ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 799 แท่นทองแดง

ในมิติสีขาวขมุกขมัวแห่งหนึ่ง

มองไปรอบด้านไม่เห็นปลายทางสักนิด นอกจากนี้ไม่มีกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตใด หมอกร้อนสีขาวชั้นแล้วชั้นเล่าลอยปกคลุมอยู่อย่างสิ้นเชิง

ใต้ไอหมอกร้อนผ่าวสีขาวเวิ้งว้างกลับเป็นทะเลเพลิงลุกโหมผืนหนึ่ง มีควันสีขาวสายแล้วสายเล่าลอยละล่องขึ้นมาจากทะเลเพลิงค่อยๆ ก่อตัวเป็นหมอกขาวร้อนผ่าวกลางอากาศ

ใจกลางทะเลเพลิงร้อนสีแดงฉานผืนนี้ ท่ามกลางหมอกสีขาวที่ปกคลุมชั้นแล้วชั้นเล่า แท่นทองแดงมหึมาโอ่อ่าสามแท่นลอยอยู่กลางอากาศ

แท่นทองแดงรูปสี่เหลี่ยมสามแท่นที่รอบด้านมีสนิมสีเขียวและปรากฏตัวอักษรประปรายลอยอยู่ห่างผิวทะเลราวยี่สิบสามสิบจั้ง แท่นทองแดงยาวราวหนึ่งร้อยจั้ง กว้างก็ราวหนึ่งร้อยจั้ง ทั้งสี่ด้านราบเรียบอย่างยิ่ง

เสียงชือๆ ดังขึ้นชั่วขณะ กลางอากาศเหนือแท่นทองแดงแท่นหนึ่งในนั้นก็มีคลื่นไหวกระเพื่อมระลอกหนึ่งเกิดขึ้น ค่ายกลที่ส่องแสงสีทองค่ายกลหนึ่งปรากฏออกมาจากกลางอากาศจากนั้นชั่วพริบตาพังทลายสลายไป เงาคนสีน้ำเงินร่างหนึ่งปรากฏขึ้นจากตรงกลาง

นั่นก็คือหลิ่วหมิงที่เพิ่งผ่านการทดสอบด่านก่อนหน้าแล้วถูกเคลื่อนย้ายมาที่นี่

หลิ่วหมิ่งร่วงดิ่งลงมาจากกลางอากาศ เสียงเปรี้ยงดังขึ้นทีหนึ่ง เขายืนมั่นคงอยู่บนแท่นทองแดง แล้วถึงลืมตาสองข้างขึ้นอีกครั้ง เขามองทุกสิ่งรอบด้านก่อนจากนั้นตะลึงเล็กน้อยก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นมา

หมอกสีขาวรอบด้านแท่นทองแดงนี้รวมตัวกันหนาอย่างยิ่ง จิตสัมผัสของเขาไม่อาจทะลุผ่านไปได้แม้แต่น้อย

ส่วนเพลิงร้อนแรงในทะเลเพลิงด้านล่างก็คล้ายไม่ใช่เปลวเพลิงธรรมดา หลังจิตสัมผัสของเขากวาดผ่านไปกลับมีความรู้สึกร้อนระอุผิดธรรมดาส่งกลับมา เปลวเพลิงทั่วไปไม่มีทางทำเช่นนี้ได้เด็ดขาด

เวลานี้เองอากาศด้านบนก็ไหวกระเพื่อมขึ้นอีกครั้ง ค่ายกลที่ส่องแสงสีทองอีกค่ายกลหนึ่งปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า หลังส่องสว่างแล้วดับลง เงาคนสีเขียวร่างหนึ่งก็ร่วงลงมาจากท้องฟ้า เสียงปังดังขึ้นทีหนึ่ง ร่างนั้นก็ยืนมั่นคงอยู่ไม่ไกลเบื้องหน้าเขา

หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไป เงาร่างสีเขียวนี้ไม่ใช่ใครอื่น นางคือสตรีชุดเขียวของสำนักเฮ่าหรานนั่นเอง

นางตั้งสติ จากนั้นมองหลิ่วหมิงนิ่งๆ ทีหนึ่งแล้วเริ่มหันหน้ามองไปยังไอหมอกสีขาวนอกแท่นทองแดงสีเขียว

ผลปรากฏว่านาทีต่อมานางก็ขมวดคิ้วงามน้อยๆ สังเกตเห็นความผิดปกติของที่แห่งนี้ด้วยเช่นเดียวกัน

ทันใดนั้นหลิ่วหมิงกับสตรีชุดเขียวก็สัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนรุนแรงกะทันหันที่ส่งออกมาจากแท่นทองแดงสีเขียวใต้เท้าพร้อมกัน

หลังแรงสั่นสะเทือนรุนแรงระลอกหนึ่ง สนิมทองแดงสีเขียวตรงขอบแท่นทองแดงรูปสี่เหลี่ยมที่ทั้งสองคนยืนอยู่ก็ค่อยๆ หลุดลอกออก เผยหน้าตาดั้งเดิมด้านใน

ขอบนอกรอบด้านแท่นทองแดงมหึมามีอักษรสีทองลี้ลับจารึกไว้มากมายถี่ยิบ พร้อมกับที่สนิมสีเขียวค่อยๆ หลุดลอก แสงลี้ลับสีทองแสบตาสายแล้วสายเล่าก็ส่องออกมาจากอักขระจารึกสีทองในทันใด

แสงสีทองชั่วพริบตาส่องสว่างไสวหมื่นจั้ง แสงสีทองระลอกแล้วระลอกเล่าพุ่งตรงไปยังชั้นเมฆ คลุมทั้งแท่นทองแดงสีเขียวอย่างรวดเร็ว

เมื่อแสงลี้ลับสีทองไหลเคลื่อนช้าๆ ดึงดูดหมอกสีขาวร้อนระอุกลางอากาศให้ค่อยๆ รวมตัวกันเข้าไปหาแสงสีทอง

หมอกทึบสีขาวเบี่ยงเข้าหาแสงลี้ลับสีทองไม่หยุด ค่อยๆ ก่อตัวเป็นเกราะแสงโปร่งใสรูปสี่เหลี่ยมสีทองขาวสองสีชั้นหนึ่งตามขอบของแท่นทองแดงรูปสี่เหลี่ยม

เกราะแสงชั้นนี้มีหมอกสีขาวเป็นพื้นกับเส้นด้ายสีทองสายแล้วสายเล่าที่ขยับไม่หยุด แลดูบางล่องลอยอย่างยิ่ง

หลิ่วหมิงตกตะลึง ทว่ามองผ่านเกราะแสงโปร่งใสออกไป แท่นทองแดงมหึมาที่เหมือนกันทุกประการอีกสองแท่นซึ่งห่างไปหลายร้อยจั้งก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน มีเกราะแสงสีทองขาวสองสีชั้นหนึ่งผุดขึ้นมาด้วย….

ในเวลานี้บนแท่นทองแดมหึมาสองแท่นก็มีเงาคนขยับไหวอยู่เลือนรางเช่นกัน

หลังหลิ่วหมิงเพ่งมองให้ละเอียดถึงเห็นชัดว่าแต่ละแท่นทองแดงเป็นหลัวเทียนเฉิงกับบุรุษผมม่วง ซึ่งกำลังประจันหน้าระวังกันอยู่

แท่นทองแดงอีกแท่นหนึ่งบุรุษรถเงินยืนอยู่เพียงลำพัง เขามองมายังแท่นทองแดงอีกสองแท่นผ่านม่านแสงล่องลอยสีทองขาวสองสีอย่างสงสัยใคร่รู้

ทันใดนั้นในอากาศตรงกลางของแท่นทองแดงสีเขียวทั้งสาม ไอหมอกสีเขียวครามสายหนึ่งก็ค่อยๆ ลอยขึ้นมาก่อตัวขึ้นเป็นอักษรแสงสีเขียวครามแถวแล้วแถวเล่าช้าๆ

“คนที่อยู่แท่นทองแดงเดียวกันต่างเป็นคู่ต่อสู้ของกันและกัน ไม่สนเป็นตาย ขอเพียงต่อสู้ชนะอีกฝ่ายจะเข้าด่านต่อไปได้ ผู้ที่ยอมแพ้หรือตายจะถูกเคลื่อนย้ายจากไปเอง คนที่เหลืออยู่จึงเป็นผู้ชนะของด่านนี้! หากผู้ใดไร้คู่ต่อสู้ถือว่าชนะทันที”

หลังตัวอักษรสีเขียวครามคงอยู่ชั่วครู่ก็ค่อยๆ กลายเป็นไอหมอกสายแล้วสายเล่าลอยล่องหายไป

เห็นเช่นนี้ แววตาของหลิ่วหมิงก็ทอประกายเล็กน้อย เขาเงยหน้ามองไปหาสตรีชุดเขียว สบตากับอีกฝ่ายพอดี

แววตาหลัวเทียนเฉิงก็ทอประกายเย็นเยียบมองไปหาบุรุษผมม่วงเช่นกัน พวกเขาเดินมาถึงตรงนี้ย่อมไม่มีทางมีคนเลือกถอย

ชายหนุ่มรถเงินเห็นเช่นนี้กลับหัวเราะเบาๆ

เห็นชัดว่าเขาคือผู้โชคดีที่ไม่มีคู่ต่อสู้คนนั้น

เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาไม่ต้องออกแรงเป่าฝุ่นก็เข้าสู่ด่านต่อไปได้อย่างง่ายดาย

หลิ่วหมิงเดาเรื่องนี้ได้ลางๆ ตั้งนานแล้ว หลังเขามองสตรีฝั่งตรงข้ามทีหนึ่งก็ยิ้มประสานมือเอ่ยว่า

“สหาย ดูแล้วครานี้ไม่ลงมือคงไม่ได้ ข้าได้แต่ล่วงเกินแล้ว!”

“ข้าได้ยินว่าสหายหลิ่วเป็นศิษย์รุ่นใหม่เพียงคนเดียวของนิกายยอดบริสุทธิ์ที่ฝีมือทัดเทียมกับหลัวเทียนเฉิง ได้ประจักษ์พลังสักเล็กน้อย เป็นเรื่องที่ปรารถนาอย่างยิ่ง!” สตรีชุดเขียวได้ยินก็ยิ้มน้อยๆ เอ่ยตอบ

บนใบหน้าหลิ่วหมิงไม่มีสีหน้าประหลาดแม้แต่น้อย แต่ในใจกลับสะท้านไหวเบาๆ

สตรีชุดเขียวรู้เรื่องที่เขากับหลัวเทียนเฉิงเคยประมือกันในนิกาย นี่เหนือความคาดคิดอยู่มาก ดูท่าสตรีผู้นี้จะเป็นผู้ที่มีความเป็นมาไม่ธรรมดา

เวลานี้เองหญิงสาวพลันกวักมือทีหนึ่งเรียกแท่นฝนหมึกหินหนาหนักสีเขียวหยกชิ้นหนึ่งออกมา

แท่นฝนหมึกหินนี้มีสีเขียวหยกทั้งแท่น หน้าตาเรียบง่ายยิ่งนัก ในช่องว่างยังมีหมึกสีดำเหลือบเขียวเรียบหรูหยดแล้วหยดเล่าติดอยู่คล้ายน้ำหมึกสีดำยังคงไหลเอื่อยอยู่ด้านใน แม้มีขนาดเท่ากำปั้น แต่เมื่อถืออยู่ในมือเรียวของหญิงสาวชุดเขียวแล้วกลับทำให้คนรู้สึกว่าหนาหนักอย่างยิ่ง

สตรีชุดเขียวสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่งโยนแท่นฝนหมึกหินสีเขียวหยกขึ้นกลางอากาศ จากนั้นมือข้างหนึ่งก็ยกขึ้น เคล็ดวิชาสีเขียวสามสายพุ่งเข้าไปในแท่นฝนหมึกสีเขียวหยก

แท่นฝนหมึกสีเขียวหยกฉับพลันส่องแสงสีเขียวหยกออกมา มันหมุนติ้วกลางอากาศครู่หนึ่งก็ขยายใหญ่ขึ้นถึงสิบกว่าจั้งกลางอากาศ ทาบทับท้องฟ้าเหนือร่างทั้งสองคนไว้

“เท!”

สตรีชุดเขียวชี้ท้องฟ้าแล้วตวาดเสียงเบาออกจากปาก

หลังแท่นฝนหมึกสีเขียวหยกหนาหนักสั่นเบาๆ ทีหนึ่ง ปากแท่นฝนหมึกก็เอียงเล็กน้อย เทเงาน้ำหมึกสีดำเหลือบเขียวลงมาประหนึ่งน้ำตก

น้ำหมึกสีดำสายแล้วสายเล่านี้ผนึกรวมกันกลางอากาศชั่วพริบตากลายเป็นเงายอดเขาสีเขียวครามขนาดสิบกว่าจั้งสี่ห้าลูก ส่งเสียงครืนร่วงดิ่งลงมาประหนึ่งเขาไท่ซานถล่มทับเหนือศีรษะ พลังน่าพรั่นพรึงอย่างที่สุด

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้กลับไม่ตระหนกสักนิด เขารู้ว่าพื้นที่จำกัดเช่นนี้ไม่อาจหลบได้ ทันใดนั้นร่างของเขาก็ลอบย่อตัวลงแล้วตวาดเบาๆ คำหนึ่ง ปราณดำเข้มข้นดวงแล้วดวงเล่าฉับพลันผุดออกมาจากในร่าง จากนั้นสองแขนพลับยกขึ้น ต่อยสองหมัดรุนแรงเข้าใส่ท้องฟ้า

เสียงฟึบๆ ดังขึ้นหลายหน

พยัคฆ์หมอกสีดำโหดเหี้ยมห้าตัวกับมังกรหมอกสีดำดุร้ายห้าตัวรวมตัวออกมาจากปราณดำพุ่งขึ้นฟ้าตามเงาหมัดมหึมาสองหมัดไปในทันใด

ทันใดนั้นกลางท้องฟ้าสูงเสียงดังสนั่นก็ลอยออกมา แสงรัศมีสีดำเขียวสว่างชั่วพริบตาระเบิดกลางอากาศ คลื่นปราณวงแล้ววงเล่าพุ่งออกมา

ท่ามกลางเสียงพยัคฆ์คำรามมังกรกู่ร้อง เงายอดเขาลูกแล้วลูกเล่าถูกเงาพยัคฆ์และมังกรฉีกกลายเป็นไอหมอกสีเขียวดำสายแล้วสายเล่าสลายหายไปในพริบตา

หลังเงาพยัคฆ์กับมังกรบินวนกลางอากาศรอบหนึ่งก็พุ่งชนเข้าใส่แท่นฝนหมึกสีเขียวหยกด้านบน

สตรีชุดเขียวเห็นเช่นนี้ก็แค่นเสียงหยันทว่าใบหน้างามเสียใจยิ่ง สิบนิ้วดีดรัวพร้อมกัน ทันใดนั้นเคล็ดวิชาสีเขียวสิบกว่าสายพลันบินพุ่งออกมาจมลงไปในแท่นฝนหมึกหินกลางอากาศ

แท่นฝนหมึกทั้งแท่นส่งเสียงครางแผ่วเบา แสงจิตวิญญาณสีเขียวหยกเอ่อล้นกว่าเดิมพร้อมกับมุมที่เท ฉับพลันเพิ่มขึ้นไม่น้อย เงาน้ำหมึกสีเขียวหยกเทลงมามากกว่าเดิม กลายเป็นเงายอดเขาสิบกว่าลูกกดลงมาหนักหน่วงอีกหน

เสียงเปรี้ยงดังสนั่นกึกก้องอีกครั้ง!

มังกรกับพยัคฆ์หมอกสีดำประจันหน้าเข้าใส่ขุนเขาอย่างอาจหาญไม่กลัวเกรง ทว่าเงายอดเขาต่อเนื่องไม่ขาดสายก็พุ่งเข้าชนจนพวกมันค่อยๆ ลางเลือนหายไปทีละตัวๆ เมื่อพวกมันพุ่งไปห่างจากแท่นฝนหมึกหินสีเขียวหยกไม่กี่จั้งก็เหลือมังกรหมอกสีดำเพียงตัวเดียว อีกทั้งร่างกายยังหม่นแสงอย่างที่สุดคล้ายจะสลายไปได้ตลอดเวลา

เวลานี้เองมังกรตัวนี้พลันอ้าปากกว้าง แสงสีทองจางๆ เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ยิงเร็วรี่ออกมา ชั่วพริบตาแล่นผ่านเงายอดเขาสองลูกไป

เสียงฟึบดังขึ้นหนึ่งหน!

แสงสีทองทะลุผ่านใจกลางแท่นฝนหมึกหิน หลังวนรอบหนึ่งก็กลายเป็นกระบี่บินสีทองเล่มหนึ่งพุ่งเร็วรี่กลับมา โฉบจมหายเข้าไปในแขนเสื้อเขาไม่เห็นร่องรอย

หลิ่วหมิงลอบเรียกกระบี่ว่างเปล่าออกมาตั้งนานแล้วจากนั้นซ่อนไว้ในร่างของมังกรหมอกตัวหนึ่ง นี่ถึงโจมตีทำลายแท่นฝนหมึกหินสีเขียวหยกในหนึ่งการโจมตีอย่างเหนือความคาดหมายได้

แท่นฝนหมึกหินหม่นแสงกลับคืนสภาพเดิมร่วงหล่นลงมาทันที เงายอดเขาสองลูกด้านหลังก็ส่งเสียงปังๆ พังทลายสลายไปด้วย

สตรีชุดเขียวเห็นเช่นนี้ ดวงเนตรงามพลันมีแววตาคาดไม่ถึงปรากฏขึ้นแวบหนึ่งก่อนจะหายไป มือข้างหนึ่งกวักเรียก แท่นฝนหมึกสีเขียวหยกก็พุ่งกลับมา ในใจความรู้สึกเจ็บปวดจางๆ สายหนึ่งแล่นผ่านไป

ที่ก้นของแท่นฝนหมึกสีเขียวหยกในมือนางมีรูกระบี่รูหนึ่งเพิ่มขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ตรงขอบตัดเรียบกริบ

แท่นฝนหมึกสีเขียวหยกชิ้นนี้เป็นถึงต้นแบบอาวุธเวทชิ้นหนึ่งที่อาจารย์ของนางมอบให้กับมือ สร้างมาจากศิลาหยกดำจากก้นทะเลลึกหมื่นจั้งของทะเลใต้ เรียกได้ว่าแกร่งประหนึ่งก้อนศิลา ตอนนี้กลับถูกอีกฝ่ายใช้กระบี่บินทำเสียหาย อยากซ่อมแซมคงไม่ใช่ทำได้ในชั่วข้ามวันข้ามคืน

ใบหน้างามของสตรีผู้นี้พลันถมึงทึง หลังเก็บแท่นฝนหมึกสีเขียวหยกไป สองมือพลันทำท่ามือประหลาดท่าหนึ่ง พร้อมกันนั้นปากก็ท่องมนตร์สำเนียงประหลาดออกมา

ภาพน่าตะลึงปรากฏขึ้น

ดวงเนตรแวววาวที่ตาขาวกับตาดำแบ่งชัดคู่นั้นพริบตากลายเป็นสีแดงฉาน ด้านในเริ่มปรากฏรอยร้าวเล็กละเอียดประหนึ่งน้ำแข็งเส้นแล้วเส้นเล่า ดูแล้วดุร้ายน่าหวาดกลัวนิ่งนัก

หลังจากนั้นสตรีผู้นี้ก็ท่องมนตร์ลี้ลับพิศวงออกมาไม่ขาด ดวงตาสีแดงฉานประหนึ่งน้ำวนเริ่มเคลื่อนไหว แสงเปลวเพลิงสีแดงฉานสายแล้วสายเล่าฉายออกมาเป็นระยะ

“วิชาเนตร!”

หลิ่วหมิงเห็นภาพนี้ ในใจพลันสะท้าน ไม่มีเวลาให้ครุ่นคิดร่างกายขยับวูบหนึ่งกลายเป็นเงาสีน้ำเงินจางๆ สายหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกไป

เสียงเปรี้ยงดังขึ้นหนึ่งหน เปลวเพลิงสีแดงฉานลุกโหมดวงหนึ่งปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าตรงที่เงาสีน้ำเงินโฉบผ่านไป หวุดหวิดขาดอีกเพียงก้าวเดียวก็จะโจมตีถูก

สตรีชุดเขียวแค่นเสียงหยันคำหนึ่ง ปากท่องมนตร์เร็วขึ้นอีกหลายส่วน

ชั่วขณะนั้นเสียงเปรี้ยงๆ กลางอากาศดังขึ้นต่อเนื่อง เปลวเพลิงสีแดงฉานปรากฏขึ้นกลางอากาศแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว แต่ทุกครั้งห่างจากเงาคนสีน้ำเงินที่พุ่งตัดผ่านซ้ายขวาไม่อยู่นิ่งประดุจภูตผีร่างนั้นเพียงนิดเดียวเสมอ

ท้ายที่สุดสองลมหายใจให้หลัง เงาคนสีน้ำเงินพลันบิดโค้งทีหนึ่ง หลบเปลวเพลิงไม่กี่ลูกที่ระเบิดออกมาจากความว่างเปล่าใกล้ๆ จากมุมที่เหนือความคาดคิด พร้อมกันนั้นก็พุ่งไปใกล้ๆ ด้านหน้าหญิงสาว

เสียงพยัคฆ์คำรามดังขึ้น เงาหมัดมหึมาข้างหนึ่งพลันแปลงเป็นหัวพยัคฆ์สีดำมาถึงพร้อมเสียงดังสนั่น!

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset