ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 125 ดักซุ่มโจมตี

ตอนที่ 125 ดักซุ่มโจมตี

ผ่านไปสักครู่ เซวี่ยชื่อก็ยังยืนตรงอยู่ที่เดิม แต่สีหน้ากลับซีดขาวผิดปกติ ขณะเดียวกันเส้นผมสีดำบนศีรษะก็กลายเป็นสีแดงเลือด

พื้นดินบริเวณนั้นเต็มไปด้วยร่องรอยของกระบี่กับร่องลึกขนาดใหญ่ร่องหนึ่งที่ยาวเจ็ดแปดจั้ง

“ไม่คาดคิดว่าเจ้าจะสามารถรับมือสามกระบี่ของข้าได้ ดูท่าเจ้าจะแข็งแกร่งกว่าที่ร่ำลือเล็กน้อย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ล่ะก็ข้าจะยอมร่วมมือด้วยก็ได้ แต่พอได้ไข่ของเหยี่ยวขนเหล็กมามากกว่าสองใบล่ะก็ ข้าจะเอาไปสองในสามส่วน ข้อนี้เจ้าจะคัดค้านหรือไม่!” หญิงสาวเก็บกระบี่ยาวในมือใส่ฝักจากนั้นก็กล่าวอย่างราบเรียบ

“คิดไม่ถึงว่าวิชากระบี่ของเจ้าฝึกฝนจนถึงขั้นนี้แล้ว พลังของข้าเทียบเจ้าไม่ได้ย่อมต้องทำตามที่เจ้าบอกอยู่แล้ว” เซวี่ยชื่อยกแขนขึ้นมองดูโลหิตที่เต็มง่ามมือแล้วกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มขมขื่น

“ดีมาก ถ้าหากพวกเราร่วมมือกันล่ะก็คงมีโอกาสรับมือกับเหยี่ยวขนเหล็กเหล่านั้นได้มากขึ้น” หญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์พยักหน้า จากนั้นก็เงยหน้ามองไปยังยอดเขาชะโงกเงื้อมที่อยู่ไกลๆ พร้อมกับเผยสีหน้าอันโหดเหี้ยมออกมาชั่วขณะหนึ่ง

……

บนลานหินกว้างโล่งบนยอดเขาที่อยู่ตรงกลางยอดเขาลูกอื่นๆ และเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดนั้น เกาชง เฟิงฉาน และศิษย์นิกายต่างๆ อีกเจ็ดแปดคนรวมตัวอยู่ด้วยกัน ซึ่งก็ไม่ได้ต่อสู้กันแต่อย่างใด แต่กลับพูดคุยอะไรบางอย่างอยู่เบาๆ ตอนที่พวกเขาพูดคุยกันนั้นต่างก็จ้องมองไปยังยอดเขาสูงใหญ่อยู่ตลอด ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความโลภ

……

ในถ้ำแห่งหนึ่งตรงตีนเขา ร่างเหลยเจิ้นถูกล้อมรอบด้วยสายฟ้า สองมือถือค้อนเล็กสีเงินที่มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบอยู่เช่นกัน เขากำลังฟาดค้อนใส่หินยักษ์สีดำที่ฝังอยู่ตรงผนังถ้ำไปมาอยู่ไม่หยุด

ทุกครั้งที่โบกสะบัดจะมีเส้นสายฟ้าขนาดใหญ่โจมตีลงไปบนหินยักษ์นั้น จนทำให้มันค่อยๆ สั่นไหวจนปรากฏรอยร้าวบนผิวของมัน และค่อยๆ ลึกลงไปเรื่อยๆ

ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป หลังจากที่เหลยเจิ้นตะโกนเสียงต่ำแล้วกวัดแกว่งค้อนโจมตีออกไปอย่างรุนแรงแล้วเส้นสายฟ้าบนร่างก็หายไปทันที จากนั้นเขาก็เก็บค้อนเงิน และนั่งขัดสมาธิกำหนดลมหายใจเพื่อเข้าฌาน

ตอนนี้กลิ่นไอบนตัวเขาลงมาก ประจักษ์ชัดว่าเขาสูญเสียพลังเวทย์มากเกินไป

แต่ขณะนี้ได้เกิดฉากอันน่าประหลาดใจขึ้นบนหินสีดำ

หลังจากที่ยุติการโจมตีลงรอยแตกบนผิวหินก็ค่อยๆ ผสานเข้าหากัน

ผ่านไปไม่นานหินสีดำก็กลับมาเกลี้ยงเกลาเป็นอย่างมาก เพียงแต่ขนาดของมันเล็กกว่าก่อนหน้านั้นเท่าตัว

หลายชั่วยามผ่านไป เมื่อเหลยเจิ้นลืมตาทั้งสองขึ้น กลิ่นไอบนตัวก็ฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติ เขาเก็บเศษหินขึ้นมาจากแถวนั้นหนึ่งชิ้น และสะบัดข้อมือโยนมันไปยังหินสีดำขนาดใหญ่

เสียงดัง “ตู้ม!”

พอเศษหินเข้าใกล้หินสีดำที่อยู่ห่างออกไปจั้งกว่าๆ ก็ถูกพลังไร้รูปบางอย่างกระทบกระเทือนจนแตกละเอียด ขณะเดียวกันผงหินที่แตกละเอียดเหล่านั้นก็ค่อยๆ ลอยเข้าไปในหินสีดำยักษ์ และรวมตัวกันจนเป็นหนึ่งเดียว

“ไม่ได้! มันยังไม่ลดลงจนถึงระดับที่ข้าจะทนต่อมันได้ จำเป็นต้องดำเนินต่อไปอีกถึงจะนำของล้ำค่าในนั้นออกมาได้”

เหลยเจิ้นกล่าวพึมพำ สายตาที่จ้องมองหินสีดำนั้นเต็มไปด้วยความเร่าร้อน

หินสีดำก้อนนี้ เมื่อสองวันก่อนเขาไล่ล่าปีศาจอสูรมาถึงตรงนี้ถึงค้นพบมันโดยไม่ได้ตั้งใจ

เมื่อปีศาจอสูรที่ถูกไล่ล่าตนนั้นเข้าใกล้กับหินสีดำก็กลายเป็นเลือดถูกดูดเข้าไปในนั้น เขาถึงรู้ว่าตนเองค้นพบของล้ำค่ามหัศจรรย์ชิ้นหนึ่ง

ดังนั้นช่วงเวลาที่เหลือเขาจึงใช้พลังอัสนีที่ชำนาญที่สุดค่อยๆ โจมตีพลังด้านนอกที่แปลกประหลาดของหินก้อนนั้น

แต่ดูจากการโจมตีในสองวันที่ผ่านมา ถ้าจะเค้นพลังแปลกประหลาดในนั้นออกมาให้หมดสิ้น เกรงว่าถ้าไม่มีเวลาสิบวันถึงครึ่งเดือนคงจะทำไม่สำเร็จ แต่ยังดีที่เขาไม่จำเป็นต้องเค้นพลังเหล่านี้ออกมาทั้งหมด แต่เพียงแค่ทำให้มันอ่อนลงจนถึงระดับที่เขาสามารถรับมือได้ก็สามารถใช้อาวุธจิตวิญญาณเข้าไปโจมตีหินให้แตกละเอียด และนำสิ่งของในนั้นออกมาได้

ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าของล้ำค่าชิ้นนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร แต่ด้วยความแปลกประหลาดที่มันแสดงออกมา ทำให้เชื่อได้ว่าขอเพียงได้ของสิ่งนี้ไป สิ่งที่เขาได้รับจากแดนลึกลับจะต้องไม่ด้อยไปกว่าผู้ใดอย่างแน่นอน

……

ในบ่อน้ำเร้นลับที่มีพุ่มไม้เตี้ยปกคลุมอยู่รอบด้าน เจียหลานกำลังยืนอยู่ข้างบ่อน้ำโดยที่มีแสงสีม่วงเคลื่อนไหวอยู่ในตาทั้งสอง นางกำลังเผชิญหน้ากับอสูรน้อยในบ่อน้ำสามตนที่มีเขาอยู่ตรงหัวหนึ่งเขา เกล็ดสีเขียวกระจายไปทั่วลำตัวของมัน

อสูรน้อยทั้งสามตนนี้ใช้กรงเล็บทั้งสี่เกาะอยู่บนผิวน้ำไม่ขยับเขยื้อน แสงสีน้ำเงินเปล่งประกายอยู่ในดวงตาทั้งหก มันจ้องมองเจียหลานโดยไม่แสดงความหวาดกลัวใดๆ ออกมาเลยแม้แต่น้อย ดูเหมือนกับว่ามันจะเป็นปีศาจอสูรที่มีพลังจิตแข็งแกร่งตั้งแต่เกิด

และใจกลางบ่อน้ำด้านหลังของอสูรน้อย มีดอกบัวสีฟ้าที่โปร่งแสงแวววาวลอยอยู่บนผิวน้ำ และมันถูกล้อมรอบด้วยพลังปราณอันแน่นหนา

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เจียหลานทำเสียงฮึดฮัดออกมา และร่างของนางก็ถอยไปสองก้าวโดยไม่ได้ตั้งใจ

แสงสีฟ้าในดวงตาอสูรน้อยตรงหน้าทั้งสามก็เปล่งประกายขึ้น ร่างกายของมันก็สั่นไหวแล้วถอยไปหนึ่งก้าวเช่นกัน

เจียหลานจ้องมองอสูรน้อยทั้งสามอย่างละเอียดครู่หนึ่ง จากนั้นก็เคลื่อนไหวร่างหายเข้าไปในพุ่มไม้

สำหรับนางแล้ว การได้เจอกับ “บัวพลังวารี” ที่มีประโยชน์มากมายในแดนลึกลับแห่งนี้ นับว่าเป็นเรื่องไม่คาดฝันที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง

ของสิ่งนี้มีประโยชน์ต่อนางในภายหน้าเป็นอย่างมาก ถึงแม้อสูรวารีทั้งสามตนนี้จะจัดการได้ยาก แต่ก็ต้องหาวิธีจัดการให้ได้

แต่เวลาในแดนลึกลับยังเหลืออีกนาน อีกอย่างที่นี่ก็ค่อนข้างเร้นลับ นางไม่ต้องรีบเอาชีวิตเข้าแลกกับมัน รอคิดวิธีการที่แยบยลได้ก่อนแล้วค่อยมาก็ไม่สาย

……

เช้าวันที่สอง ตอนที่หลิ่วหมิงลืมตาทั้งสองขึ้นอีกครั้งในหุบเขาที่เร้นลับแห่งหนึ่ง ความแข็งแกร่งและพลังเวทย์ของเขาก็ได้ฟื้นฟูจนถึงจุดสูงสุด

ห่างจากเขาไปไม่ไกล หยางเฉียนและคนอีกสองคนก็นั่งกำหนดลมหายใจเข้าฌานอยู่เช่นกัน

การที่หลิ่วหมิงตื่นขึ้นมา ดูเหมือนว่าจะปลุกให้คนอื่นๆ ตื่นขึ้นมาด้วย ครู่ต่อมาทั้งสามคนก็หยุดกำหนดลมหายใจลืมตาขึ้นมา

“พี่อวิ๋น พลังของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง วันนี้อาจจะต้องต่อสู้แล้ว” หยางเฉียนถามชายหน้าดำด้วยความเป็นห่วง

หลังจากที่เขาสอดส่องดูการเคลื่อนไหวของปีศาจวานรแล้ว ก็กลับมารวมตัวกับหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ตั้งแต่เย็นเมื่อวานแล้ว

“วางใจเถอะ! พลังข้าฟื้นฟูมาหมดแล้ว จะต้องไม่พลาดเรื่องสำคัญอย่างแน่นอน” ชายหน้าดำลุกขึ้นมาขยับแข้งขยับขาแล้วกล่าวด้วยความมั่นใจเป็นพิเศษ

“ดีมาก! ในเมื่อเป็นเช่นนี้วันนี้ก็ทำตามแผนที่วางไว้เถอะ! ข้าจะไปบนเขาอีกครั้งแล้วใช้หัวปีศาจวานรตนเมื่อวานล่อปีศาจวานรบนเขาออกมา และจะพยายามควบคุมจำนวนให้มันออกมาแค่สองสามตนเท่านั้น ถ้าหากว่ามีแค่สองตน พี่อวิ๋นกับข้าจัดการคนละตน ศิษย์น้องจินกับศิษย์น้องไป๋คอยช่วยอยู่ข้างๆ ก็พอแล้ว ถ้าหากออกมาสามตนล่ะก็ขอให้ศิษย์น้องทั้งสองแยกกันจัดการคนละตนก่อน ข้ากับพี่อวิ๋นจะรวมพลังกันจัดการอีกตนอย่างรวดเร็วแล้วรีบมาช่วยพวกเจ้า” หยางเฉียนกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ย่อมไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด

เวลาต่อมาหยางเฉียนก็แบกหัววานรสีเทาที่ออกจะแห้งเหี่ยวเล็กน้อยออกไปจากหุบเขา

หลิ่วหมิงและคนทั้งสองก็แยกย้ายกันหาที่ซ่อนตัวมิดชิดที่อยู่ไม่ห่างจากปากทางเข้าหุบเขามากนัก

หลิ่วหมิงซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ที่มีกิ่งและใบเป็นพุ่มๆ จินอวี่กลับซ่อนตัวอยู่หลังกองหินกลุ่มหนึ่ง

สิ่งที่ทำให้หลิ่วหมิงพูดไม่ออกก็คือ ชายหน้าดำกลับยืนวางกล้ามอยู่ด้านหนึ่งของปากทางเข้า จากนั้นก็ปล่อยหุ่นตัวนิ่มออกมาตัวหนึ่ง

หุ่นตัวนี้เพียงแค่ม้วนตัวก็ม้วนชายหน้าดำเจ้าไปอยู่ในนั้นด้วย จากนั้นมันก็เปลี่ยนรูปร่างไปเป็นหินสีเหลืองขนาดใหญ่

รูปร่างของมันเหมือนจริงมาก ต่อให้ไปดูใกล้ๆ ก็ดูไม่ออกว่าเป็นของปลอม

เวลาค่อยๆ ผ่านไป หลังจากไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ก็มีเสียงคำรามดังเข้ามาจากปากทางเข้า ตามด้วยเสียงดัง “ตึ้ง!” “ตึ้ง!” จนพื้นสั่นไหวราวกับว่ามีสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมากำลังเข้ามาอย่างรวดเร็ว

หลิ่วหมิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วตบลงไปบนถุงหนังโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง หลังจากที่แสงสีดำม้วนตัวลงไปยังด้านล่าง แมงป่องกระดูกขาวก็ปรากฏตัวใต้ต้นไม้ใหญ่ท่ามกลางไอสีม่วง

เขาส่งพลังจิตสื่อสารกับมัน จากนั้นมันก็รีบมุดลงไปใต้ดินอย่างไร้ร่องรอย

จินอวี่ที่อยู่หลังกองหินก็สะบัดแขนเสื้อก่อนที่จะมีลูกกลมๆ สามลูกที่มีสีสันแตกต่างกันกลิ้งออกมา จากนั้นมันก็อยู่นิ่งๆ ตรงบริเวณเท้าของเขา

แต่ชายหน้าดำที่ซ่อนตัวอยู่ในหินขนาดใหญ่ที่กลายร่างมาจากตัวนิ่มกลับไม่มีความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติใดๆ

และช่วงเวลานั้น เสียงคำรามก็ดังขึ้นกว่าเดิม!

ฉับพลันก็มีเสียงสนั่นหวั่นไหวดังมาจากปากทางเข้า หยางเฉียนพุ่งตัวเข้ามาราวกับลูกธนู เขาแค่เคลื่อนไหวไม่กี่ทีก็ไปได้ไกลหลายสิบจั้ง จากนั้นก็หยุดการเคลื่อนไหวลงพร้อมตะโกนออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“มีปีศาจวานรสามตน รีบทำตามแผนที่วางไว้”

เสียงเพิ่งจะสิ้นสุด เขาก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว ไอสีดำม้วนตัวพวยพุ่งออกมาจากถุงหนังบนเอว ปีศาจกระดูกหัววัวร่างมนุษย์ปรากฏออกมาในทันที และยังคำรามเสียงต่ำออกมาพร้อมกับจ้องมองปากทางเข้าหุบเขาตาไม่กระพริบ

หลังจากมีเสียง “ตึ้ง!” “ตึ้ง!” “ตึ้ง!” ดังสนั่นขึ้น ก็มีปีศาจวานรยักษ์สามตนกระโดดเข้ามาจากปากทางเข้าหุบเขา

ตนหนึ่งสูงสามจั้งกว่า มีขนสีดำทั้งตัว

อีกสองตนสูงสองจั้งกว่า มีขนสีขาวเทา พวกมันคล้ายกันกับปีศาจวานรเมื่อวาน

พอปีศาจวานรทั้งสามกระโดดเข้ามาในหุบเขา ก็ส่งเสียงคำราม และกระโจนเข้าหาหยางเฉียนทันที

หยางเฉียนทำเสียงฮึดฮัดก่อนที่ทำท่ามือด้วยมือเดียว ไอดำพวยพุ่งม้วนตัวออกมา หลังจากที่มันรวมตัวกันแล้วก็กลายเป็นฝ่ามือสีดำขนาดใหญ่ตบไปยังวานรยักษ์สีดำอย่างไม่ปรานี ขณะนั้นปีศาจกระดูกหัววัวที่อยู่ด้านข้างก็ก้าวยาวๆ พุ่งเข้าไป

ในขณะเดียวกันก็มีเสียงดัง “กรอบแกรบ!” มาจากทางด้านที่จินอวี่ซ่อนตัวอยู่ ครู่ต่อมาหุ่นเสือดาวสามตัวที่สูงจั้งกว่าๆ ก็พุ่งออกมาจากหลังกองหิน มันกระโจนเข้าใส่วานรสีเทาที่อยู่ใกล้กับพวกมันที่สุดอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวพวกมันก็ต่อสู้กันพัลวัน

อีกด้านหนึ่ง ร่างของปีศาจวานรอีกตนที่กำลังวิ่งอยู่พลันกลิ้งไปยังทิศทางหนึ่งทันที พื้นดินที่มันยืนอยู่แยกออกจากกันโดยฉับพลัน ก้ามยักษ์ทั้งสองหนีบผ่านอากาศอันว่างเปล่า

แต่ยังไม่ทันที่วานรยักษ์จะลุกขึ้นมาก็มีเสียงดัง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” คมวายุเจ็ดแปดเส้นพุ่งออกมาจากบนต้นไม้ที่หลิ่วหมิงอยู่ มันกระพริบไม่กี่ทีก็มาถึงด้านหน้าของวานรยักษ์

ปีศาจวานรสีเทาคำรามออกมาด้วยความโมโห มันกระทืบเท้าลงพื้นอย่างรุนแรง ทันใดนั้นพื้นที่บริเวณนั้นก็สั่นสะเทือน กำแพงพสุธาผุดขึ้นมาจากพื้นดินอย่างรวดเร็ว

หลังจากมีเสียงดัง “ฉับ!” “ฉับ!” คมวายุก็โจมตีเข้าใส่กำแพงพสุธาจนทิ้งร่องรอยจางๆ ไว้เท่านั้น

และภายใต้ความโมโหของวานรตนนี้ มันก็กระโดดไปได้ไกลหลายจั้ง และกระโจนเข้าหาหลิ่วหมิงที่อยู่บนต้นไม้

ด้วยเหตุนี้ วานรยักษ์ทั้งสามจึงถูกแยกออกจากกันภายในพริบตา

……………………………………….

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset