เวินเจิงเผยแววตาประหลาดใจออกมา และฉีกทึ้งยันต์สีขาวบนมือในทันที
ทันใดนั้น ม่านแสงสีขาวที่มีขนาดหนึ่งหมู่กว่าๆ ก็ปรากฏออกมา มีอักขระหมุนวนอยู่บนนั้นรำไร พริบตาเดียวก็ปกคลุมทั้งสองไว้ ขณะเดียวกันเสียงภาษาสันสกฤตก็ดังออกมาจากม่านแสง
พอเสียงภาษาสันสกฤตดังเข้าไปในหูเจียหลาน พลังเวทในทะเลจิตวิญญาณก็หยุดชะงักในทันที ครู่ต่อมาก็ไม่อาจกระดิกตัวได้อีก
ทั่วทั้งม่านแสงถูกปกคลุมด้วยพลังชั้นจำกัดไร้รูปบางอย่าง ทุกอย่างที่อยู่ในนั้นราวกับถูกแช่แข็ง
อสรพิษยักษ์สีเงินที่พอจะต้านทานเวินอันได้ ก็แตกสลายไปท่ามกลางเสียงร้องคำราม และกลายเป็นโซ่เงินเส้นหนึ่งอีกครั้ง แต่ทว่าแสงที่เปล่งออกมากลับมืดลง และลอยอยู่กลางอากาศอย่างไร้เรี่ยวแรง
“ศิษย์น้องเจียหลาน ข้าน้อยล่วงเกินแล้ว นี่คือวิชาค่ายกลนักรบพระโพธิสัตว์เขาพระสุเมรุน้อยที่บรรพบุรุษมอบให้ อย่าได้เสียแรงเปล่าเลย แม้ว่าตอนนี้พวกเราทั้งสองจะไม่อาจขยับตัวได้ แต่ว่าการโจมตีระดับแก่นแท้ลงไป ก็ไม่อาจอะไรได้เลยแม้แต่น้อย” ขณะนี้เวินอันถึงกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
เจียหลานได้ยินก็ไม่พูดอะไรออกมา นางกระตุ้นพลังเวทอย่างต่อเนื่อง แต่กลับค้นพบว่าไม่มีผลเลยแม้แต่น้อย จึงรู้สึกว่าจิตใจจมดิ่งลงไปทันที
ดีที่ว่าฝ่ายตรงข้ามก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เช่นกัน จึงทำให้นางรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย
“ฮึ! กักขังทั้งข้าและเจ้าพร้อมกัน เจ้าคิดจะทำอะไร?” เจียหลานถามด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด
“ศิษย์น้องเจียหลานปราดเปรื่องยิ่งนัก รู้แล้วใยต้องถามด้วยเล่า ข้ารู้ดีว่าพลังของตนเองด้อยกว่าเจ้าเล็กน้อย ดังนั้นถึงได้ใช้ค่ายกลนักรบพระโพธิสัตว์เขาพระสุเมรุกักขังพวกเราไว้ที่นี่ พวกเราก็แค่รอให้ทั้งสองตัดสินแพ้ชนะกันก็พอแล้ว” เวินอันกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
“เจ้า…… แม้แต่จะตัดสินแพ้ชนะกับข้าเจ้ายังไม่กล้าเลย ยังมีหน้ามาสู่ขอข้าอีก ช่างไร้ยางอายสิ้นดี” เจียหลานได้ยินก็รู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก
“เฮ่อๆ! ข้าก็แค่ไม่อยากให้เกิดความเสียหายใดๆ ระหว่างข้ากับเจ้าในการประลอง ถึงได้ใช้วิธีการเช่นนี้ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับการไร้ยางอายเลย” เวินอันฟังจบก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง
แต่ว่าในใจเขารู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก และแอบสบถอยู่ในใจ
“หญิงสารเลว! รอข้าดูดซับร่างมายาสวรรค์ของเจ้ามาขจัดปราณหยางบริสุทธิ์ในร่างข้าได้ ระดับแก่นแท้ก็จะมาถึงในไม่ช้านี้ หากภายหน้าเจ้ายังโอนอ่อนผ่อนตามไปทุกอย่าง ข้าจะปฏิบัติต่อเจ้าสุภาพกว่านี้ได้ มิเช่นนั้นล่ะก็ พอข้าบรรลุระดับแก่นแท้แล้วจะต้องเหยียดหยามเจ้าทุกวิถีทาง เพื่อระบายความโกรธแค้นในใจข้า”
เจียหลานกลับหันหน้าไปทางอื่นด้วยสีหน้าเยือกเย็น และไม่มองเวินอันอีก
ครั้งนี้นางประมาทไปหน่อย ไม่ทันได้แสดงร่างมายาสวรรค์ออกมา ก็ถูกฝ่ายตรงข้ามกักขังไว้ในสถานที่แห่งนี้แล้ว
แต่หลังจากนางคิดๆ ดูอีกครั้ง สถานการณ์เช่นนี้ก็ไม่นับว่าแย่มากนัก เพราะเดิมทีหลิ่วหมิงก็ให้นางรัดพันเวินอันไว้ก่อนอยู่แล้ว เช่นนี้แล้วผลลัพธ์ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก
พอนึกถึงจุดนี้เจียหลานก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย และมองไปทางหลิ่วหมิงที่ทำการต่อสู้อยู่
……
“เอ๊ะ! คือค่ายกลนักรบพระโพธิสัตว์เขาพระสุเมรุ ดูจากระดับความแข็งแกร่งแล้ว คงมาจากมือของผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ แม้ว่ามันจะใช้ได้แค่ครั้งเดียวก็ตาม แต่มูลค่าก็สูงเกือบสิบล้านหินจิตวิญญาณ ครั้งนี้หลัวหยวนลงทุนไม่น้อย” ภายในมิติลึกลับ จินเทียนชื่ออุทานเบาๆ แล้วพูดพึมพำออกมา
เทียนเกอเจินเหรินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม แต่กลับไม่พูดอะไร
……
ฉากที่เวินอันแสดงยันต์ออกมานั้น ย่อมก่อให้เกิดความฮือฮาในบรรดาศิษย์ที่ชมการต่อสู้อยู่ แม้ว่าในตอนแรกจะยังรู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูกเล็กน้อย แต่ภายใต้คำแนะนำของผู้รู้ไม่กี่คน จึงเข้าใจขึ้นมาในทันที และต่างก็มองไปยังการประลองอีกคู่หนึ่ง
และหลิ่วหมิงกับเวินเจิงย่อมมองเห็นฉากที่เกิดขึ้นในเมื่อครู่นี้ทั้งหมด
“เอาล่ะ! ไม่ต้องไปสนใจพวกเขาทั้งสอง ตอนนี้เจ้ากับข้าลงมือประลองกันได้แล้ว แต่จะบอกไว้ก่อน หากข้าเป็นเจ้าจะรีบยอมแพ้แต่โดยดี” ตอนนี้เวินเจิงถึงหันหน้ามากล่าวกับหลิ่วหมิงอย่างไม่รีบร้อน
“อ้อ! คำพูดของศิษย์พี่เวินหมายความว่าอย่างไร?” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วถามกลับไป
“ชื่อเสียงของศิษย์น้องหลิ่ว ข้าก็พอได้ยินมาบ้าง รับมือกับคู่ต่อสู่ระดับเจ้า ไม่อาจใช้วิธีการธรรมดาๆ ได้ ด้วยเหตุนี้ข้าจำเป็นต้องใช้ ‘คำสาปพิบัติ’ ที่เป็นท่าไม้ตาย แต่ว่าพลังนี้แข็งแกร่งมาก พอแสดงออกมา แม้แต่ข้าก็ไม่อาจควบคุมอานุภาพของมันได้ หากมีใครคนหนึ่งเป็นอะไรไป เกรงว่าอาจารย์อาเทียนอิน และคนอื่นๆ ก็คงจะหยุดยั้งไม่ทัน…” เวินเจิงกล่าวอย่างไม่หนักหนาสาหัสอะไร แต่ว่าในคำพูดเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง
“คิดไม่ถึงว่าศิษย์พี่เวินจะมีความมั่นใจเช่นนี้ ไม่เป็นไร! ศิษย์น้องก็ได้ยินชื่อเสียงของศิษย์พี่มานานแล้ว กำลังอยากเห็นคำสาปพิบัติที่เล่าลือกันอยู่พอดี” หลิ่วหมิงได้ยินก็หัวเราะเบาๆ พอทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง ไอดำรอบตัวก็พวยพุ่งขึ้นมา
“ฮึ! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็อย่าโทษที่ข้าไม่เตือนก็แล้วกัน” เวินเจิงมีสีหน้าเยือกเย็นขึ้นมา หลังจากส่งเสียงคำรามฮึดฮัดแล้ว ก็ยกมือทั้งคู่ขึ้น นิ้วทั้งสิบเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันแสงสีเทาบนตัวก็เริ่มเปล่งประกายจางๆ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ส่งเสียงคำรามออกมา และปล่อยกำปั้นโจมตีออกไปทันที
พอแสงสีดำกะพริบผ่านไป เงาหัวพยัคฆ์สีดำขนาดใหญ่ก็ปรากฏออกมา และกะพริบออกไปสิบไกลสิบกว่าจั้งก่อน มาปรากฏตัวตรงหน้าเวินเจิง
ท่ามกลางเสียงพยัคฆ์คำรามที่สั่นสะเทือนสยบจิตใจผู้คน กำปั้นวายุสีดำสลัวๆ พุ่งออกจากหัวพยัคฆ์ พริบตาเดียวอากาศก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ทำให้ทุกอย่างที่อยู่บริเวณนั้นบิดเบี้ยวและแตกกระจาย…
ฝูงชนที่อยู่ด้านนอกม่านแสงเกิดความฮือฮาขึ้นมาทันที เทียนอินซ่างเหริน หลัวหยวน และคนอื่นๆ ที่อยู่บนอัฒจันทร์ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปอยู่ครู่หนึ่ง
เวินเจิงเผชิญหน้ากับเงากำปั้นอันน่าตกใจเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างหาที่เปรียบมิได้ มือทั้งสองดึงออกไปทั้งสองด้าน พอแสงสีเทาเปล่งประกาย มันก็กลายเป็นม่านแสงสีเทาจางๆ ก่อนที่เงากำปั้นจะเข้ามาถึง
ม่านแสงดูคล้ายกับผ้าสีเทาบางๆ มันสะท้อนร่างของเวินเจิงจนดูพร่ามัวอย่างเห็นได้ชัด
ครู่ต่อมา เงากำปั้นสีดำก็โจมตีลงบนม่านแสงสีเทา แต่ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกแปลกใจก็คือ ม่านแสงนี้เพียงแค่เป็นรอยบุ๋มลงไปในพริบตา ซึ่งไม่เพียงแต่จะไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาเท่านั้น มันยังไม่แตกกระจายออกมาด้วย
“ระเบิด!”
หลิ่วหมิงเปลี่ยนท่ามือ และส่งเสียงตะโกนออกมา
“ตู๊ม!”
หัวพยัคฆ์สีดำขนาดใหญ่ระเบิดออกมาในทันที มันกลายเป็นไอดำอันพวยพุ่งกระจายออกไป พอไอดำสัมผัสกับม่านแสงสีเทา ก็เกิดเสียงกัดกร่อนดัง “ฟู่ๆ!”
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เวินเจิงยังคงถูกสั่นสะเทือนด้วยพลังมหาศาลผ่านม่านแสงสีเทาจนกระเด็นออกไป แต่ว่ากระเด็นออกไปแค่ไม่กี่จั้ง แสงสีเทาก็เปล่งประกายบนตัว ทำให้ทรงตัวไว้ได้อย่างมั่นคง
หน้าอกของเวินเจิงกระเพื่อมเล็กน้อย หลังจากหายใจลึกๆ สองสามทีแล้ว ก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
“ดี! ดีมาก! ที่แท้ก็มีความสามารถอยู่บ้าง ข้ายิ่งรู้สึกตื่นเต้นเข้าแล้วสิ!” เวินเจิงพูดออกมาเบาๆ หลังจากแววตาของเขาเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่งแล้ว ก็พ่นโลหิตลงบนม่านแสงสีเทาตรงหน้า
“กาๆ!”
เสียงร้องของอีกาดังออกมาทันที
พอผู้คนที่ชมการประลองอยู่ด้านนอกได้ยินเสียงเช่นนี้ ผู้ที่มีระดับการฝึกฝนค่อนข้างต่ำ ก็รู้สึกได้ถึงเลือดที่พลุ่งพล่านในอกทันที ผู้ที่มีระดับการฝึกฝนค่อนข้างสูง ก็รู้สึกกลัดกลุ้มขึ้นมา
หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้านในทันที!
เสียงของอีกาเต็มไปด้วยพลังไร้รูปบางอย่าง พริบตาเดียวก็ปกคลุมไปทั่วม่านแสง
“หรือว่านี่จะเป็นอีกาพิบัติที่สร้างมาจากวิญญาณพยาบาทของศพ มิน่าล่ะเสียงของมันสามารถส่งผลกระทบต่อจิตใจได้ ไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามฝึกฝนถึงขั้นไหนแล้ว” เขาคิดไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว
หลายสิบกว่าวันมานี้ เพื่อการรับมือกับเวินเจิง หลิ่วหมิงก็ได้อ่านดูคัมภีร์เกี่ยวกับคำสาปพิบัติในหอเก็บคัมภีร์จำนวนไม่น้อย
วิชาคำสาปที่กล่าวถึง เป็นวิชาพ่อมดแม่มดที่มีต้นกำเนิดในสมัยบรรพกาล คล้ายกับการสะเทือนสยบจิตใจผ่านอากาศ มอบพลังแห่งคำสาปให้กับสิ่งมีชีวิตเล็กๆ และอาศัยมันเอาชีวิตผู้คน ซึ่งแตกต่างจากพลังเวททั่วไปโดยสิ้นเชิง ไร้รูปไร้ร่องรอย ผู้ที่ไม่รู้ความลึกลับในนั้น ไม่อาจทำการป้องกันได้เลย
พอคิดมาถึงจุดนี้ ไอดำก็พวยพุ่งบนแขนทั้งสองของหลิ่วหมิงในฉับพลัน ขณะเดียวกัน ภายใต้การส่งเสียงดังกรอบแกรบของกระดูก มันก็ขยายใหญ่ขึ้นมาเท่าตัว ภายใต้การสะบัดหนึ่งที มันก็โจมตีใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างบ้าคลั่ง
เกิดเสียงดังก้องฟ้า ทันใดนั้นเงากำปั้นสีดำก็ปรากฏออกมาจำนวนมาก และพุ่งเข้าใส่เวินเจิงทันที
เวินเจิงทำราวกับมองไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น มือทั้งสองปล่อยพลังเวทออกมาติดต่อกัน ลำแสงสีดำพุ่งออกจากร่างของเขา และกลายเป็นลูกแสงลอยอยู่กลางอากาศรอบๆ
พริบตาเดียวเงากำปั้นสีเทาก็เข้ามาถึง และโจมตีลงบนม่านแสงสีเทาตรงหน้าเวินเจิงราวกับฝนตก แม้ว่าจะยังคงไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา แต่กลับทำให้ม่านแสงสีเทาถูกโจมตีจนเป็นรอยบุ๋มติดต่อกัน ลำแสงเปล่งประกายบนม่านแสง และเริ่มมีท่าทีจะต้านทานไม่ไหวแล้ว
ในช่วงเวลาวิกฤตนี้ เวินเจิงหยุดทำท่ามือทันที ใบหน้าดูบ้าคลั่งยิ่งกว่าเดิม ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ หลังจากแสงสีเทาลำสุดท้ายพุ่งออกไปนั้น เสียงร่ายคาถาอันคลุมเครือก็ดังออกมาจากปากของเขา
ขณะนั้นเอง ผู้อาวุโสชุดขาวที่อยู่ด้านนอกม่านแสง ก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาทันที และสะบัดแขนเสื้อออกไป
“เพล้ง!” ยันต์สีเงินจางๆ พุ่งออกจากมือผู้อาวุโส มันระเบิดอักขระสีเงินจางๆ ออกมาจำนวนมาก และจมหายไปในม่านแสงสีขาวโปร่งใสตรงด้านล่าง
เกือบจะในเวลาเดียวกัน เสียงอีกาที่ชัดเจนกว่าเดิมหลายเท่าก็ดังออกจากร่างของเวินเจิง แต่พออักขระสีเงินจางๆ จำนวนมากเปล่งประกายบนพื้นผิวม่านแสงโปร่งใส มันก็กั้นเสียงเหล่านี้ไว้ด้านใน!
ภายในม่านแสง เจียหลานและเวินอันที่ถูกขังอยู่ในค่ายกลเขานักรบพระโพธิสัตว์เขาพระสุเมรุ ก็ดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบจากเสียงอีกาเหล่านี้ ประจักษ์ชัดว่าค่ายกลนี้ก็มีความมหัศจรรย์มากเช่นกัน
ครู่ต่อมา จะเห็นว่ากลุ่มแสงสีดำเทาสั่นสะเทือนเล็กน้อย และค่อยๆ รวมตัวกลายเป็นอีกาสีดำเทาทีละตัวทีละตัว ซึ่งมีทั้งหมดสามสิบหกตัว!
หลังจากแสงสีเทาเปล่งประกายอยู่ครู่หนึ่ง อีกาทั้งหมดก็จัดเรียงตัวกันอย่างแปลกประหลาด และหมุนวนรอบตัวเวินเจิง
“ที่แท้ก็เป็นอีกาพิบัติจริงๆ ด้วย มีมากถึงสามสิบหกตัวแล้ว!” หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้าน ร่างของเขาพร่ามัวขึ้นมา
เกิดเสียงดังขึ้นมา เงากำปั้นจำนวนมากปรากฏตัวกลางอากาศอีกครั้ง และพุ่งเข้าใส่เวินเจิงราวกับสายฝนกระหน่ำ
“เพล้ง!”
ภายใต้การโจมตีของเงากำปั้น ม่านแสงสีเทาก็ไม่อาจต้านทานได้อีก มันจึงระเบิดตัวเป็นไอสีเทากระจายไปทั่วทิศ เงากำปั้นที่เหลือพวยพุ่งเข้าหาเวินเจิงทันที
………………………………