ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ – ตอนที่ 1011 แลกเปลี่ยนกับราชาภูตเจ็ดทวาร

“ท่านโปรดรอสักครู่ ข้าจะไปถามจากในเผ่าเดี๋ยวนี้ ดูซิว่ามีคนรู้ข่าวบาตรแห่งการสร้างหรือไม่” ราชาภูตเจ็ดทวารเก็บถุงผ้ามาไว้ข้างเอวแล้วหมุนตัวกลายเป็นหมอกสีเทาก้อนหนึ่งพุ่งไปยังกลุ่มเนินดินริมทะเลสาบ

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่คนอื่นกลับรออยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าราบเรียบไม่มีท่าทางกังวลแม้แต่นิด

“ไม่ต้องกังวล ภูตเจ็ดทวารเหล่านี้อ่อนแอแล้วยังขี้ขลาดยิ่งนัก หากรับสมบัติแล้วหลบหนีก็คงไม่อาจตั้งรกรากอยู่ที่นี่ได้” บุรุษแซ่หมิ่นอธิบายกับหลิ่วหมิงช้าๆ

หลิ่วหมิงย่อมเข้าใจเหตุผลประการนี้ แต่ท่าทางนอบน้อมของราชาภูตเจ็ดทวารกลับทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอยู่เลือนราง

เวลาผ่านไปราวชั่วจิบชา หมอกสีเทากลุ่มหนึ่งก็พุ่งเร็วรี่ออกมาจากกลุ่มเนินเขาอีกครั้ง ตัดสินจากขนาดและลมปราณ นั่นคือราชาภูตเจ็ดทวารตนนั้นนั่นเอง

“สหายทุกท่าน ข้าถามมากระจ่างแล้ว ในเผ่าของพวกเรามีผู้พบจุดที่ของซึ่งน่าสงสัยว่าจะเป็นบาตรแห่งการสร้างตกอยู่จริง แต่มีถึงสามแห่ง ข้าเองก็ไม่ทราบว่าแห่งไหนจริงแห่งไหนลวง บางทีกองทัพแสงทองของพวกท่านอาจไม่ได้เสียบาตรแห่งการสร้างไปเพียงใบเดียว?” ไอหมอกหดหายไป ราชาภูตเจ็ดทวารประสานมือเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้า

“เจ้าเฒ่า เจ้ากำลังหลอกพวกเราหรือ?” หญิงสาวชุดแดงได้ยินก็โกรธจัดทันที

“แม้ข้าจะมีความกล้าอีกเท่าใดก็ไม่กล้าหลอกลวงทุกท่าน ในคัมภีร์หยกเล่มนี้บันทึกตำแหน่งทั้งสามนั้นเอาไว้ ทุกท่านเชิญไปค้นหาให้รู้ว่าจริงหรือลวง” ภูตเฒ่าไม่ได้บันดาลโทสะจากคำพูดของสตรีชุดแดง ตรงกันข้ามมันกลับหยิบคัมภีร์หยกที่ทอแสงสีน้ำเงินเล่มหนึ่งออกมาอย่างนอบน้อมแล้วใช้สองมือส่งให้บุรุษแซ่หมิ่น

บุรุษแซ่หมิ่นรับคัมภีร์หยกไปแนบบนหน้าผาก หลังจากกวาดจิตสัมผัสครั้งหนึ่งก็เก็บเข้าไปในแขนเสื้อแล้วหมุนตัวเอ่ยกับทุกคน

“พวกเราไป!”

สิ้นเสียง เขาก็กลายเป็นลำแสงสีเทาเส้นหนึ่งแหวกท้องฟ้ามุ่งไปยังที่แห่งหนึ่ง

หญิงสาวชุดแดงเห็นหัวหน้าหน่วยออกคำสั่งเอง แม้ไม่พอใจอยู่บ้างก็ได้แต่ถลึงตาใส่ราชาภูตเจ็ดทวารครั้งหนึ่งแล้วหมุนตัวกลายเป็นแสงสีแดงสายหนึ่งไล่ตามไปติดๆ

หลิ่วหมิงกับคนที่เหลือเห็นเช่นนี้ก็ไม่พูดมากอันใดอีก พวกเขาพากันกลายเป็นลำแสงหลากสีแหวกท้องฟ้าจากไป

“ผู้น้อยยินดีต้อนรับทุกท่านมาอีกครั้งหน้า!” ราชาภูตเจ็ดทวารประสานมือให้ทุกคน แต่มุมปากกลับกระตุกนิดๆ อย่างยากจะสังเกตเห็น หลังจากนั้นจึงกลายเป็นหมอกสีเทาก้อนหนึ่งเหาะกลับไป

พริบตาเดียวท้องฟ้าเหนือทะเลสาบสีฟ้าเข้มซึ่งเดิมทีเงียบสงบก็เงียบลงอีกครั้งไม่เหลือเสียงใด

ในเวลาเดียวกันนี้พวกหลิ่วหมิงกำลังเหาะอย่างรวดเร็วมุ่งไปยังป่ารกร้างแห่งหนึ่งทางใต้

“หัวหน้าหน่วย ราชาภูตเจ็ดทวารเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก เกรงว่าคำพูดของเขาอาจมีกลลวงอยู่” คุณชายเยาว์วัยผู้สง่างามผู้นั้นฉับพลันเอ่ยปากขึ้นจากกลางลำแสง

ภูตผีพื้นถิ่นมักจะทำเรื่องทำนองซื้อขายข่าวให้สองฝั่งอยู่เสมอ แล้วยิ่งเป็นภูตเจ็ดทวารที่มีชื่อเสียงเรื่องความเจ้าเล่ห์เหล่านี้ แม้เมื่อครู่พวกเขาแสดงพลังให้เผ่าภูตเจ็ดทวารเห็นประมาณหนึ่งแล้ว แต่ก็ยากจะรับประกันว่าเผ่าภูตเจ็ดทวารจะไม่หันไปขายข่าวของพวกเขาให้กองทัพผีร้าย แล้วเอาผลประโยชน์จากเรื่องนี้

“หากกล่าวว่าทั้งสามแห่งนี้ล้วนมีบาตรแห่งการสร้าง นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่หนึ่งในที่เหล่านี้จะต้องตามหาบาตรแห่งการสร้างพบแน่นอน สถานที่สามแห่งนี้ล้วนอยู่ในเขตที่กองทัพผีร้ายเคลื่อนไหว ราชาภูตเจ็ดทวารตนนี้ไม่แน่อาจคิดยืมมือกองทัพผีจัดการพวกเราให้ตายเพื่อแก้แค้นให้ผู้คนในเผ่าของมัน” บุรุษแซ่หมิ่นหัวเราะเบาๆ เอ่ยขึ้นมา

“ถ้าเช่นนั้นเหตุใดหัวหน้าหน่วยจึงไม่สังหารภูตเฒ่าตนนั้นเสีย หลังจากมันส่งคัมภีร์หยกให้” หญิงสาวชุดแดงถามอย่างขุ่นเคืองเล็กน้อย

“แม้ภูตเจ็ดทวารเหล่านี้จะเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก หลายครั้งมักจะลอบแทงข้างหลัง แต่ตลอดมาก็ไม่มีหลักฐานแน่ชัด จึงไม่ดีหากพวกเราจะลงมือโดยตรง ประการต่อมาข่าวที่พวกเขามอบให้ส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นความจริง พูดถึงเนื้อแท้แล้วก็ช่วยเหลือพวกเราได้อยู่บ้าง หากสังหารพวกเขาจนหมด วันหน้าภูตผีชั้นต่ำชนิดอื่นย่อมไม่กล้าแลกเปลี่ยนกับพวกเราอีกต่อไป” บุรุษแซ่หมิ่นอธิบายช้าๆ

ทุกคนสนทนากันไปพลางกระตุ้นลำแสงไปพลาง พริบตาเดียวก็เข้ามาในเขตป่าเบื้องหน้า

ผืนป่าที่ทอดยาวไม่สิ้นสุดผืนนี้มองไม่เห็นขอบเขต สายตาทอดมองไปล้วนเป็นสีเขียวหม่นทั้งผืน

“ทุกคนจงระวัง จากข่าวก่อนหน้านี้ของกองทัพ ระยะนี้ที่นี่มีกองทัพผีปรากฏตัวขึ้นไม่น้อย แล้วในหมู่พวกมันยังมีแม่ทัพผีระดับสูงอีกด้วย” ผู้ฝึกฝนแซ่หมิ่นปล่อยจิตสัมผัสกวาดไปเบื้องหน้าแล้วส่งกระแสจิตเตือนพวกหลิ่วหมิง

ทุกคนได้ยินย่อมตั้งท่าระวังทันที พวกเขาลดความเร็วแล้วเหาะไปด้านหน้าต่อ

หนึ่งชั่วยามให้หลัง ขณะที่ทุกคนเหาะผ่านป่าเข้ามาในหุบเขาแห่งหนึ่ง บนพื้นดินใกล้กับตัวภูเขาก็มีโพรงขนาดสิบกว่าจั้งคล้ายหลุมลึกแห่งหนึ่ง มองจากปากหลุมไม่เห็นก้นแม้แต่น้อย หลุมสีดำสนิทไม่ทราบลึกเท่าไร

เวลาเดียวกันนี้เองในที่สุดมุกสนองตอบในมือบุรุษแซ่หมิ่นก็มีปฏิกิริยารุนแรง มันส่องแสงสีทองแสบตาออกมาแล้วสั่นไหวไม่หยุด

“ดูท่าพวกเราจะมีโชคไม่เลว จุดแรกที่ค้นหาก็เป็นจุดที่บาตรแห่งการสร้างซ่อนอยู่เลย” ผู้เฒ่าหลังค่อมเห็นเช่นนี้ ดวงตาพลันทอประกายวูบหนึ่งแล้วพูดด้วยท้องเสียงเบา

คนอื่นเห็นเช่นนี้ก็ยินดีอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน พวกเขาต่างหยุดลำแสงใต้เท้าแล้วปล่อยจิตสัมผัสกวาดไปยังหลุมยักษ์ใต้เท้า

รอบปากหลุมยักษ์แห่งนี้มีต้นไม้ที่กิ่งก้านโล่งเตียนอยู่ไม่น้อย ผนังหลุมล้วนเป็นศิลาสีน้ำตาลหม่น ปราณหยินสีเทาเสียดแทงกระดูกสายแล้วสายเล่าทะลักออกมาจากใต้หลุมยักษ์ไม่หยุดราวกับตอน้ำผุด ปราณหยินที่เดิมทีไร้รูปไร้ลักษณ์ เมื่ออยู่ที่นี่กลับจับตัวกันจนกลายเป็นลักษณะคล้ายไอหมอก

แม้ทุกคนจะลอยอยู่สูงบนท้องฟ้าร้อยจั้งก็ยังรู้สึกว่าไอเย็นยะเยือกที่จู่โจมเข้ามาทำให้คนขนลุกชัน เหงื่อกาฬแตกพลั่ก

หลิ่วหมิงลองขยายจิตสัมผัสไปด้านในหลุม แต่แผ่ออกไปได้เพียงไม่กี่จั้งก็ถูกปราณหยินสลายจนสัมผัสไปไม่ถึงก้นแม้แต่น้อย เห็นชัดว่าระดับความเข้มข้นของปราณหยินในหลุมยักษ์มากกว่าที่อื่นอยู่มากนัก

“ปราณหยินที่นี่เข้มข้นเช่นนี้ไม่แน่ด้านล่างอาจมีอันตรายบางอย่างอยู่” หลิ่วหมิงหรี่ตาลงแล้วเหลือบมองถุงหนังข้างเอวแวบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น

“ศิษย์น้องหลิ่วพูดไม่ผิด ที่แห่งนี้เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะมีภูตผีชั้นสูงอยู่ หากพวกเราเข้าไปในนั้นคงเสี่ยงอันตรายเกินไป ครั้งนี้ข้าจะลงไปเองก่อน พวกเจ้าเฝ้าระวังด้านนอกเอาไว้ก็แล้วกัน” ผู้ฝึกฝนแซ่หมิ่นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็สั่งเช่นนี้

พวกผู้เฒ่าหลังค่อมสี่คนได้ยินก็สบตากันสองสามครั้งแล้วพยักหน้าขานตอบว่า “รับทราบ” แทบจะในเวลาเดียวกัน

“ให้ข้าลงไปเถอะ หากมีภูตผีที่แข็งแกร่งมาพบที่นี่เข้า พี่หมิ่นเฝ้าด้านนอกคาดว่าจะปลอดภัยกว่าอยู่บ้าง” ทันใดนั้นหลิ่วหมิงก็เอ่ยปากขึ้นมาเช่นนี้

คำนี้เอ่ยออกมาพลันเรียกสายตาประหลาดจากพวกหญิงสาวชุดแดงให้มองมาในทันที

“ศิษย์น้องหลิ่ว ปราณหยินที่นี่เข้มข้นเช่นนี้ หากด้านล่างมีภูตผีอยู่ พลังคงไม่อ่อนแอแน่นอน เจ้าจะลงไปแน่หรือ?” ผู้ฝึกฝนแซ่หมิ่นได้ยินก็อึ้งไปวูบหนึ่ง แต่จากนั้นก็เผยสีหน้าคล้ายยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มออกมาทันที

“ไม่เป็นไรขอรับ ผู้แซ่หลิ่วมาจากยอดเขาลั่วโยว วิชาที่ฝึกฝนก็คือวิชาสายวิญญาณ แม้ปราณหยินในที่แห่งนี้จะเข้มข้นอีกเท่าใดก็ส่งผลกับข้าจำกัด หากด้านนอกมีหัวหน้าหน่วยคุ้มครองอยู่ข้าถึงจะยิ่งวางใจได้” หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ เอ่ยตอบ

เมื่อคำนี้เอ่ยออกมากลับทำให้หญิงสาวชุดแดงกับบุรุษร่างใหญ่สีหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย

คำพูดนี้ของหลิ่วหมิงแสดงให้เห็นชัดว่าไม่วางใจพลังของคนอื่น

ผู้เฒ่าหลังค่อมกลับสีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่ได้ยินคำพูดเมื่อครู่นี้

ส่วนคุณชายผู้สง่างามผู้นั้นกลับหัวเราะฮ่าๆ เท่านั้น

“ในเมื่อศิษย์น้อยหลิ่วตัดสินใจแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะไม่ขวาง หากพบภูตผีร้ายกาจที่รับมือไม่ได้จริงๆ หรือมีสิ่งใดผิดปกติให้ถอยกลับขึ้นมาด้านบนทันที” ในที่สุดบุรุษแซ่หมิ่นก็ตกลง แต่ยังกำชับอีกสองประโยค

“เรื่องนี้แน่นอน ข้าจะพยายามไปแล้วกลับมาให้เร็วที่สุด”

หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ หลังจากประสานมือให้ทุกคน ร่างกายก็มีปราณสีดำทะลักออกมาล้อมรอบร่างแล้วทะยานร่างดิ่งลงไปในหลุมยักษ์เบื้องล่างทันที

ส่วนบุรุษแซ่หมิ่นหารือกับพวกหญิงสาวชุดแดงประโยคสองประโยค จากนั้นพวกเขาจึงขยับร่างเหาะแยกย้ายกันไปซ่อนอยู่ใกล้ๆ ปากหลุม

บริเวณรอบหลุมยักษ์กลับมาเงียบสงบเช่นก่อนหน้านี้อีกครั้ง

หลิ่วหมิงเหาะเข้าไปในปราณหยินหนาทึบ หลังจากดิ่งลงไประยะหนึ่งเขาก็หยุดร่าง มือข้างหนึ่งตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณข้างเอวแผ่วเบา แสงสีทองอร่ามดวงหนึ่งลอยออกมาจากด้านใน

ใจกลางแสงสีทองหุ้มแมงป่องขนาดเท่าฝ่ามือตัวหนึ่งไว้ มันก็คือเซียเอ๋อร์ที่กลับคืนเป็นร่างเดิมนั่นเอง

เมื่อแมงป่องตัวนี้ร่อนลงพื้นก็ขยายร่างจนมีขนาดเท่ามนุษย์ ทั้งร่างล้อมรอบด้วยแสงสีทองเจิดจ้าราวกับทั้งร่างมีเปลวเพลิงสีทองลุกโชนอยู่ สัญลักษณ์มงกุฎสีทองที่เดิมทีปรากฏอยู่บนหน้าผากของเซียเอ๋อร์เวลานี้ปรากฏอยู่บนส่วนหัวของแมงป่อง แสงสีทองแสบตาสายหนึ่งพุ่งออกมาจากด้านในแล้วยืดออกไปด้านหน้าไกลหลายจั้ง

ทันทีที่ปราณหยินรอบด้านสัมผัสถูกแสงสีทองสายนี้ก็ราวกับหิมะต้องอัคคี ถูกแสงสีทองขับไล่กระเจิงไปอย่างรวดเร็ว

หลิ่วหมิงเห็นภาพตรงหน้า สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันทีอย่างห้ามไม่ได้

เมื่อครู่ที่เขาเสนอตัวอย่างห้าวหาญขอลงมาค้นหาบาตรแห่งการสร้าง สาเหตุสำคัญก็เพราะเซียเอ๋อร์ในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณข้างเอวไม่รู้สัมผัสถึงสิ่งใดได้ สัญลักษณ์มงกุฎสีทองบนหน้าผากจู่ๆ ก็สว่างวูบวาบขึ้นมาไม่หยุด แสดงท่าทางกระตือรือร้นต้องการเข้ามาในหลุมยักษ์คล้ายกับว่าด้านล่างมีของที่มันปรารถนายิ่งยวดอยู่

หลิ่วหมิงครุ่นคิดครู่หนึ่งก็มั่นใจว่าเขามีเคล็ดวิชากระดูกดำกับวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬคุ้มครองอยู่ ย่อมไม่กลัวปราณหยินในที่แห่งนี้ ขอเพียงไม่พบภูตผีระดับดาราพยากรณ์ พลังของเขาย่อมปกป้องตนเองได้ไม่มีปัญหาแน่นอน เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงยืดอกอาสาอย่างกล้าหาญ

ในเวลานี้เอง สองตาของแมงป่องกระดูกก็ทอแสงสีแดง แสงสีทองสว่างขึ้นรอบร่าง ร่างกายพร่าเลือนวูบหนึ่งก็พุ่งลงไปเบื้องล่างด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ

“เซียเอ๋อร์!” หลิ่วหมิงตะโกนลั่นผ่านกระแสจิต

ทว่าแมงป่องกระดูกในยามนี้ทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงตะโกนของหลิ่วหมิงสักนิด มันขยับไม่กี่หนก็หายเข้าไปในปราณหยินหนาทึบด้านหน้า

หลิ่วหมิงหน้าถอดสีในทันใด ปราณดำรอบร่างหนาขึ้นแล้วเร่งความเร็วไล่ตามลงไป

ทว่าความเร็วของแมงป่องกระดูกเร็วอย่างที่สุด พริบตาเดียวก็หายไปจากสายตาของหลิ่วหมิง

ระหว่างที่หลิ่วหมิงเร่งลำแสงไล่ตามไปเบื้องหน้าก็ลอบวิตกไปด้วย

หลุมยักษ์แห่งนี้ลึกกว่าที่คาดไว้ นับจากเข้ามาในปากหลุมจนถึงตอนนี้เหาะลงมาแล้วหลายร้อยจั้งก็ยังไม่เห็นก้นเลย อีกทั้งยิ่งลงไปด้านล่าง ปราณหยินรอบด้านก็ยิ่งหนาทึบขึ้นเรื่อยๆ

อีกทั้งในที่แห่งนี้จิตสัมผัสแทบจะออกจากร่างไปสำรวจไม่ได้แล้ว หากมีภูตผีจู่โจม เช่นนั้นคงแย่อย่างที่สุด

หลิ่วหมิงครุ่นคิดเร็วจี๋อยู่ในใจ แสงสว่างบนร่างกะพริบวูบวาบอย่างต่อเนื่อง เพียงครู่เดียวรอบร่างก็มีเกราะป้องกันจากพลังเวทถึงสามชั้น ตอนนี้เขาจึงวางใจขึ้นเล็กน้อย

จากนั้นมือของเขาก็ตั้งท่าเคล็ดวิชา ใต้ร่างปรากฏแสงกระบี่สีม่วง แสงอสนีบาตสีม่วงฉายวูบวาบแหวกปราณหยินรอบด้าน แล้วเพิ่มความเร็วพาร่างของเขาไล่ตามลงไปด้านล่าง

หลุมยักษ์แทบจะดิ่งเป็นทางตรง ยิ่งเข้าไปลึกก็ยิ่งแคบ หลิ่วหมิงกำลังจะเพิ่มความเร็วอีกเล็กน้อย ทันใดนั้นด้านล่างก็มีเสียงกรีดร้องแหลมกับเสียงคำรามน่ากลัวของสัตว์ร้ายดังขึ้น

เสียงกรีดร้องแหลมเห็นชัดว่ามาจากเซียเอ๋อร์!

Related

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

เด็กหนุ่มที่เติบโตท่ามกลางนักโทษบนเกาะมฤตยู หลังหนีออกจากที่คุมขังสำเร็จก็จับพลัดจับผลูเข้าไปในนิกายปีศาจ และกลายเป็นการเปิดประตูเข้าสู่พิภพอันกว้างใหญ่อย่างที่เขาคาดไม่ถึง ทว่าภายใต้ความบังเอิญนี้ เขากลับต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตถึงชีวิต ที่อาจจะสูญเสียตัวตนกลายเป็นจอมปีศาจอยู่ตลอดเวลา…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset