“บนเขาลูกนี้ยังมีวานรยักษ์ตนอื่นๆ?” จินอวี่ที่เพิ่งเห็นวานรยักษ์ที่น่ากลัวกับตา ได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกเสียวสะท้านขึ้นมา
“ไม่ผิด นอกจากจะมีตนทีเพิ่งสังหารไปเมื่อครู่แล้วบนเขายังมีอีกเจ็ดตน และวานรยักษ์สีเทาเมื่อครู่มีพลังแค่ปานกลางเท่านั้น ในนั้นมีตนหนึ่งที่มีขนสีทอง พลังอันน่ากลัวของมันด้อยกว่าอาจารย์จิตวิญญาณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ต่อให้ลงมือพร้อมกันสองคนก็ไม่อาจรับมือกับมันได้” หยางเฉียนกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หลิ่วหมิงฟังถึงจุดนี้สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
“แต่พวกเจ้าไม่ต้องกังวลจนเกินไป ถึงวานรยักษ์เหล่านี้จะค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่สติปัญญาไม่ค่อยสูง เพียงแค่ใช้กลอุบายเล็กน้อยล่อให้มันออกทีละตัวได้ ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวก็คือการทำเช่นนี้ต้องใช้เวลานานเกินไป แต่ถ้าตอนนี้มีพวกเจ้าเข้าร่วมล่ะก็ พวกเราสามารถเสี่ยงอันตรายหลอกล่อมาได้ทีละสองตน” ชายหน้าดำกล่าวเสริม
“ด้วยพลังของศิษย์พี่ทั้งสองกับพวกข้าสองคน คิดว่าการรับมือกับมันครั้งละสองสามตนคงไม่มีปัญหาอะไร แต่ในนั้นไม่รวมถึงปีศาจวานรยักษ์ขนทองที่ร้ายกาจตนนั้น!” หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา
“ย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว พวกเราจะต้องจัดการกับหกตนนั้นก่อน จากนั้นค่อยรวมพลังกันรับมือกับปีศาจวานรขนทองตนนี้ ใช่สิ! เกรงว่าศิษย์น้องทั้งสองอาจจะยังไม่รู้ ถ้าทานถุงน้ำดีของปีศาจวานรเหล่านี้กับสุราโอสถเข้าไปล่ะก็ จะสามารถเพิ่มพลังได้หนึ่งถึงสองเท่า แน่นอนว่าของสิ่งนี้ต้องทานตอนที่มันยังสดๆ ครั้งหนึ่งก็ไม่สามารถทานได้มาก และถ้าพลังยิ่งมากก็จะยิ่งแข็งแกร่ง ถ้าหากพวกเราทำสำเร็จก็จะแบ่งได้คนละสองถุงพอดี” ตอนแรกชายหน้าดำดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจมากนัก แต่สุดท้ายก็กล่าวออกมาด้วยสีหน้าที่ดูลึกลับ
“มีเรื่องนี้เช่นนี้ด้วย!” พอจินอวี่ได้ยินก็กล่าวออกมาอย่างคาดไม่ถึง แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการดีใจมากนัก
นี่ก็เป็นเรื่องปกติ เขาไม่ใช่ผู้ฝึกร่าง ต่อให้พลังจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงเล็กน้อย ก็ไม่มีความหมายกับเขามากนัก
แต่หลิ่วหมิงได้ยินแล้วกลับใจเต้นขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า และยังขมวดคิ้วถามออกไป
“ศิษย์พี่ทั้งสองจำเป็นต้องขึ้นยอดเขาลูกนี้เท่านั้นหรือ? ในเมื่อปีศาจวานรเหล่านี้รับมือยากเช่นนี้ก็สามารถเปลี่ยนไปยอดเขาลูกอื่นได้ หรือว่ายอดเขาลูกอื่นก็มีปีศาจอสูรที่แข็งแกร่งเช่นกัน?”
“ฮ่าๆ ศิษย์น้องไป๋กล่าวได้ถูกต้องหลายวันก่อนพวกข้าได้สำรวจดูยอดเขาทั้งห้าไปรอบหนึ่งแล้ว นอกจากยอดเขาลูกนี้ที่มีปีศาจวานรแล้ว ยอดเขาอีกสี่ลูกก็ถูกเหยี่ยวขนเหล็ก อสรพิษหงอนสีเงิน เป็นต้น ครอบครองอยู่ ซึ่งมันเป็นปีศาจอสูรที่แข็งแกร่งกว่า ปีศาจวานรเหล่านี้ถึงแม้จะร้ายกาจแต่นับว่ารับมือได้ง่ายกับปีศาจอสูรตนอื่นๆ พวกเราไม่สามารถอยู่ในแดนลึกลับแห่งนี้ได้นาน ย่อมต้องเลือกเขาที่สามารถขึ้นไปได้ง่ายสุด คนอื่นที่ต้องการขึ้นเขาลูกอื่นก็ต้องร่วมมือกันเหมือนกับพวกเรา” ชายหน้าดำหัวเราะกล่าวออกมา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นเรื่องการร่วมมือกันนี้ข้าไม่มีข้อคัดค้านใดๆ แล้ว” หลิ่วหมิงถอนหายใจกล่าวออกมา แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีตกใจมากนัก
จินอวี่ก็ไม่มีข้อคัดค้านใดๆ เช่นกัน
“ดีมาก ในเมื่อศิษย์น้องทั้งสองต่างก็รับปากแล้ว พวกเรามาพูดคุยถึงรายละเอียดขั้นตอนการลงมือกันเถอะ! ถึงแม้การหลอกในก่อนหน้านั้นจะได้ผล แต่ตอนนี้ต้องการหลอกล่อออกมาทีละสองตนนั้นก็ย่อมต้องเปลี่ยนสถานที่ไปด้วย” ชายหน้าดำกล่าวด้วยความดีใจ
จากนั้นพวกก็ปรึกษาหารือกันในป่าดงดิบเป็นเวลาหนึ่งมื้อข้าว สุดท้ายถึงได้แผนการที่เป็นรูปธรรม
ครั้งนี้ปีศาจกระดูกหัววัวร่างมนุษย์ตนนั้นได้ลากศพของปีศาจวานรมาวางไว้ด้านหน้าพวกเขา ชายหน้าดำหยิบมีดแหลมคมออกมาจากอก และกรีดลงไปบนหน้าอกของศพไปมา จนในที่สุดก็หาถุงน้ำดีสีดำที่มีขนาดเท่าพุทราจีนเจอ ซึ่งมันได้ส่งกลิ่นเหม็นคาวออกมาด้วย
ชายหน้าดำไม่สนใจกลิ่นอันแปลกประหลาดของมัน แต่กลับเอามันใส่ปากกลืนลงไปด้วยจิตใจที่เบิกบาน และคว้าสุรามาดื่มเข้าไปสองอึก จากนั้นก็หรี่ตาลงเล็กน้อยราวกับว่ากำลังลิ้มรสอาหารชั้นเลิศบางอย่าง ทำให้หลิ่วหมิงที่เห็นฉากนี้ถึงกับพูดอะไรไม่ออก
ดูเหมือนว่าอุปนิสัยของศิษย์พี่ใหญ่ของหุบเขาเก้าช่องผู้นี้จะแตกต่างจากคนทั่วไปมากจริงๆ แต่ก็ไม่รู้ว่ามาสนิทกับหยางเฉียนได้อย่างไร
ขณะนี้ศพที่เหลือของปีศาจวานร นอกจากหัวของมันที่ถูกหยางเฉียนตัดออกมาแล้ว ส่วนอื่นก็ถูกลูกเปลวไฟลูกหนึ่งเผาไหม้จนเป็นเถ้าถ่าน
“เรื่องนี้ไม่อาจชักช้าได้! พี่อวิ๋นพาพวกเขาทั้งสองไปวางกับดักตามสถานที่ที่ได้คุยกันไว้ และถือโอกาสฟื้นฟูพลังอยู่ที่นั่น ข้าจะขึ้นเขาไปสังเกตดูความเคลื่อนไหวของปีศาจวานรที่เหลือ พอพรุ่งนี้เช้าพวกเราจะดำเนินการกัน” หยางเฉียนกล่าว
ทั้งสามคนได้ยินเช่นนี้ก็ไม่ได้ขัดข้องแต่ประการใด
ดังนั้นหลังจากที่หยางเฉียนเก็บปีศาจกระดูกขนาดใหญ่เข้าไปแล้ว ก็เหาะไปยังบนยอดที่อยู่ไม่ไกล
ชายหน้าดำก็สะบัดแขนเสื้อ ลูกกลมๆ สีเหลืองกลิ้งออกมาลูกหนึ่ง หลังจากที่มีเสียงดังออกมามันก็กลายเป็นหุ่นหมาป่ายักษ์ยาวจั้งกว่าๆ
ชายหน้าดำขึ้นไปขี่มันด้วยท่าทีหยิ่งยโส จากนั้นมันก็วิ่งไปยังทิศทางหนึ่งของป่าดงดิบ
จินอวี่กับหลิ่วหมิงตามไปอย่างว่าง่าย
……
บริเวณตีนเขาของยอดเขาอีกลูกหนึ่ง ศิษย์นิกายเอกะชายหญิงใบหน้าคล้ายกันสองคนกำลังยืนอยู่บนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง พวกเขากำลังจ้องมองไปยังส่วนบนสุดของยอดเขา แต่สีหน้านั้นดูไม่ได้เลยทีเดียว
“พี่ใหญ่ การรับรู้ของท่านคงไม่ผิดใช่ไหม กลิ่นไอของมังกรแดงตนนั้นมาจากบนนั้นจริงๆ? เห็นๆ อยู่ว่ามีอสรพิษหงอนสีเงินอยู่บนนั้น!” หญิงร่างอรชรถามออกมาในขณะที่คิ้วสีดำขมวดเข้าหากัน
“ไม่ผิดอย่างแน่นอน ในเมื่อข้าใช้โลหิตมังกรสมุทรขวดนั้นกับเคล็ดวิชาของเผ่าไปแล้ว ข้าสามารถรับรู้ได้ถึงกลิ่นไอของมังกรได้ถึงสิบวัน ข้อนี้คงไม่มีปัญหาแน่นอน บางทีอสูรมังกรอาจมีวิธีการอะไรบางอย่างในการเข้าไปในนั้นโดยที่ไม่ให้อสรพิษหงอนสีเงินเหล่านั้นค้นพบ” ชายหนุ่มละสายตากลับมาแล้วก็กล่าวเหมือนคิดอะไรอยู่
“ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็คงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างปวดหัวแล้วล่ะ เห็นได้ชัดว่าอสรพิษหงอนสีเงินเหล่านั้นโตเต็มวัยแล้ว ถึงแม้พวกเราสองคนจะร่วมมือกัน เกรงว่าคงต้องสูญเสียพลังไปไม่น้อย” หญิงร่างอรชรกล่าวท่าทีที่กลัดกลุ้มเล็กน้อย
“ต่อให้รับมือยากก็ต้องจัดการพวกมันให้สิ้นซาก ข้าได้ใช้โลหิตมังกรสมุทรหมดไปแล้วจะกลับไปมือเปล่าไม่ได้โดยเด็ดขาด อย่างมากพวกเราก็แค่กลับคืนร่างเดิมเพื่อใช้เคล็ดวิชาของเผ่าจัดการกับอสรพิษเหล่านี้” ชายหนุ่มกล่าวอย่างไม่ลังเล
“ในเมื่อศิษย์พี่ตัดสินใจแล้ว ข้าจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ข้าช่วยท่านวางค่ายกลกำจัดง่ายๆ ไว้บริเวณนี้ เช่นนี้แล้วเวลาลงมือก็ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกคนอื่นแอบดูแล้ว” หญิงร่างอรชรคิดใคร่ครวญเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวออกมา
“ดีมาก น้องข้ามีความสามารถในวิชาค่ายกลมาตั้งแต่เด็ก ถึงแม้ด้วยข้อจำกัดทางด้านการฝึกฝนและเวลาจะทำให้ไม่สามารถสร้างค่ายกลที่ซับซ้อนได้ แต่มันเหลือเฟือสำหรับรับมือกับศิษย์จิตวิญญาณที่เข้ามาในแดนลึกลับแห่งนี้ เช่นนี้พี่ก็สามารถลงมือได้อย่างเต็มที่แล้ว” ชายหนุ่มได้ยินก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก
“ถ้าอย่างนั้นขอพี่ใหญ่รออีกสองวัน เวลายาวนานเช่นนี้คงจะเพียงพอให้ข้าเตรียมทุกอย่างได้เสร็จสรรพ” หญิงร่างอรชรกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง
ครั้งนี้ชายหนุ่มเพียงแค่คิดใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วก็ตอบรับกลับไป
……
เนินเขาที่หมิ่นโซ่วตกลงมาเสียชีวิตในก่อนหน้านั้น ศิษย์นิกายจันทราสวรรค์ผู้หนึ่งสะพายกระบี่ยาวหิมะขาวยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ นางกำลังจ้องมองอะไรบางอย่างบนยอดเขาที่สูงชะโงกเงื้อม
หลังจากไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด หญิงนางนี้พลันเลื่อนมือเรียวยาวราวกับหยกไปจับด้ามกระบี่ตรงหลังไว้ ขณะเดียวกันก็หันหน้ามองไปยังหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“ใครหลบๆ ซ่อนๆ อยู่แถวนั้น ออกมาเดี๋ยวนี้!”
“เฮ่อๆ สมกับที่เป็นร่างสื่อสารจิตวิญญาณกระบี่ของนิกายจันทราสวรรค์ที่ปรากฏตัวในรอบพันปี ข้าเพียงแค่หายใจแรงหน่อยก็ถูกศิษย์น้องค้นพบแล้ว”
หลังจากมีเสียงหัวเราะดังมาจากหลังหินก้อนใหญ่ ชายชุดคลุมสีเลือดรูปร่างผอมสูงผู้หนึ่งก็เดินออกมาจากในนั้น
“เซวี่ยชื่อ เจ้านั่นเอง!” พอหญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์เห็นใบหน้าของชายชุดคลุมสีเลือดชัดเจนก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“นอกจากข้าแล้ว ยังจะมีใครกล้าพูดจากับศิษย์น้องจางเช่นนี้เล่า ดูจากท่าทีของศิษย์น้องคงจะสนใจเหยี่ยวขนเหล็กเหล่านี้มาก วิหคปีศาจที่มีพลังแฝงอันแข็งแกร่งนี้ ถ้าหากได้ไข่ของมันมาสองสามใบ ต่อให้บนเขาไม่มีของล้ำค่าอันใดก็คุ้มค่าที่พวกเราจะเสี่ยงดูสักครั้ง” เซวี่ยชื่อกล่าวอย่างไม่รีบร้อน
“พวกเรา? ข้าบอกตอนไหนว่าจะร่วมมือกับเจ้า” หญิงนิกายจันทราสวรรค์ลังเลยอยู่ครู่หนึ่งแล้วหัวเราะกล่าวออกมา
“ศิษย์น้องจางล้อข้าเล่นแน่ๆ ถ้าพวกเราสองนิกายไม่ร่วมมือกัน เจ้าคิดจะรับมือกับเหยี่ยวขนเหล็กบนเขาเพียงคนเดียวหรือ?” เซวี่ยชื่อได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็ดูไม่ได้ขึ้นมา
“ข้าจะทำอย่างไรจำเป็นต้องให้เจ้ามาสอนด้วยหรือ! ถ้าเจ้าไม่รีบไปตอนนี้ ก็รับกระบี่ของข้าให้ได้สามครั้งแล้วค่อยว่ากัน ถ้าหากว่าภายในสามกระบี่แล้วเจ้ายังสามารถยืนอยู่ได้โดยไม่ได้รับอันตรายใดๆ ข้าอาจจะพิจารณาเรื่องร่วมมือกันก็ได้” หญิงนิกายจันทราสวรรค์กล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ทั้งยังดึงกระบี่หิมะขาวตรงหลังออกมาหลายชุ่นในทันที เผยให้เห็นถึงกระบี่อันแวววาว ไอกระบี่อันเย็นยะเยือกม้วนตัวไปยังฝั่งตรงข้ามในทันที
พอเซวี่ยชื่อสัมผัสกับไอเย็นนี้ก็สะดุ้งโหยงขึ้นมา แต่ก็คำรามเสียงต่ำออกมาด้วยความโมโห หลังจากที่กลิ่นไอบนตัวเพิ่มขึ้นในฉับพลันก็มีไอโลหิตจำนวนหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้า หลังจากที่มันหมุนรวมตัวกันแล้วก็ลอยลงมาพันล้อมตัวของชายหนุ่มไว้หลายรอบ มองดูไกลๆ จะเห็นราวกับว่ามันคืออสรพิษสีเลือดขนาดใหญ่เป็นพิเศษ
หญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์เห็นเช่นนี้ก็ไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา แต่หลังจากที่ค่อยๆ เคลื่อนไหวข้อมือ กระบี่ยาวตรงหลังก็ถูกดึงออกมาเกือบครึ่งหนึ่ง ไอเย็นยะเยือกแผ่ออกไปรอบทิศทางราวกับว่ามันมีตัวตน
สถานที่ที่ไออันเย็นยะเยือกม้วนตัวผ่านไปจะมีเสียงดังสนั่นขึ้น จากนั้นมันก็เกาะตัวตัวจนกลายเป็นน้ำค้างแข็งชั้นหนาๆ
“ดี! ในเมื่อศิษย์น้องอยากจะวัดความสามารถของข้า ข้าคงต้องขอรับคำชี้แนะจากร่างสื่อสารจิตวิญญาณกระบี่อันมหัศจรรย์นี้แล้ว” ชายชุดคลุมสีเลือดหรี่ตาทั้งสองจ้องมองหญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์ราวกับอสรพิษที่จ้องเหยื่ออยู่ครู่หนึ่ง แล้วถึงได้กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มอันดุร้าย
และเมื่อหญิงสาวได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ตะโกนออกมาอย่างไม่ลังเล
“กระบี่แรก!”
เสียงตะโกนเพิ่งจะสิ้นสุด กระบี่ยาวบนหลังของนางก็เลือนลางแล้วพุ่งเป็นแนวขวางเข้าไปยังด้านหน้าของชายหนุ่ม หลังจากที่มันสั่นไหวในฉับพลันก็แผ่แสงอันเย็นสะท้านออกมาพร้อมกับเสียงอันดังสั่น จากนั้นก็กลายเป็นเงากระบี่จำนวนมากพุ่งเข้าไปหาชายหนุ่ม
……………………………………….