ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 763 เผด็จศึกบนยอดเขาเลื่อนลอย

ท่ามกลางห้องโถงว่างเปล่าแห่งหนึ่งในส่วนลึกของพระราชวังใหญ่โตมโหราฬ ที่มีไอหมอกสีเทาปกคลุมเป็นชั้นๆ มีจานจิตวิญญาณใบหนึ่งลอยอยู่ตรงผู้อาวุโสชุดดำ ท่ามกลางจานจิตวิญญาณมีเงามนุษย์สั่นไหวไปมา ซึ่งเขาก็กำลังมองดูสถานการณ์บนยอดเขาเลื่อนลอยเช่นกัน

ผู้อาวุโสผู้นี้สวมมงกุฎหยกทรงสูง หนวดสามปอยไหลย้อยลงมาบนหน้าอก กลิ่นไอบนตัวก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ที่แท้ก็เป็นผู้ทรงพลังระดับดาราพยากรณ์เช่นกัน เขาก็คือเวินเก๋อ ผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายยอดบริสุทธิ์ ที่เป็นบรรพบุรุษของเวินอันนั่นเอง

“ผู้อาวุโส ครั้งนี้เวินเจิงออกจากการเก็บตัวฝึกฝนวิชาคำสาปแห่งภัยพิบัติสำเร็จ ท่ามกลางศิษย์สายในก็นับว่าเป็นผู้แข็งแกร่งที่พบเจอได้น้อย สามารถรับมือกับหลิ่วหมิงผู้นั้นได้อย่างง่ายดาย ใยท่านต้องคอยดูด้วยเล่า?” ด้านล่างของผู้อาวุโสชุดดำ มีชายวัยกลางคนที่สวมชุดผ้าแพรสีม่วงผู้หนึ่ง กำลังยืนอยู่อย่างนอบน้อม

ผู้อาวุโสชุดดำมีสีหน้าซึมกระทือโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา พองอนิ้วแล้วดีดออกไป จานจิตวิญญาณก็ขยายใหญ่สิบกว่าเท่า

ชายวัยกลางคนเห็นเช่นนี้ ก็แสดงสีหน้าเหยเก และยืนกุมมือนิ่งโดยไม่เอ่ยปากพูดอะไรอีก

……

ผู้อาวุโส และผู้ควบคุมยอดเขาคนอื่นๆ ต่างก็อาศัยวิธีการต่างๆ แอบสังเกตดูการประลองในครั้งนี้

ครึ่งชั่วยามผ่านไป พื้นราบเรียบบนไหล่เขาของยอดเขาเลื่อนลอยมีคนมารวมตัวกันไม่น้อยกว่าคนแล้ว และยังคงมีแสงหลบหลีกสีต่างๆ พุ่งมาจากทั่วทิศอยู่ไม่หยุด

ขณะนั้นเอง จุดแสงสีทองก็ปรากฏบนขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ และขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว มันกระพริบแค่ไม่กี่ทีก็เข้ามาถึง และหยุดลงตรงหน้าผู้อาวุโสที่อยู่นอกม่านแสง

พอลำแสงดับลง ชายชุดดำผู้หนึ่งก็ปรากฏออกมา เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง

เจียหลานที่อยู่ในม่านแสงเห็นเช่นนี้ก็เผยแววตาดีใจออกมา แต่กลับไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ

“เขาก็คือหลิ่วหมิง? การเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก!”

“จุ๊ๆ! คนผู้นี้ดูหนุ่มมาก คิดไม่ถึงว่าจะฝึกฝนจนถึงระดับผลึกขึ้นปลายแล้ว มิน่าล่ะถึงได้ต่อสู้เสมอกับหลัวเทียนเฉิงจากยอดเขาสวรรค์ลี้ลับได้”

“ดูท่าวันนี้จะมีศึกใหญ่ที่น่าสนใจให้ดูแล้ว”

ศิษย์สายในและสายนอกที่อยู่ด้านล่าง ส่วนมากก่อนหน้านั้นไม่เคยเห็นหลิ่วหมิงมาก่อน แต่ชุดคลุมสีดำของยอดเขาลั่วโยวยังคงรู้จักกันดี พอเห็นเช่นนี้ย่อมพากันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา

 หลิ่วหมิงมองด้านล่างทีหนึ่ง ก็มองเห็นคนที่รู้จักอยู่หลายคน กู่อวี้ ซือหม่าชง ที่พ่ายแพ้ภายใต้เงื้อมมือของเขา แม้กระทั่งหลัวเทียนเฉิงก็มาด้วย

ที่น่าแปลกใจก็คือไม่มีศิษย์ยอดเขาลั่วโยวกับยอดเขากระบี่สวรรค์เลยแม้แต่คนเดียว

ผู้อาวุโสชุดขาวที่อยู่นอกม่านแสงมองดูหลิ่วหมิงทีหนึ่ง พอยื่นมือข้างหนึ่งออกไปทำท่ามือ ก็ปล่อยพลังสีทองใส่ม่านแสง

ทันใดนั้นแสงจิตวิญญาณก็เปล่งประกายบนม่านแสง ในขณะที่มันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงนั้น ก็เกิดช่องทางขนาดหนึ่งจั้งกว่าๆ ตรงหน้าหลิ่วหมิง

“ขอบคุณผู้อาวุโส!”

พอหลิ่วหมิงเคลื่อนไหว ก็มาปรากฏตัวภายในม่านแสง และในขณะที่เขาเข้ามา ช่องทางก็ค่อยๆ สมานเข้าหากัน

“พี่หลิ่ว ท่านมาแล้ว” เจียหลานจ้องมองหลิ่วหมิงแล้วกล่าวออกมาเบาๆ

“สองคนนั้นยังไม่มาอีกหรือ?”

หลิ่วหมิงพยักหน้าให้นางเล็กน้อย และเหาะมาอยู่ข้างๆ ก่อนถามออกมาอย่างราบเรียบ

“ยังห่างจากเวลาที่นัดหมายหนึ่งก้านธูป คาดว่าใกล้จะมาแล้ว” สายตาของเจียหลานไม่ได้ละไปจากหลิ่วหมิงเลย และนางก็ตอบกลับไปเบาๆ

“เหตุใดศิษย์น้องถึงมองข้าอยู่ตลอด หรือว่าบนตัวข้ามีอะไรไม่ถูกต้องหรือ?” หลิ่วหมิงเลิกคิ้วถามด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม

“ไม่……ไม่มีอะไร เพียงแค่เห็นพี่หลิ่วสุขุมเยือกเย็นเช่นนี้ ศิษย์น้องก็มีความมั่นใจในศึกนี้มากขึ้นแล้ว” แก้มเจียหลานแดงเล็กน้อย  เสื้อสีฟ้าโบกสะบัดตามลม และมีกลิ่นหอมจางๆ โชยออกมา

“ข้าจะทำอย่างสุดความสามารถ” หลิ่วหมิงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดกันนั้น แสงจิตวิญญาณก็เปล่งประกายมาจากที่ไกลๆ เมฆสีเหลืองก้อนหนึ่งพุ่งยิงเข้ามา ไม่นานก็มาถึงบริเวณม่านแสง พอเมฆสีเหลืองสลายไป ชายสองคนก็ปรากฏตัวกลางอากาศ

ใบหูของหลิ่วหมิงขยับเล็กน้อย เขาเงยหน้าขึ้นมองทันที และกวาดสายตาผ่านตัวของเวินอันที่สวมชุดผ้าแพร ก่อนหยุดลงที่ชายชุดเขียวที่อยู่ด้านข้าง

คนผู้นี้รูปร่างผอมสูง ผมสีเหลืองถูกมัดรวบอย่างลวกๆ แลดูมีอายุสามสิบต้นๆ  ใบหน้าเหลืองซีด ดวงตาทั้งคู่เป็นสีเขียวมรกต

ดูเหมือนว่าคนผู้นั้นจะรู้สึกได้ จึงรีบหันมามองทันที

พอทั้งสองสบตากันก็เกิดประกายเยือกเย็นขึ้นมา ดูเหมือนว่าแค่มองผ่านสายตาก็สามารถมองทะลุถึงก้นบึ้งหัวใจ ทำให้เกิดไอเย็นสะท้านบนตัว ราวกับว่าถูกอสรพิษจ้องมอง

หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้าน พอเขากระตุ้นเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬเบาๆ ก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ

“ดูท่าคนผู้นี้คงเป็นเวินเจิงผู้นั้นแล้ว มีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ” หลิ่วหมิงพูดพึมออกมาเบาๆ

ชายชุดเขียวเองก็เผยแววตาประหลาดใจออกมา แต่ก็รีบทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“พวกเรามาช้าไปแล้ว ขออาจารย์อาโปรดให้อภัย” เวินอันประสานมือคารวะผู้อาวุโสชุดขาวด้วยท่าทีนอบน้อม สายตาทำเป็นมองไปยังเจียหลานที่อยู่ในม่านแสงโดยไม่ตั้งใจ พอเห็นทั้งสองอยู่ด้วยกันอย่างสนิทสนม ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมในทันที ดวงตาแผ่ประกายเยือกเย็นออกมา

“ยังไม่ถึงเวลาที่นัดหมาย ไม่ถือว่ามาสาย พวกเจ้าเข้าไปเถอะ” ผู้อาวุโสชุดขาวโบกมือเปิดทางให้ทั้งสองเข้าไป

เวินอันและเวินเจิงเหาะเข้าไปในม่านแสงทันที และยืนอยู่ห่างจากหลิ่วหมิงและเจียหลานไม่ไกล

“ศิษย์น้องเจียหลาน อีกสักครู่พอการประลองเริ่มขึ้น เจ้าก่อกวนเวินอันไว้ก็พอ ที่เหลือมอบให้ข้าเถอะ” หลิ่วหมิงขยับริมฝีปากเล็กน้อยเพื่อส่งเสียงให้เจียหลานที่อยู่ด้านข้าง

เจียหลานได้ยินก็พยักหน้าเล็กน้อย

ที่จริงในใจนางก็รู้ดี แม้จะบอกว่าการประลองในครั้งนี้เป็นการประลองแบบสองต่อสอง แต่สุดท้ายแล้วผลลัพธ์ยังต้องดูที่การต่อสู้ของหลิ่วหมิงกับเวินเจิง

ขณะนั้นเอง พลังมหาศาลบางอย่างก็ม้วนตัวมาจากทั้งสองด้าน จากนั้นก็มีเงาร่างพร่ามัวกลางอากาศ เทียนอินซ่างเหริน หลัวหยวน และอวี้อินจื่อที่เป็นอาจารย์ของเจียหลานก็ปรากฏตัวนอกม่านแสงพร้อมกัน

พอเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ศิษย์นับพันที่ล้อมดูอยู่ก็พากันเงียบลงทันที สายตาของผู้คนทั้งหมดต่างก็มองไปยังผู้ควบคุมยอดเขาทั้งสองที่อยู่กลางอากาศ

“เอาล่ะ! ในเมื่อคนมาครบกันแล้ว การประลองก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการเถอะ แต่ว่าก่อนการประลองจะต้องพูดให้ชัดเจนก่อน การประลองในครั้งนี้ไม่ได้เดิมพันความเป็นความตาย ดังนั้นไม่ต้องทำร้ายกันจนถึงชีวิต อีกอย่างครั้งนี้เป็นการประลองสองต่อสอง เพียงแค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมรับว่าพ่ายแพ้ทั้งคู่ หรือว่าพวกข้าวินิจฉัยแพ้ชนะได้ ถึงนับว่าสิ้นสุดการประลอง อีกฝ่ายจำเป็นต้องยุติการโจมตีทันที” ขณะที่เทียนอินซ่างเหรินพูดไปด้วย ก็กวาดสายตามองดูคนทั้งสี่ที่อยู่ในม่านแสงอย่างช้าๆ น้ำเสียงไม่ดังมาก แต่กลับเข้าไปในหูของทุกคนอย่างชัดเจน ทำให้ฝูงชนรู้สึกเย็นสะท้านขึ้นมา

คนทั้งสี่ที่อยู่ในม่านแสงกลับมองดูกันจากที่ไกลๆ และไม่พูดอะไรออกมา

เทียนอินซ่างเหรินเห็นเช่นนี้ ก็หันไปกล่าวกับผู้อาวุโสชุดขาว

“ผู้อาวุโสมู่ ถ้าอย่างงั้นที่นี่ก็มอบให้ท่านแล้ว”

“ทราบ! ท่านผู้ควบคุมยอดเขาโปรดวางใจ” ผู้อาวุโสชุดขาวพยักหน้ากล่าวอย่างนอบน้อม

ขณะนี้เทียนอินซ่างเหรินถึงหันตัวเหาะไปยังแท่นอัฒจันทร์ที่อยู่ไม่ไกล หลัวหยวนตามไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง แต่อวี้อินจื่อกลับมองดูเจียหลานทีหนึ่งด้วยความเป็นกังวล จากนั้นถึงหันตัวเหาะตามไปเช่นกัน

ขณะนี้บนอัฒจันทร์มีคนยกเก้าอี้ใหญ่สามตัวมารอให้ทั้งสามนั่งตั้งนานแล้ว

“เอาล่ะ! ได้เวลาแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าขอประกาศให้เริ่มการประลองได้!” ผู้อาวุโสชุดขาวมองดูท้องฟ้าแล้วประกาศออกมา

พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง คนทั้งสี่ในลานประลองก็ลงมือเกือบจะพร้อมกัน

จะเห็นว่าดวงตาทั้งสองของหลิ่วหมิงเป็นประกาย มือทั้งสองทำท่ามืออย่างรวดเร็ว ไอดำจางๆ ปรากฏบนตัว มือทั้งคู่ปล่อยกำปั้นออกไปกลางอากาศ

เกิดเสียงมังกรร้องพยัคฆ์คำรามดังออกมา!

มังกรหมอกสองตัวกับพยัคฆ์หมอกสองตัวก่อตัวขึ้นมาในพริบตา และพุ่งเข้าหาทั้งสองตรงหน้าพร้อมส่งเสียงคำราม

“หูวววว…” คนที่ดูการประลองอยู่เกิดความฮือฮาขึ้นมาทันที ประจักษ์ชัดว่าไม่คิดว่าหลิ่วหมิงจะลงมือโจมตีทั้งสองคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามพร้อมกันเช่นนี้

เวินอันก็อ้าปากพ่นโล่สีเขียวออกมา พอทำท่ามือ โล่ก็ขยายใหญ่กลายเป็นโล่ยักษ์สีเขียวต้านทานอยู่ตรงหน้า

พยัคฆ์หมอกสองตัวปะทะเข้ากับแสงสีเขียว จนค่อยๆ ระเบิดออกมา และกลายเป็นแสงสีดำม้วนตัวขึ้น ส่วนเวินอันก็ราวกับจะคาดการณ์ได้ตั้งแต่แรกแล้ว พริบตาเดียวก็อาศัยพลังนี้พุ่งออกไปด้านหลัง จึงไม่ถูกแสงสีดำกักขังไว้

เกือบจะในเวลาเดียวกัน เงาร่างสีฟ้าก็กระพริบผ่านข้างตัวหลิ่วหมิง ซึ่งก็คือเจียหลานนั่นเอง ไม่รู้ว่ามีกำไลสีฟ้าครามอยู่ในมือของนางตั้งแต่เมื่อไหร่ แสงจิตวิญญาณเปล่งประกายอยู่บนนั้นรำไร และกำลังจะตามเวินอันไป

หลังจากหลิ่วหมิงโจมตีออกไปหนึ่งทีแล้ว ก็จ้องมองเวินเจิงที่ยังอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน เมื่อครู่มังกรหมอกดำสองตัวเพิ่งจะเหาะไปถึงตรงหน้าคนผู้นี้นั้น ก็ถูกแสงสีเขียวบนมือทั้งสองของเขาต้านทานไว้ได้ และหายไปอย่างไร้ร่องรอย

“ดูท่าพวกเราจะคิดเหมือนกัน” เวินเจิงวางแขนลง และแสงสีเขียวบนมือขวาก็ค่อยๆ สลายไป

“หมายความว่าอย่างไร?” หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่ลง และเอ่ยปากถามโดยไม่รีบร้อนลงมือแต่อย่างใด

“ท่านรออีกสักครู่ก็จะรู้เอง” เวินเจิงกล่าวออกมา

ในระหว่างที่หลิ่วหมิงกำลังพูดคุยกับเวินเจิงนั้น ร่างของเจียหลานก็เคลื่อนไหวจนกลายเป็นเงาร่างพุ่งตามไป กำไลสีฟ้าครามในมือขยายใหญ่ตามแรงลม และเปล่งแสงสีฟ้าออกมาอย่างรุนแรง

เวินอันเห็นเช่นนี้ก็หยุดฝีเท้าลง มือทั้งสองทำท่ามืออย่างรวดเร็ว เขานำพลังเวททั่วร่างใส่เข้าไปในโล่สีเขียวตรงหน้าอย่างไม่รีบร้อน ทำให้แสงสีเขียวดูเข้มมากขึ้นกว่าเดิม

เจียหลานร่ายคาถาออกมา แขนของนางสั่นไหวตามจังหวะการร่ายคาถา จากนั้นก็มันกลายเป็นเงากำไลสีฟ้าครามล้อมรอบเวินเจิงไว้ และพวยพุ่งอยู่รอบตัวเวินอัน อานุภาพน่ากลัวเป็นอย่างมาก

เห็นได้ชัดว่าเวินอันมีประสบการณ์ต่อสู้ไม่มาก บางครั้งก็รู้สึกลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย ทันใดนั้น เขาก็ถูกเงามายาเป็นชั้นๆ บีบจนต้องร่นถอยออกไปเป็นระยะๆ สุดท้ายก็ได้แต่เปลี่ยนท่ามืออย่างรวดเร็ว ทำให้โล่แสงสีเขียวตรงหน้าเปล่งประกาย และแสงสีเขียวก็ม้วนตัวออกมาปกคลุมร่างของเขาไว้

พอเงากำไลสีฟ้าครามสัมผัสกับแสงสีเขียว มันก็ต้องกระเด็นออกไป โดยไม่อาจเข้าใกล้ตัวเขาได้เลยแม้แต่น้อย

เจียหลานทำเสียงฮึดฮัดทีหนึ่ง พริบตาเดียวก็เข้ามาประชิดเวินอัน พอสะบัดแขนเสื้อ โซ่เงินก็พุ่งออกมา และกลายเป็นบงกชเงินท่ามกลางแสงสีเงินที่เปล่งประกาย ทั่วทั้งตัวบงกชเป็นสีเงินแพรวพราว และหมุนวนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

แต่ขณะนั้นเอง เวินอันกลับยิ้มมุมปากอย่างเยือกเย็น แสงสีขาวเปล่งประกายบนมือ มียันต์ขนาดเท่าฝ่ามือปรากฏออกมาหนึ่งผืน

เจียหลานเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา  นางร่ายคาถาออกมาสองสามประโยค บงกชเงินที่หมุนวนอยู่มีอักขระสีเงินพุ่งออกมา หลังจากหมุนติ้วๆ รวมตัวกันแล้ว ก็กลายเป็นอสรพิษยักษ์สีเงินกระโจนเข้าหาเวินอัน

………………………………

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset