ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 114 ทานตะวันวารีลี้ลับกับพุ่มหนามโลหิต

ตอนที่ 114 ทานตะวันวารีลี้ลับกับพุ่มหนามโลหิต

เขากวาดสายตามองไปบริเวณรอบๆ หลังจากที่ไม่พบความผิดปกติใดๆ ก็ขยับตัวลอยเข้าไป

พอเข้าไปใกล้หลิ่วหมิงถึงค้นพบว่าเจ้าสัตว์ขนอ่อนนุ่มตัวเล็กๆ นี้คือกระต่ายสีเทาที่มีขนาดใหญ่จนน่าตกใจ มันมีขนาดใหญ่กว่ากระต่ายบนโลกภายนอกถึงสองเท่า เมื่อดูจากเขี้ยวอันแหลมคมสองอันที่โผล่พ้นออกมาจากปากแล้ว เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้กินพืชเท่านั้น

หลิ่วหมิวมองดูอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ก้มตัวลงแล้วใช้ฝ่ามือกดลงบนหัวของกระต่ายยักษ์ ขณะเดียวกันไอร้อนจำนวนหนึ่งก็พุ่งออกจากนิ้วมือทั้งห้าอย่างรวดเร็ว

ครู่ต่อมา สีหน้าของหลิ่วหมิงก็ค่อยๆ ดูหนักอึ้งขึ้นมา

ภายในศพกระต่ายยักษ์มีพลังเวทย์สั่นไหวอยู่ มันไม่ใช่กระต่ายธรรมดาแต่เป็นปีศาจอสูรระดับต่ำ

ขณะนั้นเองก็มีเสียงดัง “ซู่!” สิ่งของเรียวเล็กสีดำพุ่งออกมาจากต้นไม้ใหญ่อย่างรวดเร็ว มันแค่เคลื่อนไหวเล็กน้อยก็พุ่งมาใกล้คอหลิ่วหมิง และคิดที่จะเจาะทะลุเข้าไป

หลิ่วหมิงที่เดิมทีก้มลง และไม่ขยับเขยื้อนกลับขยับแขนในฉับพลัน แล้วคว้าเอาสิ่งของสีแดงดำไว้แน่น จากนั้นก็คำรามเสียงต่ำแล้วออกแรงดึงอย่างรุนแรง

เสียงดัง “พลั่ก!”

แผ่นเปลือกไม้สีเหลืองเขียวขนาดใหญ่ที่ติดอยู่กับลำต้นถูกดึงลงมาในทันที แต่มีบางสิ่งพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วจนดูลางเลือน และมันได้กลายเป็นปีศาจอสูรที่ดูคล้ายตุ๊กแกยักษ์ มันแยกเขียวยิงฟันกระโจนเข้ามาหาหลิ่วหมิง

สิ่งของเรียวเล็กสีดำเส้นนั้นแท่จริงแล้วมันคือลิ้นยาวๆ ของปีศาจอสูรตัวนี้

เสียงดัง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!”

คมวายุสองเส้นพุ่งออกจากมือ หลังจากที่แสงสีเขียวกะพริบผ่านไปมันก็ฟันปีศาจอสูรที่ปรากฏตัวขึ้นมาใหม่จนขาดออกเป็นสามส่วน ร่างของมันร่วงตกลงไปบนพื้นโลหิตสดๆ ไหลออกมาจากร่าง

ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงปล่อยลิ้นมันไป แล้วลอยจากต้นไม้ลงไปยังด้านข้างศพของปีศาจอสูร แล้วสังเกตดูมันอย่างละเอียด

ปีศาจอสูรที่ยาวไม่ถึงครึ่งจั้งตนนี้ ร่างของมันแบนราบผิดปกติ เมื่อมันตายแล้วผิวภายนอกสีเขียวเหลืองของมันก็กลายเป็นผิวหนังสีขาวน้ำนมดูเกลี้ยงเกลาเป็นพิเศษ กรงเล็บบนมือเท้าทั้งสี่คดเคี้ยวเล็กน้อย ดูๆ แล้วเหมือนกับว่าแหลมคมเป็นพิเศษ

“ไม่คิดว่ามันจะเป็นอสูรกิ้งก่าเปลี่ยนสี มิน่าล่ะถึงไม่สามารถรับรู้ถึงการปรากฏตัวของมันในระยะอันใกล้เช่นนี้” หลังจากที่หลิ่วหมิงเห็นอสูรตนนี้ชัดเจนแล้วก็กล่าวกับตนเองด้วยความดีใจ

ถึงแม้กิ้งก่าเปลี่ยนสีจะไม่ใช่อสูรระดับสูง แต่หนังของมันเป็นสิ่งที่หาได้ยากสำหรับโลกภายนอกเป็นอย่างมาก เป็นวัสดุหลักสำหรับทำเกราะจิตวิญญาณ เสื้อผ้าจิตวิญญาณ!

หลังจากที่หลิ่วหมิงกระตุกแขนเสื้อ ดาบสั้นสีเขียวอ่อนก็ปรากฏขึ้นในมือ…

ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป บนพื้นก็เหลือแค่ชิ้นเนื้อสามก้อนที่ถูกลอกหนังออกจนหมดสิ้น

หลิ่วหมิงนำหนังอสูรสีขาวน้ำนมสามชิ้นที่ลอกออกมาเก็บไว้ แล้วก็ออกเดินทางต่อโดยไม่หยุดพัก

สองวันผ่านไป

หลิ่วหมิงยืนนิ่งอยู่บนกิ่งไม้บนต้นไม้ยักษ์ต้นหนึ่ง บนต้นไม้บริเวณรอบๆ ที่เขายืนอยู่มีปีศาจอสูรหลายตัวรูปร่างยาวเกือบจั้งที่ดูคล้ายเสือดาวกำลังล้อมเขาไว้

ขนของปีศาจอสูรเหล่านี้ต่างก็มีลายสีแดงเข้ม แสงสีเขียวในดวงตาทั้งสองเปล่งประกาย พอปีศาจอสูรหนึ่งในนั้นคำรามเสียงต่ำออกมา ปีศาจอสูรทั้งหมดก็อ้าปากกว้างพ่นลูกไฟยักษ์ขนาดเท่ากำปั้นออกมาทันที จากนั้นมันก็เคลื่อนไหวกลายเป็นเงาร่างกระโจนเข้าหาหลิ่วหมิง

เสียงดัง “ฟู่!” “ฟู่!”

หลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อเล็กน้อย โซ่สีดำเส้นหนึ่งพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว เขาแค่สะบัดมันเพียงเล็กน้อยลูกเปลวไฟเหล่านั้นก็โดดหวดจนดับไป จากนั้นแขนอีกข้างก็ดีดนิ้วออก ลำแสงสีเขียวพุ่งออกไปจากในนั้น มันแค่กะพริบผ่านไปรอบด้านก็สามารถเจาะทะลุหัวของปีศาจเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ

ปีศาจอสูรหลายตนนี้ตกลงจากกลางอากาศและไร้ซึ่งลมหายใจในทันที โดยไม่ทันได้ส่งเสียงร้องใดๆ ออกมาเลย

หลิ่วหมิงไม่ได้สนใจปีศาจอสูรหลายตนนั้นเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่เขาขยับตัวก็ลอยผ่านศพของของพวกมันไป

ปีศาอสูรเหล่านี้เป็นแค่เสือดาวเพลิงที่พบเจอได้บ่อยในโลกภายนอก เขาย่อมไม่อยากเสียเวลากับมัน

ห้าวันต่อมา

พื้นที่ซ่อนเร้นแห่งหนึ่งของป่าดงดิบ หลิ่วหมิงถือก้านไม้ดอกที่สูงเท่าครึ่งตัวของมนุษย์ เขากำลังกลายร่างเป็นเงาสีเขียวกระโดดลอยตัวไปมาระหว่างต้นไม้ด้วยความรวดเร็วอยู่ไม่หยุด ต่างจากท่าทีที่สุขุมเยือกเย็นในหลายวันก่อน

ไม่ไกลจากด้านหลังของเขามีเสียงดังหวึ่งๆ ก้อนเมฆดำขนาดใหญ่กำลังไล่ตามติดเขาอย่างไม่ลดละ

ทันใดนั้นเขาก็ยื่นแขนข้างหนึ่งไปทางด้านหลัง ลูกเปลวไฟสีแดงลูกหนึ่งพุ่งออกไปใส่เมฆดำจนระเบิดออกมา

หลังจากที่คลื่นความร้อนม้วนตัวผ่านไปอย่างรวดเร็ว จุดสีดำจำนวนมากได้ร่วงลงมาจากเมฆดำ มันคือตัวต่อสีดำที่ดุร้าย แต่ละตัวมีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ และมีลายสีเงินจางๆ ตลอดทั้งตัว ตรงท้ายของมันมีเหล็กในพิษสีดำขนาดยาวชุ่นกว่าๆ

ถึงแม้มันจะโดนลูกไฟขัดขวางไปชั่วพักหนึ่ง แต่ตัวต่อสีดำที่หล่นลงมานั้นยังไม่ได้หล่นลงไปบนพื้นจริงๆ พวกมันรีบกางปีกบินขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับอานุภาพอันรุนแรงของลูกไฟเมื่อครู่นี้ไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้มากนัก

หลังจากที่เมฆดำหยุดชะงักไปเพียงชั่วครู่ แล้วมันก็เริ่มไล่ประชิดหลิ่วหมิงอีกครั้ง

ครึ่งชั่วยามผ่านไป ร่างของหลิ่วหมิงก็ถูกปกคลุมด้วยไอสีดำ เขาเข้าไปหลบในบึงน้ำที่มีขนาดกว้างไม่ถึงหมู่กว่าๆ และหลบอยู่ใต้น้ำที่ลึกลงไปสองสามจั้ง

ฝูงตัวต่อบินหวึ่งๆ อยู่บนพื้นผิวน้ำอยู่สักพัก ถึงได้จำใจบินจากไปอย่างเลี่ยงไม่ได้

หลังจากผ่านไปสักพัก หลิ่วหมิงถึงผุดขึ้นจากน้ำพร้อมกับถอนหายใจยาวออกมา หลังจากที่เก็บไอดำบนร่างแล้ว เสื้อผ้าบนตัวก็กลับมาสะอาดดังเดิม ราวกับว่ามันไม่เคยได้สัมผัสกับน้ำแม้แต่หยดเดียว

แต่หลังจากที่หลิ่วหมิงมองดูทิศทางที่ฝูงตัวต่อบินไปนั้นแล้ว สีหน้าก็ยังคงมีแววของความหวาดกลัวอยู่

ตัวต่อเงินฝูงนี้โหดร้ายกว่าในตำนานมาก ไม่เพียงแต่จะบินเร็วเท่านั้น แต่ยังต้านทานวิชาต่างๆ ได้อย่างหลากหลาย ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้เขาค้นพบบึงแห่งนี้ก่อน และยังใช้เวลาไม่น้อยในการหลบซ่อนอยู่ในบึงพร้อมกับจัดการพวกปลาประหลาดไปด้วย เกรงว่าคงจะต้องใช้อาวุธจิตวิญญาณทั้งสองชิ้นมาต่อสู้กับปีศาจฝูงนี้แล้ว

แต่ด้วยจำนวนตัวต่อเงินที่มีมากถึงขนาดนี้ ถึงแม้ว่าจะสามารถจัดการมันได้หมด แต่ก็เกรงว่าคงจะต้องเสียพลังเวทย์ไปไม่น้อย

สถานที่มีอันตรายรอบด้านแห่งนี้ วิธีการเช่นนี้ล้วนเสี่ยงกับอันตรายเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงเรื่องการฟื้นฟูพลังเวทย์เลย

หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอยู่ในใจ และก้มหน้าดูก้านดอกสีเงินในมือ แล้วก็ยิ้มขึ้นมาด้วยความดีใจ

ก้านดอกมีจุดสีเงินกระจายอยู่ทั่ว ตรงปลายด้านบนของมันมีดอกทานตะวันสีเงินขนาดเท่าฝ่ามือติดอยู่ ใจกลางของดอกมีเมล็ดสีเงินสิบกว่าเมล็ดอยู่เต็มไปหมด แต่ละเมล็ดดูอิ่มเอิบเป็นพิเศษ ทั้งยังส่งกลิ่นไอปราณบริสุทธิ์ออกมา

“ทานตะวันวารีลี้ลับ ไม่คาดคิดว่าจะสามารถหาวัตถุฟ้าดินที่แท้จริงได้จากสถานที่แห่งนี้ ของสิ่งนี้แค่เพียงชิ้นเดียวก็เพียงพอที่จะแลกกับอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำในโลกภายนอกได้หนึ่งชิ้น ดูท่าแดนลึกลับแห่งนี้มีวัตถุจิตวิญญาณมากกว่าที่คาดคิดไว้มาก” หลิ่วหมิงกล่าวพึมพำไม่กี่ประโยคแล้วก็เดินทางต่อด้วยความตื่นเต้น

……

สถานที่อีกแห่งหนึ่งของป่าดงดิบ พื้นที่กว้างโล่งที่มีพุ่มไม้หนามเตี้ยๆ แห่งหนึ่ง ศิษย์หอสายธารโลหิตผู้หนึ่งกำลังเข้าไปยังใจกลางพุ่มไม้เตี้ยอย่างระมัดระวัง

ท่ามกลางกิ่งหนามยาวอันแหลมคม มีหญ้าจิตวิญญาณสีแดงราวกับเลือดต้นหนึ่งขึ้นอยู่ตรงนั้น

ศิษย์หอสายธารโลหิตผู้นี้ถือดาบยาวสีเลือดอยู่ในมือ และฟาดฟันกิ่งหนามที่ขวางทางอยู่ไม่หยุด ยิ่งเข้าใกล้หญ้าจิตวิญญาณนี้ สีหน้าเขาก็ยิ่งดูร้อนรนมากขึ้น

จนเมื่อเขาเข้าใกล้จนแค่เอื้อมมือก็สามารถดึงมาได้นั้น ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในฉับพลัน!

กิ่งหนามรอบด้านที่ราวกับไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ กลับเปล่งประกายแสงสีเลือดขึ้นมาในฉับพลัน แล้วมันก็รัดพันศิษย์หอสายธารโลหิตอย่างบ้าคลั่งราวกับมีชีวิตขึ้นมา

ศิษย์หอสายธารโลหิตผู้นี้ถูกเลือกให้เข้าร่วมทดสอบความเป็นความตายได้ ย่อมไม่ใช่ศิษย์ธรรมดา ถึงแม้จะตกใจเป็นอย่างมากที่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ แต่ก็ทำท่ามือขึ้นมาในทันที ครู่เดียวก็ปรากฏม่านแสงสีเลือดออกมา ขณะเดียวกันก็ตวัดดาบสีเลือดในมือจนกลายเป็นเงาดาบจำนวนมากฟันเข้าใส่กิ่งหนามเหล่านั้นอย่างบ้าคลั่ง

พอเงาดาบเหล่านี้ปะทะกับกิ่งหนามสีเลือดรอบด้านก็บังเกิดเสียงดังขึ้นมา ราวกับเป็นการฟาดฟันที่รุนแรงเป็นอย่างมาก ไม่คาดคิดว่ามันจะฟันไปได้แค่สามสี่กิ่งเท่านั้น

ถึงแม้จะเป็นแบบนี้ แต่ก็ยังทำให้มือของศิษย์หอสายธารโลหิตผู้นี้ รู้สึกร้อนขึ้นมาจนดาบเกือบจะกระเด็นหลุดจากมือไป

จากนั้นกิ่งหนามก็ถือโอกาสรัดพันอย่างบ้าคลั่ง แล้วห่อหุ้มศิษย์สายธารโลหิตไว้ในนั้น แต่กิ่งหนามทั้งหมดถูกชั้นของม่านแสงสีเลือดต้านทานไว้ได้ และมันไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลยแม้แต่น้อย

ตอนแรกศิษย์หอสายธารโลหิตรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก แต่ก็ระงับอาการได้ในทันที เขารีบทำท่ามือด้วยมือเดียว ประกายไฟข้างตัวก็ประกายออกมา และกำลังจะแสงวิชาธาตุไฟที่มีอานุภาพรุนแรงบางอย่างเพื่อโจมตีกิ่งหนามรอบด้าน

แต่ช่วงที่ประกายไฟปรากฏออกมานั้น กิ่งหนามรอบด้านสั่นไหวขึ้นมาในทันที หนามแหลมจำนวนมากพุ่งออกมาติดต่อกันอย่างรุนแรง พร้อมด้วยเสียงอันดังจนแสบแก้วหู มันดูราวกับลูกธนูที่พุ่งออกมาอย่างดุเดือด

“อ๊ากกก!”

ศิษย์หอสายธารโลหิตเห็นเช่นนี้ก็ตกใจจนร้องออกมา และคิดที่จะเปลี่ยนไปใช้วิธีป้องกันอย่างอื่นก็ไม่ทันแล้ว

ม่านแสงสีเลือดบนตัวเขาต่อต้านได้เพียงแค่อึดใจเดียวเท่านั้น จากนั้นมันสลายไป

หลังจากมีเสียงแผดร้องแหลมอย่างเวทนา ศิษย์หอสายธารโลหิตผู้นี้ก็ถูกแทงทะลุไปหลายร้อยหลายพันแผล

ขณะเดียวกันหลังจากที่ไม่มีม่านแสงต้านทานไว้ กิ่งหนามก็รัดตรึงตัวเขาไว้แน่นแล้วฉีกร่างเขาจนแตกกระจุย โลหิตและเศษเนื้อจำนวนนับไม่ถ้วนไหลออกมาตามช่องว่างที่บีบรัดของกิ่งหนาม

พอเลือดเนื้อเหล่านี้ตกลงบนพื้นด้านล่าง ก็มีเส้นหนวดสีขาวจำนวนมากผุดออกมาจากพื้นดิน และแทงเข้าไปในคราบเลือดเหล่านั้นพร้อมกับดูดมันเข้าไปราวกับสิ่งมีชีวิต

ครู่เดียวเลือดเนื้อเหล่านั้นก็หายไปกับตาอย่างรวดเร็ว กิ่งหนามที่ห่อหุ้มอยู่ก็ค่อยๆ คลายออกมา แล้วทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ

ถ้าไม่ใช่เพราะว่ายังมีดาบยาวสีเลือดกับเสื้อผ้าที่ขาดกระจุยอยู่บนพื้น เกรงว่าคงไม่มีใครเห็นถึงความผิดปกตินี้

สิ่งของของผู้ตายเหล่านี้ค่อยๆ จมหายไปในพื้นดินอย่างไร้ร่องรอยภายใต้การสั่นไหวของพื้นดินบริเวณนั้น

และในขณะนั้นเอง ก็มีเสียงของชายแปลกหน้าดังขึ้นมาจากด้านหลังต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นอยู่ตรงขอบพื้นที่ว่างเปล่า

“จุ๊ๆ! ปีศาจต้นไม้อันดุร้าย แต่ในเมื่อเจ้าได้เปิดเผยการเคลื่อนไหวออกมาแล้ว จึงเป็นเรื่องง่ายที่ข้าจะจัดการกับเจ้า”

เมื่อเสียงสิ้นสุด เงาร่างหลังต้นไม้ใหญ่ก็เคลื่อนไหว ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่สวมชุดนิกายวาตอัคคีเดินออกมาจากในนั้น ตรงเอวของเขามีพัดใบลานสีแดงเสียบอยู่ด้ามหนึ่ง ทันทีที่มองออกไปมันดูคล้ายๆ กับพัดในมือของหลวงจีนชื่อหยางคนนั้นไม่มีผิด

……………………………………….

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset