เจ็ดวันให้หลัง ในเทือกเขาที่ทอดยาวอยู่ห่างจากเทือกเขาหมื่นวิญญาณสองหมื่นกว่ากิโลเมตรแห่งหนึ่ง
อากาศของที่แห่งนี้ร้อนระอุเป็นพิเศษ เทือกเขาทั้งเส้นเป็นสีแดงฉาน นอกจากนี้ไอหมอกยังลอยวนเวียน ทอดมองไกลออกไปเห็นเป็นรูปบิดเบี้ยวเล็กน้อย อีกทั้งทั่วทั้งเทือกเขาแทบจะมองไม่เห็นเงาของพืชพันธุ์อันใดเลย
นอกเหนือจากนี้ยังมองเห็นยอดเขามีควันดำสายแล้วสายเล่าลอยออกมาเป็นระยะพร้อมกับพ่นธารลาวาสีแดงฉานขึ้นสู่ท้องฟ้า
ปากปล่องภูเขาไฟสูงถึงพันจั้งที่ยังคุกรุ่นลูกหนึ่งฉับพลันระเบิดเสียงดังก้อง เงาสีดำร่างหนึ่งเหาะออกมาจากปากปล่องภูเขาอย่างรวดเร็วยิ่งนักท่ามกลางเศษหินเต็มท้องฟ้า เขาไม่พูดพร่ำบินเร็วรี่ไปยังทิศทางหนึ่งเหมือนต้องการหนีไปให้ไกลโพ้น
ไม่ถึงหนึ่งลมหายใจที่เงาดำเพิ่งเหาะออกมาจากปากปล่องภูเขาไฟ ในปากปล่องภูเขาไฟพลันมีแสงสีแดงสว่างวาบ บางสิ่งซึ่งมหึมาและเป็นสีแดงจัดแหวกท้องฟ้าไล่ตามเงาดำไปติดๆ
เงาดำเดี๋ยวเลี้ยวซ้ายเดี๋ยวเลี้ยวขวาอย่างว่องไวกลางอากาศ เขาเปลี่ยนทิศทางไม่หยุดโดยที่ความเร็วเพิ่มขึ้นทุกชั่วขณะ ส่วนเงาสีแดงด้านหลังก็ไล่ตามมาติดๆ ไม่ว่าเงาดำด้านหน้าจะเปลี่ยนทิศทางอย่างไรก็ไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังแม้แต่น้อย
ทั้งสองฝั่ง ฝ่ายหนึ่งหนี ฝ่ายหนึ่งไล่ตาม พริบตาเดียวก็ออกจากเขตภูเขาไฟ เหาะออกมาไกลสิบกว่าลี้
ในเวลานี้เองเงาดำด้านหน้าฉับพลันทิ้งตัวลง ดิ่งอย่างรวดเร็วลงไปในหุบเขาดำมืดแห่งหนึ่งเบื้องล่าง
เงาสีแดงกลับชะลอร่างกาย มันหันหัวมองไปทางปากปล่องภูเขาไฟทีหนึ่ง จากนั้นแสงสีแดงรอบร่างก็สลายออกเผยให้เห็นร่างที่แท้จริง
นี่คือปีศาจอสูรสูงเจ็ดแปดจั้งตัวหนึ่ง หน้าตาค่อนข้างคล้ายอาชา ร่างกายเพรียวลม ส่วนหางมีขนหางนุ่มลื่นสีแดงก่ำสะบัดซ้ายขวาราวกับเปลวเพลิงกำลังลุกไหม้กองหนึ่ง ส่วนบนหัวของมันมีเขาหน้าตาเหมือนปะการังคู่หนึ่ง มองดูแล้วงดงามยิ่งนัก
อสูรตัวนี้ก็คืออสูรเพลิงมายา ปลายเขาบนหัวของมันสีดำขลับ นั่นเป็นสัญลักษณ์ว่าอสูรตัวนี้โตเต็มวัยและเข้าสู่ระดับแก่นแท้แล้ว
อสูรเพลิงมายาน้อยครั้งนักจะออกจากธารลาวา หากวันนี้เงาดำร่างนั้นไม่ได้ฉวยโอกาสที่มันหลับสนิท ลอบเข้ามาอย่างเงียบเชียบป่วนรังของมันจนวุ่นวาย มันก็คงไม่โกรธเกรี้ยวจนไล่ตามออกมาเช่นนี้
ทว่าเมื่อไล่ตามมาถึงที่นี่แล้ว อสูรตัวนี้ก็รู้สึกถึงกลิ่นอายของอันตรายโดยสัญชาตญาณ
ผลปรากฏว่าพริบตานั้นที่อสูรตัวนี้ชะงัก เงาดำเบื้องหน้าฉับพลันมีแสงเรียวเล็กสีแดงหม่นเส้นหนึ่งพุ่งออกมาอย่างรุนแรง ส่งเสียงแหวกอากาศดัง “ฟึบ”
ความเร็วของแสงสีแดงเร็วจนน่าตกตะลึง แล่นผ่านทีเดียวก็มาถึงหน้าร่างอสูรเพลิงมายา
เสียง “ฉึบ” ดังขึ้นทีหนึ่ง
แม้อสูรเพลิงมายาจะตอบสนองโดยเบี่ยงหัวหลบรวดเร็วอย่างที่สุด มันก็ยังคงมีเลือดสายหนึ่งพุ่งปรี๊ดออกมา แสงสีแดงเรียวเล็กมีพลังมากมายจนน่าตะลึง มันแทงทะลุด้านข้างลำคอของอสูรเพลิงมายาจนเกิดเป็นแผลเรียวยาวเส้นหนึ่ง
“โฮก!”
อสูรเพลิงมายาแหงนหน้าคำรามอย่างโกรธจัดด้วยความเจ็บปวด มันอ้าปากพ่นลูกบอลเพลิงสีแดงฉานลูกหนึ่งเข้าใส่เงาดำเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกันนั้นบนลำคอของมันก็ทอแสงสีแดงสายแล้วสายเล่า บาดแผลปิดสนิทลงอย่างเร็วไว
ลูกบอลเพลิงตอนเพิ่งถูกพ่นออกมามีขนาดเท่าศีรษะมนุษย์ ทว่าหลังพุ่งออกมาสิบจั้ง มันก็ส่งเสียงดัง “บึ๊ม” ครั้งหนึ่งแล้วกลายเป็นขนาดมหึมาใหญ่หนึ่งจั้งกว่า จากนั้นระเบิดออกในพริบตากลายเป็นพายุหมุนอัคคีลูกมหึมาซัดเข้าใส่เงาดำเบื้องหน้าอย่างมาดร้าย
พายุหมุนอัคคีสีเหลืองทองเรืองรองผ่านไปที่ใด อากาศล้วนถูกแผดเผาเกิดเป็นลายคลื่นวงแล้ววงเล่าเห็นเด่นชัด จากนั้นซัดเข้าใส่เงาดำอย่างหนักหน่วง
เงาดำร่วงลงไปในหุบเขาเบื้องล่างประหนึ่งหินอุกกาบาตก้อนหนึ่ง เกิดเสียงกระแทกหนักหน่วงดังก้องออกมา
อสูรเพลิงมายาเห็นเช่นนี้ก็เริงร่า มันทิ้งความกังวลสายสุดท้ายในสมองทิ้งไป จากนั้นกรีดร้องอย่างตื่นเต้น กีบเท้าทั้งสี่ขยับ ฉับพลันกลายเป็นลำแสงสีแดงฉานเส้นหนึ่งไล่ตามเข้าไปในหุบเขา หมายจะฉีกเจ้าตัวที่ใจกล้าทำลายรังของมันจนเสียหายแล้วยังทำร้ายมันบาดเจ็บตัวนี้ให้กลายเป็นชิ้นๆ
พริบตาที่อสูรเพลิงมายาเพิ่งเหยียบเข้ามาในหุบเขา เหตุพลิกผันก็พลันบังเกิดขึ้น
ใต้ดินฉับพลันมีเสาแสงสีทองสี่ต้นพุ่งออกมา ค่ายกลขนาดใหญ่สีทองค่ายกลหนึ่งล้อมปากทางเข้าหุบเขาทั้งหมดไว้ในทันที
อสูรเพลิงมายาตาลาย ภาพรอบด้านเปลี่ยนไปในฉับพลัน รอบด้านยังมีหุบเขาอยู่ที่ไหน สี่ด้านแปดทิศล้วนเป็นมิติปิดตายสีทองเรืองรองแห่งหนึ่ง แรงกดดันมหาศาลสายแล้วสายเล่าบีบเข้ามาตรงกลาง
ส่วนในหลุมลึกใจกลางหุบเขามีเงาสีดำร่างหนึ่งกำลังเหาะขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ปราณดำรอบร่างค่อยๆ สลายออกเผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของคนด้านใน
หลิ่วหมิงนั่นเอง
เวลานี้เสื้อผ้าบนร่างเขามีรอยไหม้อย่างเห็นได้ชัด ซ้ายซีกหนึ่ง ขวาซีกหนึ่งห้อยติดอยู่บนร่าง แต่ลมหายใจของเขานิ่งสงบ เห็นชัดว่าไม่ได้รับบาดเจ็บจริง ตรงกันข้ามเขากลับยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยแย้มรอยยิ้มน้อยๆ ให้อสูรเพลิงมายาที่ถูกขังอยู่ในค่ายกลโปรดสัตว์
“ปีศาจอสูรก็คือปีศาจอสูร ถึงแม้จะเกิดสติปัญญาแล้ว แต่เทียบกับผู้ฝึกฝนชั่วร้ายเจ้าเล่ห์พวกนั้นก็ยังจัดการง่ายกว่า” หลิ่วหมิงพึมพำกับตนเองประโยคหนึ่ง หลังจากนั้นในมือพลันส่องแสงสีทอง เขาพลิกมือเรียกธงคำสั่งผืนหนึ่งออกมา
ในเวลาเดียวกันนั้นเงาของสตรีสาวผู้สวมชุดตาข่ายสีดำก็โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินใกล้ๆ ในมือนางถือธงคำสั่งสีทองผืนหนึ่งไว้เช่นกัน
ค่ายกลขนาดใหญ่สีทองส่ายไหวพลางส่งเสียงดังครืนคราง แสงสีทองที่ค่ายกลฉายออกมาสั่นไหวอย่างรุนแรง เห็นชัดว่าอสูรเพลิงมายาที่ถูกขังอยู่ด้านในกำลังสู้อย่างสัตว์ที่จนตรอก
มหาค่ายกลโปรดสัตว์เวลานี้แสดงความร้ายกาจของมหาค่ายกลสายพุทธแห่งยุคโบราณออกมา แสงสีทองทอประกายวิบวับแต่ยังคงมั่นคงดั่งขุนเขา ไม่มีวี่แววว่าจะถูกทำลายแม้แต่น้อย
“ลงมือ” หลิ่วหมิงสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งร่วงลงบนธงคำสั่ง พร้อมกันนั้นก็เอ่ยสั่ง
“เจ้าค่ะ นายท่าน!”
เซียเอ๋อร์ขานรับอย่างเร็วไว บนใบหน้าเผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมา หลังจากแขนขยับครั้งหนึ่ง พลังเวททั้งร่างก็กรอกเข้าไปในธงคำสั่งช้าๆ
มหาค่ายกลโปรดสัตว์ค่อยๆ เคลื่อนไหว แสงเรืองรองสีทองสายแล้วสายเล่าพุ่งรวดเร็วออกมา ด้านในค่ายกลก็เริ่มมีเสียงสวดภาษาสันสกฤตทุ้มต่ำแผ่วเบาดังขึ้นตามมาด้วย…
ครึ่งชั่วยามให้หลัง ด้านในหุบเขาก็ฟื้นกลับมานิ่งสงบ ในมือหลิ่วหมิงถือแก่นแท้ที่ทอแสงสีแดงขนาดเท่ากำปั้นลูกหนึ่งไว้ บนใบหน้าเผยสีหน้ายินดีออกมาจางๆ
วันนี้ได้ลองวิชาครั้งแรก ปรากฏว่าพลังของมหาค่ายกลโปรดสัตว์เหนือกว่าความคาดหมายของเขา ดูท่ามหาค่ายกลอันนี้จะเป็นไพ่ตายใบหนึ่งยามล่าสังหารปีศาจอสูรได้
ด้านในหุบเขาศพของอสูรเพลิงมายาที่เต็มไปด้วยบาดแผลฟุบอยู่ หัวของมันถูกมีดดาบคมกริบกรีดขาดไปทั่ว เลือดสดๆ กำลังไหลออกมาเป็นจำนวนมาก
หลังจากหลิ่วหมิงเก็บศพของอสูรเพลิงมายากับค่ายกลไป เขากับเซียเอ๋อร์ก็กลายเป็นลำแสงสองสายจากไปไกลพร้อมกันอย่างรวดเร็ว
หนึ่งเดือนกว่าให้หลัง ณ ที่แห่งหนึ่งทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของแผ่นดินจงเทียน
ยอดเขาสีดำทอดยาวอยู่ตรงขอบฟ้า บนท้องฟ้ามีเมฆดำทะมึนทำให้คนหายใจไม่ออกลอยล่องอยู่ ท่ามกลางสายลมที่โชยพัดมองเห็นปราณสีดำสนิทสายแล้วสายเล่าแทรกอยู่เลือนราง แล้วยังถึงขั้นได้ยินเสียงวิญญาณแค้นคร่ำครวญอยู่อีกด้วย
ที่แห่งนี้ก็คือเทือกเขาศพมืดอันลือชื่อของแผ่นดินจงเทียน ปราณหยินในอากาศหนาแน่นอย่างยิ่ง นอกจากผู้ฝึกฝนสายวิญญาณกับสายปีศาจ หากผู้อื่นอยู่ที่นี่จะรู้สึกไม่สบายยิ่งนัก อยู่นานเข้า ผลกระทบยิ่งเลวร้ายจนไม่อยากจะคิดถึง
เสียงแหวกอากาศดัง “ฟึบ” ดังขึ้น
แสงสีดำสายหนึ่งเหาะรวดเร็วออกมาจากเขตลึกของเทือกเขาศพมืด แล้วพุ่งหนีออกไปนอกเทือกเขาอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
กลางแสงสีดำมองเห็นได้ว่ามีเงาร่างของบุรุษชุดน้ำเงินผู้หนึ่งกำดอกไม้ที่แลดูงดงามแต่เศร้าสร้อยสีขาวดุจโครงกระดูกหลายดอกไว้ในมือแน่น
บุรุษชุดน้ำเงินก็คือหลิ่วหมิงผู้มาเก็บดอกภูตสวรรค์ที่นี่นั่นเอง
“แกว๊ก แกว๊ก…”
เสียงวิหคกรีดร้องแหลมสูงดังขึ้น ด้านหลังร่างเขามีเมฆดำผืนใหญ่ไล่ตามมาติดๆ กลางเมฆดำพอจะแยกวิหคประหลาดสีเทาดำตัวมหึมาสิบกว่าตัวออกอยู่เลือนราง
วิหคประหลาดเหล่านี้ทั้งร่างล้านเลี่ยนไม่มีขนสักเส้น ปีกกับลำตัวล้วนประกอบขึ้นมาจากโครงกระดูกหนา ตรงก้นมีหางยาวไร้ขนสีขาวเผือดยาวหลายจั้งเส้นหนึ่งติดอยู่ ทั้งร่างมีปราณหยินสีดำหนาหุ้มอยู่
นี่คืออสูรประหลาดที่มีเฉพาะในเทือกเขาศพมืด ชื่อว่าแร้งปีกศพ
แร้งปีกศพเมื่อกางปีกกระดูกทั้งสองข้างออกจะยาวมากกว่าสิบจั้ง เมื่อแร้งปีกศพสิบกว่าตัวกระพือปีกสองข้างไม่หยุดจึงเกิดเป็นเงามืดมหึมาผืนหนึ่งบดบังท้องฟ้าไปเกือบครึ่งหนึ่ง
แร้งปีกศพฝูงนี้เร็วอย่างที่สุด ปีกสองข้างกางออกแล้วหุบลงครั้งหนึ่ง ร่างกายก็เคลื่อนไปหลายสิบจั้ง ขณะที่พวกมันกำลังจะไล่ทันแสงสีดำที่เหาะหนีอยู่เบื้องหน้าแล้วนั่นเอง ทันใดนั้นแร้งปีกศพสิบกว่าตัวก็หุบปีกพุ่งดิ่งลงเบื้องล่างอย่างพร้อมเพรียง แล้วทยอยกันพ่นเปลวเพลิงสีเทาดำสายแล้วสายเล่าออกมา กลิ่นศพเหม็นเน่าฉับพลันแผ่ออกไปสี่ด้านแปดทิศ
นี่ไม่ใช่เพลิงปีศาจธรรมดา แต่เป็นเพลิงศพมืดที่เกิดจากพลังปีศาจของของแร้งปีกศพสอดแทรกกับปราณศพของเทือกเขาศพมืด มีพลังกัดกร่อนน่าตะลึงยิ่งนัก
หลิ่วหมิงที่อยู่ในลำแสงเห็นเช่นนี้ก็แค่นเสียงหยันคำหนึ่ง ร่างกายฉายแสงสีน้ำตาลทองออกมา หลังจากแสงกะพริบวูบหนึ่งก็พลันกลายเป็นโล่สีน้ำตาลทองแผ่นหนึ่งซึ่งด้านบนมียันต์ยึกยือแถวแล้วแถวเล่าอยู่
มันคือโล่พสุธานั่นเอง
เสียง “ฟู่” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง!
เพลิงศพมืดร่วงลงบนโล่ ทันใดนั้นเสียงเผาไหม้ก็ดังขึ้น แสงสีน้ำตาลทองบนผิวโล่ไหลเคลื่อน ต้านการจู่โจมของเพลิงศพมืดไว้ได้อย่างหวุดหวิด
พลังของแร้งปีกศพเหล่านี้เกือบทัดเทียมกับผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นต้น เมื่อสิบกว่าตัวร่วมแรงกัน ต่อให้เป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้พบเข้าก็เกรงว่าคงต้องหนีไปให้ไกลโพ้น
ทันใดนั้นแสงสีเหลืองบนโล่สีน้ำตาลทองก็ขยายออกไปด้านนอก ดีดเพลิงศพมืดใกล้ๆ กระเด็นออกไป
หลิ่วหมิงหมุนตัวอย่างรวดเร็ว ข้อมือสะบัดทีหนึ่ง แขนทั้งสองข้างก็พร่าเลือนไปวูบหนึ่งพร้อมกัน เงาหมัดสีดำมากมายปรากฏขึ้นเบื้องหน้าแล้วต่อยเข้าใส่แร้งปีกศพอย่างดุดันพร้อมกับเสียงแหวกอากาศ
ปัง ปัง!
แร้งปีกศพหลายตัวที่บินอยู่ด้านหน้าสุดถูกเงาหมัดสีดำโจมตีอย่างต่อเนื่อง เสียงร้องครวญครางดังขึ้นพร้อมกับเสียงกระดูกแตกเป็นชิ้นๆ ร่างกายมหึมาประหนึ่งว่าวสายขาด ทยอยร่วงตกลงมาจากกลางท้องฟ้า
ร่างกายของแร้งปีกศพโดยพื้นฐานประกอบมาจากโครงกระดูก ร่างกายจึงเบาหวิว ความเร็วที่โบยบินจึงว่องไวอย่างยิ่ง ในเวลาเดียวกันเพราะเหตุนี้ร่างกายจึงบอบบางอย่างยิ่งด้วย
แร้งปีกศพที่เหลือส่งเสียงร้องประหลาดดัง แต่ไม่หวาดกลัวเพราะพรรคพวกร่วงตกลงไปแม้แต่น้อย พวกมันยังคงโถมเข้าใส่หลิ่วหมิงตามกันมา กรงเล็บคมกริบที่มีปราณสีดำวนล้อมขยุ้มลงมาอย่างแรง
ปราณดำบนร่างหลิ่วหมิงพวยพุ่ง ร่างกายไม่ถอยแต่กลับรุกคืบเข้าไป ทันใดนั้นเขาก็กลายเป็นเงาเลือนรางสีดำสายหนึ่งทะลวงเข้าไปกลางฝูงแร้งปีกศพ
เสียงกระดูกแตกร้าวดังขึ้นดุจเสียงยามผัดถั่ว แร้งปีกศพตัวหนึ่งแล้วก็อีกตัวหนึ่งสองปีกอ่อนยวบไร้เรี่ยวแรงหล่นร่วงไปจากท้องนภา
ใช้เวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ แร้งปีกศพสิบกว่าตัวก็ร่วงลงไปอยู่บนพื้นเกินกว่าครึ่ง ท้ายที่สุดก็เหลือเพียงสองสามตัวบินหนีไปยังเขตลึกของเทือกเขาศพมืดอย่างหวาดผวา
“ฟู่…”
หลิ่วหมิงไม่ได้ไล่ตามไป หลังจากเขาเป่าลมหายใจออกยาวๆ ครั้งหนึ่งก็พลิกมือ ดอกไม้สีขาวดุจกระดูกห้าดอกปรากฏอยู่ในมือเขา บนเกสรสีดำมีเส้นสีแดงหลายเส้นอยู่ แลดูประหนึ่งใบหน้ายิ้มที่แปลกพิกล
เขาตรวจสอบดอกไม้ประหลาดในมืออย่างละเอียด เมื่อเห็นว่ามันไม่เสียหายจึงเก็บเข้าไปในแหวนย่อส่วนอย่างระมัดระวัง
จากนั้นเรือเหาะสีขาวลำหนึ่งก็ยกร่างเขาลอยขึ้นแล้วแหวกท้องฟ้ามุ่งออกไปไกลอย่างรวดเร็ว