อนข้างฉลาดเฉียบแหลมมาก แค่ระดับผลึกคนหนึ่ง ทั้งยังถูกควบคุมพลังเวทไว้ แต่ยังสามารถแสดงพลังออกมาได้เหมือนกับระดับแก่นแท้ นอกจากจะเข้ามาที่นี่ได้ไม่นานแล้ว เดิมทีก็คงมีพลังไม่เลวสินะ!” เด็กหญิงกล่าวมาถึงจุดนี้ สีหน้าก็ดูผ่อนคลายลง

“ถูกต้อง ผู้น้อยเพิ่งเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ได้ไม่กี่เดือน ระดับการฝึกฝนไม่ได้ถดถอยไม่ไปโดยสมบูรณ์” หลิ่วหมิงถูกเด็กหญิงมองอยู่ ในใจรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยอยู่ลางๆ จึงได้แต่พูดออกมาเบาๆ

“เอาล่ะ! ข้าพูดมามากมายขนาดนี้แล้ว คิดว่าเข้าคงจะเข้าใจแล้วล่ะ ที่เรียกเจ้ามาก็คือให้ไปช่วยข้ากำจัดหุ่นร่างแปลงจิตวิญญาณตัวนั้น ให้ข้าได้ควบคุมวังกับสมบัติแห่งสวรรค์ได้อย่างแท้จริง” เด็กหญิงจ้องมองหลิ่วหมิงแล้วกล่าวออกมา จากนั้นก็โบกมือในฉับพลัน

ขณะนี้หุ่นสีทองที่อยู่ด้านหลังถึงคลายมือทั้งสองออกจากไหล่ของหลิ่วหมิง และถอยออกไปด้านหลังหนึ่งก้าว

หลิ่วหมิงรู้สึกตัวเบาขึ้นมา การเคลื่อนไหวฟื้นฟูกลับมาในทันที หลังจากยืนตัวตรง และนวดไหล่เล็กน้อยแล้ว ก็เหลือบมองหุ่นสีทองทีหนึ่ง และตอบกลับด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น

“ผู้อาวุโสมองข้าสูงไปแล้ว ข้าเป็นแค่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกเท่านั้น ในเมื่อหุ่นจิตวิญญาณสามารถต่อกรกับผู้อาวุโสได้ ไม่ต้องพูดถึงพลังในตัว หุ่นที่ควบคุมในมือก็คงมีอยู่ไม่น้อย ไหนเลยผู้น้อยอย่างข้าจะสามารถต่อกรได้”

“หากจู่โจมซึ่งๆ หน้าล่ะก็ เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันจริงๆ แต่ในเมื่อข้าเป็นเจ้าของที่นี่ แม้ว่าจะมีวิญญาณแต่ส่วนหนึ่ง แต่ยังสามารถควบคุมวังแห่งนี้ได้อยู่บ้าง ข้ามีวิธีทำให้กลไกลชั้นจำกัด กับหุ่นในวังทั้งหมดหยุดทำงานได้สองสามชั่วยาม เจ้าเพียงแค่อาศัยช่วงเวลานี้ ตามหาหุ่นจิตวิญญาณตัวนั้นให้เจอ และสังหารมันก็พอแล้ว” เด็กหญิงกล่าวอย่างมีแผนในใจ

พอพูดมาถึงตรงนี้ก็ดูเหมือนว่านางจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“เมื่อครู่เจ้าบอกว่ามาที่นี่เพื่อช่วยคนเผ่าทรายตามหาชิ้นส่วนแกนหลักของมนุษย์ทองแดงยักษ์ หลังจากนั้นพวกเขาก็จะช่วยเจ้าไปจากที่นี่หรือ แต่ตามที่ข้าทราบมา วิธีการของพวกเขาอันตรายเป็นอย่างมาก อัตราความสำเร็จมีไม่ถึงสองส่วน แต่หากเจ้าช่วยข้าสำเร็จเรื่องนี้ ไม่ต้องให้พวกเขาลงมือ ข้าเองก็สามารถส่งเจ้าออกจากทะเลทรายกุ่ยโม่ได้เหมือนกัน”

หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ไม่หยุด

เขารู้ดีว่าที่นางพูดมันดูเหมือนจะง่ายๆ แต่เรื่องราวมันไม่ได้ง่ายเช่นนั้น

ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เด็กผู้หญิงบอกว่าตัวเองคือวิญญาณแบ่งของขุยตี้แห่งหนานฮวงนั่นเป็นจริงทั้งหมดหรือไม่ แต่หุ่นจิตวิญญาณตัวนั้นต้องป้อมสู้กับมาเป็นเวลาหลายปี หากจะบอกว่าไม่มีอันตรายเลยนั้น ตีให้ตายเขาก็ไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน

แต่ว่าตอนนี้ชีวิตน้อยๆ ของเขาถูกคีบอยู่ในมือของเด็กหญิง เกรงว่าไม่เสี่ยงอันตรายก็คงจะไม่ได้ สิ่งที่เขาสามารถทำได้ในตอนนี้ก็คือพยายามช่วงชิงผลประโยชน์มาให้ตัวเองให้ได้มากที่สุด

ขณะที่หลิ่วหมิวคิดใคร่ครวญอยู่ไม่หยุดนั้น น้ำเสียงแจ่มชัดของเด็กหญิงก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง

“ข้าให้เจ้าทำงานให้ ย่อมไม่เอาเปรียบเจ้าอย่างแน่นอน ข้าว่าเคล็ดวิชากระดูกดำของเจ้าตื้นเขินและค่อนข้างไม่ละเอียดอ่อน เจ้ารู้ที่มาของเคล็ดวิชากระดูกดำหรือไม่?”

“ขอผู้อาวุโสโปรดชี้แนะ ผู้น้อยหวังว่าจะได้ฟังรายละเอียด!” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา และกุมมือคารวะก่อนกล่าวออกมา

สำหรับผลการเพิ่มทวีกายเนื้อให้แข็งแกร่งของเคล็ดวิชากระดูกดำ หลายปีมานี้เขาคิดถึงมันอยู่ตลอด น่าเสียดายในปีนั้นอาจารย์อาหร่วนได้มอบเคล็ดวิชานี้ให้เขาแค่สี่ขั้นเท่านั้น

เด็กหญิงเห็นเช่นนี้ก็ดูเหมือนจะยิ้มออกมา แต่กลับตอบอย่างสงบ

“ที่จริงวิชานี้เป็นวิชาหนึ่งที่เผ่ายมบาลในแดนนรกเก้าขุมฝึกฝน มีทั้งหมดสิบเก้าขั้น สามารถฝึกฝนจนถึงระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ได้ หลังจากสังหารศัตรูตัวฉกาจคนหนึ่งแล้ว ข้าเองก็ได้สิบขั้นแรกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ หากเจ้าทำเรื่องนี้สำเร็จ ข้าสามารถมอบคัมภีร์นี้ให้เจ้าได้ ส่วนขั้นที่เหลือต้องหาวิธีการเอาเองแล้ว”

………………………………

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset