ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 940 อสูรยักษ์

ผลึกสีดำในกระบอกกลมฉับพลันมีประกายแสงแวววาวไหลเคลื่อน เสียง “ฟู่” ดังขึ้นแผ่วเบาครั้งหนึ่ง ปราณสีดำเส้นหนึ่งก็ม้วนตัวออกมาจากด้านในแล้วเริ่มวนเวียนบนปลายนิ้วทั้งห้า

หลิ่วหมิงรู้สึกว่าปลายนิ้วเย็นเฉียบอยู่พักหนึ่ง ครู่ต่อมาปราณดำก็เริ่มแผ่ลามจากฝ่ามือไปทั่วทั้งร่างอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ลมหายใจเดียวก็ปกคลุมไปทั้งร่าง กระทั่งใบหน้าก็ถูกปกคลุมไว้ด้วย

เสียง “กึกๆ” ดังขึ้นมาพร้อมกับที่ชุดเกราะซึ่งทอแสงสีดำขมุกขมัวชุดหนึ่งลอยออกมา ปกป้องทั้งร่างของเขาไว้อย่างแน่นหนา

สองแขนที่อยู่สองฝั่งของเสื้อเกราะมีภาพสัญลักษณ์หัวหมาป่าสองหัวสลักไว้ด้วยลายเส้นแวววาวสีดำ แลดูประหนึ่งมีชีวิต

สิ่งที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกค่อนข้างอัศจรรย์ใจก็คือแม้ทั้งร่างจะถูกชุดเกราะจักรกลหุ้มอยู่ แต่กลับไม่กระทบกับประสาทสัมผัสของเขาเลยแม้แต่น้อย

เขาปล่อยจิตสัมผัสกวาดออกไปเล็กน้อยแล้วก็พบว่าด้านในหน้าอกของชุดเกราะมีศิลาแวววาวสีขาวก้อนหนึ่งกำลังทอแสงจิตวิญญาณอยู่เรืองๆ เห็นชัดว่ามันเป็นแกนกลางของชุดเกราะนี้

บนส่วนอื่นของชุดเกราะมียันต์สีดำหน้าตาเหมือนลูกอ๊อดนับไม่ถ้วนกะพริบวูบวาบอยู่เรืองๆ แผ่ปราณธาตุดินหนาทึบออกมาเป็นระยะ

ดูจากภายนอกแล้วชุดเกราะจักรกลชุดนี้พลังป้องกันไม่เลวทีเดียว

หลิ่วหมิงมองภาพสัญลักษณ์หัวหมาป่าตรงหัวไหล่ซ้ายขวา หลังจากนั้นจึงโคจรพลังเวทในร่างไปยังหัวไหล่ทั้งสองข้าง ปราณสีดำสายหนึ่งวนล้อมภาพสัญลักษณ์หัวหมาป่ารอบหนึ่ง ทันใดนั้นสองตาบนหัวหมาป่าก็เปล่งแสงเจิดจ้า ตรงหัวไหล่ของชุดเกราะนูนขึ้นมาเป็นภาพนูนรูปหัวหมาป่าสีดำที่ดูราวกับมีชีวิตสองตัว

หลิ่วหมิงเพ่งสมาธิถ่ายเทพลังเวทในร่างเข้าไปในหัวหมาป่าทั้งสองหัวต่อ

หัวหมาป่าสีดำทั้งสองหัวอ้าปากกว้างพ่นลำแสงสีดำขลับสองสายออกมาจากสองฝั่งเหมือนฝาหอยพัด ปกป้องหลิ่วหมิงไว้ตรงกลาง

“ชุดเกราะจักรกลของนิกายเทียนกงน่าสนใจจริงๆ…”

หลิ่วหมิงทดลองอยู่ครู่หนึ่ง ลำแสงสีดำสามารถเคลื่อนพลังเวทบังคับให้เปลี่ยนรูปได้ จากสองสายกลายเป็นสี่สาย หรือจะแปลงเป็นรูปร่างต่างๆ เช่นโล่ คมดาบแสงก็ได้ เขาค่อนข้างพอใจทีเดียว

เวลานี้หลัวเทียนเฉิงที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็กำลังบังคับชุดเกราะจักรกลที่คลุมทั่วร่าง ทำความคุ้นเคยกับการใช้งานแบบต่างๆ อย่างค่อนข้างสนใจเช่นเดียวกัน

ตอนนี้พวกหลิ่วหมิงที่ดูจากด้านนอกเหมือนกับหุ่นสีดำสองตัวก็ลุกขึ้นขยับในค่ายกล เริ่มแรกการเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างระมัดระวังเล็กน้อย แต่เมื่อพบว่าไม่ว่าตนจะเคลื่อนไหวอย่างไร ‘ภูเขาลูกน้อย’ ลูกนั้นที่อยู่ไกลออกไปก็ไม่มีปฏิกิริยาแต่อย่างใด ทั้งสองคนจึงเริ่มกระโดดโลดเต้นอยู่ในค่ายกล

หลังจากเวลาผ่านไปค่อนครึ่งชั่วยาว จินเทียนชื่อกับเวินเจิงก็เหาะกลับมาจากไกลๆ ดูจากสีหน้าของทั้งสองคนแล้วเห็นชัดว่าไม่พบสิ่งผิดปกติประการใด

ส่วนหลิ่วหมิงหลังจากฝึกอยู่พักหนึ่งก็ค่อนข้างคุ้นเคยกับชุดเกราะจักรกลแล้ว เวลานี้เห็นจินเทียนชื่อกลับมาจึงเอ่ยปากท่องมนตร์ สองมือทำท่าเคล็ดวิชา แสงสีดำบนร่างไหลวนพักหนึ่ง ชุดเกราะก็กลายเป็นกระบอกโลหะสีดำขลับกระบอกหนึ่งอีกครั้ง

ตอนนี้พวกเยี่ยโจ่งเจ็ดคนที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็หารือกันเสร็จกำลังเดินมาตรงนี้เช่นเดียวกัน

“ในเมื่อเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว ถ้าเช่นนั้นงานก็ไม่ควรชักช้า ออกเดินทางกันเร็วหน่อยเถิด” จินเทียนชื่อยกแขนเสื้อเก็บค่ายกลกักพลังจิตวิญญาณ หลังจากบอกทุกคนว่าไม่พบสิ่งผิดปกติเขาก็เอ่ยขึ้นเสียงขรึม

พวกหลิ่วหมิงกับเยี่ยโจ่งย่อมไม่เห็นแย้ง ดังนั้นคณะเดินทางจึงเก็บซ่อนลมปราณทั่วร่าง ออกเดินทางจากตีนเขาอย่างระมัดระวัง เหาะเรี่ยพื้นมุ่งไปยังป่าต้นไม้ยักษ์เบื้องหน้า

เพื่อไม่เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น หลังจากทั้งคณะเหาะมาได้ราวยี่สิบลี้ เยี่ยโจ่งจึงส่งสัญญาณให้เริ่มเดินเท้า เดินเป็นเวลากว่าครึ่งเค่อจึงมาถึงสองสามลี้ใกล้ๆ ‘ภูเขาดินน้อย’ ที่เห็นก่อนหน้านี้แล้วหยุดอย่างเงียบเชียบ

ตอนที่อยู่ห่างไปร้อยลี้ยังไม่รู้สึกอันใดกับขนาดร่างกายของอสูรตัวนี้นัก แต่เมื่อเข้ามาใกล้ ความมหึมาของอสูรยักษ์ป่าเถื่อนตัวนี้ก็ทำให้ศิษย์หัวกะทิกลุ่มหนึ่งจากนิกายยอดบริสุทธิ์กับนิกายเทียนกงสูดลมหายใจดังเฮือกอย่างห้ามตนเองไม่ได้

แม้แต่จินเทียนชื่อที่เห็นโลกมามากก็ยังตะลึงไปเล็กน้อย

มองจากระยะใกล้เช่นนี้ อสูรยักษ์ตัวนี้เหมือนเทือกเขาขนาดย่อมลูกหนึ่ง ร่างกายใหญ่โตมโหฬารพาดทับป่าฝั่งนี้ทั้งแถบ รอบร่างมีฝุ่นดินสีน้ำตาลหม่นกระจายอยู่ทั่ว เมื่อนอนนิ่งแลดูสูงตระหง่านปานยอดเขา ไอหมอกสีเทาชั้นแล้วชั้นเล่าลอยวนเวียนอยู่รอบด้าน

หากไม่มีคนบอกล่วงหน้า คนทั่วไปเดินผ่านด้านข้างก็คงแยกไม่ออกอย่างสิ้นเชิง

“เริ่มเถอะ!”

หลังจากจินเทียนชื่อรั้งสายตากลับมาก็พยักหน้าให้เยี่ยโจ่งที่อยู่ด้านข้างแล้วเอ่ยเสียงแผ่วเบา

เยี่ยโจ่งได้ยิน ริมฝีปากก็ขยับเล็กน้อยสั่งบางสิ่งกับศิษย์นิกายเทียนกงหลายคนด้านหลังเสียงเบา

หลังจากนั้นศิษย์ห้าคนในนั้นก็ทยอยเหาะเร็วรี่ออกมา แยกย้ายกันไปอยู่รอบด้านของภูเขาดินอย่างเงียบเชียบ ตำแหน่งที่ยืนก่อตัวเป็นรูปดาวห้าแฉกอยู่เลือนราง

ส่วนเยี่ยโจ่งร่างกายพุ่งวูบเดียวไปปรากฏตัวอยู่เหนือยอดเขาของภูเขาดิน เขาพลิกมือข้างหนึ่งเรียกแผ่นค่ายกลห้าสีแผ่นหนึ่งออกมา นิ้วลากบนแผ่นค่ายกลอย่างต่อเนื่องเร็วดุจสายฟ้าแลบ

ศิษย์นิกายเทียนกงห้าคนก็สะบัดแขนเคลื่อนไหวอย่างชำนาญ เห็นชัดว่าก่อนหน้านี้ฝึกทำมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ธงค่ายกลหลากสีผืนแล้วผืนเล่าปักเป็นระเบียบบนพื้นดินรอบด้าน วางค่ายกลรูปวงกลมขนาดหลายจั้งห้าค่ายกลอย่างรวดเร็ว

พวกจินเทียนชื่อกับหลิ่วหมิงมือไพล่หลังยืนดูภาพตรงหน้าอย่างนิ่งสงบ แต่ในเวลาเดียวกันก็สังเกตความเคลื่อนไหวของ ‘ภูเขาดิน’ อยู่ตลอดเวลา

ดูจากสีสันของธงค่ายกล ค่ายกลทั้งห้ามีสีแดง เหลือง ฟ้า เขียว ทองทั้งหมดห้าสี พวกมันต่างสลักยันต์รูปแบบต่างๆ เอาไว้ เป็นตัวแทนของห้าธาตุคือทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน

ใจกลางค่ายกลมีลูกแก้วกลมขนาดเท่าฝ่ามือหลากสีสันทั้งหมดห้าลูกวางไว้สอดรับกัน คิดว่าคงจะเป็นหุ่นห้าธาตุห้าตัวนั้น

ทันใดนั้นเยี่ยโจ่งที่ลอยอยู่กลางท้องฟ้าก็ทำหน้าเคร่งขรึม ริมฝีปากขยับเล็กน้อย

ศิษย์ทั้งห้าคนกระตุ้นพลังเวทพร้อมกันโดยไม่ต้องนัด ยิงเคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าไปยังธงค่ายกลรอบด้าน

พร้อมกับที่เคล็ดวิชาจมเข้าไป ธงค่ายกลนานาสีสันก็เปล่งแสงรัศมีเจิดจ้าแล้วขยับน้อยๆ ก้อนแสงขนาดเท่าฝ่ามือดวงแล้วดวงเล่าปรากฏขึ้นตรงกลาง

ดวงแสงเหล่านี้สีสันเหมือนกับค่ายกลไม่มีผิด ทั้งยังยิ่งรวมตัวกันมากขึ้นทุกที พริบตาเดียวในค่ายกลก็มีดวงแสงมากมายนับร้อยดวง

เวลานี้สีหน้าของคนทั้งห้าเริ่มเคร่งเครียดอยู่บ้าง แต่เคล็ดวิชาที่มือยังคงเป็นลำดับไม่สับสนแม้แต่น้อย

ครู่ต่อมาเคล็ดวิชาในมือของพวกเขาก็หยุดลงพร้อมกัน ดวงแสงเหล่านั้นในค่ายกลผนึกรวมกันกลางท้องฟ้ากลายเป็นแสงแวววาวห้าสีดวงแล้วดวงเล่าพุ่งขึ้นสู่ท้องนภา

หลังจากแสงแวววาวห้าสีระเบิดบนท้องฟ้าเหนือค่ายกล พวกมันก็กลายเป็นเส้นไหมแวววาวเล็กละเอียดนับไม่ถ้วนโปรยปรายลงมาแทรกเข้าไปในลูกแก้วกลมตรงใจกลางค่ายกลด้านล่าง

ทันใดนั้นพลันเกิดแสงสว่างเจิดจ้า

ลูกแก้วกลมหลากสีสันทั้งห้าลูกทยอยลอยขึ้นมา หลังจากหมุนติ้วรอบหนึ่งก็เปลี่ยนรูปร่างขยายใหญ่ขึ้นพร้อมกับที่สายลมโบกพัด เพียงครู่เดียวหุ่นนักรบมนุษย์สวมเกราะร่างยักษ์สูงหลายสิบจั้งห้าตัวก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าทุกคน

บนร่างหุ่นนักรบมีลำแสงหนาห้าเส้นสีแดง เหลือง ฟ้า เขียว ทองพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า แรงกดดันจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งสายหนึ่งแผ่ไปทั่ว

“ศิษย์น้องทุกคนประจำตำแหน่ง!” จินเทียนชื่อเห็นสถานการณ์ก็รีบเอ่ยกับพวกหลิ่วหมิงเสียงเบา

พวกหลิ่วหมิงสีหน้าเคร่งขรึมทันทีจากนั้นก็แยกย้ายกันไป

เปรี้ยง!

ในเวลานี้เอง ‘ภูเขาดิน’ ที่ถูกล้อมอยู่ตรงกลางก็สั่นไหวอย่างรุนแรง ผิวหน้าเริ่มเกิดรอยปริร้าว หลังจากนั้นเศษหินกับเศษดินสีน้ำตาลหม่นก้อนแล้วก้อนเล่าก็ทยอยร่วงหล่นลงมา

สองฝั่งของภูเขาน้อยมีเสียงดินโคลนแห้งร่วงกราวลงบนก้อนหินสีเทาปนน้ำตาลสองก้อน ดวงตาใหญ่ยักษ์ขนาดเท่าบ้านคู่หนึ่งลืมขึ้นมา พร้อมกันนั้น ‘ภูเขาน้อย’ ทั้งลูกก็ลุกขึ้นยืน

“โฮก!”

เสียงคำรามดังสะเทือนแก้วหูแทบดับ ภูเขาดินทั้งลูกพริบตาพังทลายเป็นชิ้นๆ อสูรยักษ์ขนาดมโหฬารตัวหนึ่งค่อยๆ ปรากฏร่างให้เห็นชัด

อสูรตัวนี้ทั้งร่างสีเทาปนน้ำตาลรูปร่างคล้ายเม่นยักษ์ตัวหนึ่ง มันสูงถึงเกือบสองสามร้อยจั้งและยาวหกถึงเจ็ดร้อยจั้ง

บนหลังของมันมีกระดูกแหลมประหนึ่งเสาศิลาหลายสิบแท่ง ศีรษะมโหฬารยาวจนเหมือนมังกรเล็กน้อย เหนือศีรษะมีเขาเดี่ยวสีดำสนิทยาวสิบกว่าจั้งเขาหนึ่ง หลังร่างมีหางยาวสีเทาหนึ่งเส้นที่ส่วนปลายเป็นรูปสามเหลี่ยม สี่ขาสั้นหนาแลดูเหมือนภูเขาขนาดเล็กสี่ลูก หนึ่งเท้าเหยียบลงไปต้นไม้บริเวณหลายสิบจั้งต่างหักโค่นกลายเป็นเศษไม้

ในตอนนี้เองเสียงแหวกอากาศก็ดังรอบอสูรตัวนี้ เงาคนพุ่งโฉบมาตามต่อกัน

จินเทียนชื่อ เหวินเจิงกับศิษย์นิกายเทียนกงอีกคนหนึ่งยืนอยู่กลางท้องฟ้า ทั้งสามคนล้อมอสูรตัวนี้ไว้ตรงกลาง ปกป้องพวกเยี่ยโจ่งทั้งหกคนอยู่รางๆ

หลิ่วหมิงกับหลัวเทียนเฉิงเหาะขึ้นฟ้าพร้อมกัน พวกเขาลอยอยู่กลางอากาศ จดจ่อสมาธิทั้งหมดรอคอยจังหวะ

ทว่าต่อให้หลิ่วหมิงเห็นโลกมามาก เมื่อเห็นขนาดมโหฬารของอสูรยักษ์ป่าเถื่อนตรงหน้าหลังลุกขึ้นยืน ในใจก็ตกตะลึงจริงๆ

อสูรยักษ์ตัวใหญ่โตเช่นนี้ นับได้ว่าเป็นปีศาจอสูรที่รูปร่างมโหฬารที่สุดที่เขาเคยพบมานับตั้งแต่เหยียบเข้าสู่โลกแห่งการฝึกฝน

เมื่อหลิ่วหมิงมองอสูรยักษ์ตรงหน้า ในใจพลันวอกแวก ภาพที่อยู่ลึกลงไปในความทรงจำโผล่ออกมากะทันหัน

ยามนั้นเขายังเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปีคนหนึ่ง นาทีสุดท้ายขณะหนีออกจากเกาะมฤตยู เขาเคยพบอสูรยักษ์ตัวใหญ่ค้ำฟ้าตัวหนึ่ง รูปร่างคล้ายกับตัวตรงหน้านี้เพียงแต่เล็กกว่าหน่อยเท่านั้น

ทว่าด้วยร่างกายมนุษย์ธรรมดาของเขาในตอนนั้น เขาย่อมตกใจขวัญกระเจิง อีกทั้งเพื่อหนีเอาชีวิตรอดเขาจึงเพียงเหล่มองไวๆ ครั้งเดียวเท่านั้น

“โฮก!”

ดวงตาที่สะลึมสะลืออยู่บ้างของอสูรยักษ์ค่อยๆ กระจ่างใส หลังจากเห็นสถานการณ์รอบกายชัดเจน ดวงตาใหญ่ยักษ์พลันมีเพลิงโทสะลุกโชนแล้วแหงนหน้าคำรามเกรี้ยวกราดสนั่นฟ้า

เกล็ดมหึมาสีเทาดำรอบร่างของมันฉับพลันเปล่งคลื่นแสงวงแล้ววงเล่า สายลมก่อเกิดใต้เท้าทั้งสี่ ร่างกายกลายเป็นเงาสีเทาก้อนหนึ่งพุ่งขึ้นมาบนท้องฟ้า

เยี่ยโจ่งที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของอสูรยักษ์เห็นภาพนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เขาโยนแผ่นค่ายกลห้าสีแผ่นนั้นในมือออกไปกลางท้องฟ้าเบาๆ เคล็ดวิชาที่สองมือเปลี่ยนแปรดุจกงล้อยิงเคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าเข้าใส่มัน

แผ่นค่ายกลห้าสีที่เดิมใหญ่เพียงสองถึงสามชุ่นพริบตาก็มีขนาดหลายจั้งแล้วหมุนติ้วรวดเร็วกลางอากาศ

เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง!

แผ่นค่ายกลส่องแสงวูบหนึ่งก่อนจะไปปรากฏเหนือศีรษะของอสูรยักษ์ จากนั้นหมุนอย่างรุนแรงปล่อยแสงรัศมีหมื่นสายออกมาดุจดวงตะวันเจิดจ้าห้าสีดวงหนึ่ง

ในเวลาเดียวกันศิษย์นิกายเทียนกงห้าคนที่ซุ่มอยู่ด้านข้างค่ายกลก็มีธงผืนน้อยห้าสีผืนหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของพวกเขาแต่ละคน พร้อมกับที่เสียงคำสาปแผ่วเบาดังออกมาจากปาก ธงค่ายกลก็สะบัด แสงเรืองรองห้าสีทะลักออกมาทยอยจมเข้าไปในหุ่นร่างยักษ์เบื้องหน้า

ลำแสงเส้นหนาห้าเส้นที่พุ่งขึ้นท้องฟ้าจากหุ่นนักรบร่างยักษ์ห้าตัวส่องสว่างวูบหนึ่งก่อนจะหายไป พริบตาเดียวพวกมันก็เชื่อมต่อกันเป็นผืนกลายเป็นเกราะแสงห้าสีรูปครึ่งวงกลมเหมือนชามคว่ำ ล้อมอสูรยักษ์กับพวกหลิ่วหมิงไว้ด้านในด้วยกัน พร้อมกันนั้นผิวรอบนอกก็ปล่อยวงแหวนแสงแสบตาชั้นแล้วชั้นเล่าออกมา

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset