“เจ้าวิ่งได้ช้าที่สุดบนท้องฟ้า และยังลงมาหยุดอยู่ที่นี่ ในเมื่อเจ้าเผยตำแหน่งแห่งที่เช่นนั้น มันก็ย่อมดึงดูดนักล่า” ยอดฝีมือมารมองไปยังเศษหินแตกหักบนพื้นอย่างระแวดระวัง แต่สีหน้าของเขาค่อนข้างผ่อนคลาย “ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าดูเหมือนจะรังแกง่ายที่สุดในกลุ่มคน งั้นทำไมข้าถึงจะไม่มาล่ะ แต่ทว่า กำลังฝีมือของเจ้านั้นค่อนข้างเหนือความคาดหมายของข้า…”
เขามองไปยังเศษหินแตกหักบนพื้น และม่านตาของเขาก็หรี่แคบลงเล็กน้อย เขาค่อยๆ ปลดปล่อยรัศมีของตนเองทีละเล็กละน้อย “เจ้าดูซื่อๆ ง่ายต่อการรังแก แต่กำลังฝีมือของเจ้านั้นแข็งแกร่งอย่างสุดขีด แม้ว่าเจ้าไม่มีพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้ แต่ความสามารถของเจ้าก็ถึงขั้นนั้นไปแล้ว เจ้าไม่อ่อนแอไปกว่าฉู่เหยา หวงเยว่ และคนอื่นๆ เลยสักนิด ข้าปรารถนาจริงๆ ที่จะรู้ว่าเจ้ายังคงเหลือกำลังฝีมือสักกี่มากน้อยหลังจากการต่อสู้กับฉือฉวนซง ลูกท้อนี้ข้าจะเด็ดมาง่ายดายหรือไม่”
บนพื้นดิน กระบี่บินลอยขึ้นมาอย่างนิ่มนวล และฉินมู่ก็หยัดตัวลุกขึ้นยืนตรงพลางสูดลมหายใจลึก ทันใดนั้น ลมหายใจของเขาก็กลับมาเป็นปกติและแย้มยิ้ม “ตั้งแต่เมื่อข้าได้กลายเป็นจ้าวลัทธิมารฟ้า ก็ไม่มีใครกล้าพูดว่าข้าดูรังแกง่ายอีกเลย หากว่าเจ้าต้องการเด็ดลูกท้อนี้ ทำไมเจ้าไม่เข้ามาลองดูสักหน่อยล่ะ”
เมื่อครู่เขายังหอบหายใจอย่างยากลำบากอยู่เลย แต่บัดนี้ราวกับว่าตัวเขาไม่มีอะไรผิดปกติ
ยอดฝีมือมารยิ้มเล็กน้อย “กำลังฝีมือของฉือฉวนซงนั้นสูงล้ำแข็งแกร่ง ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่ข้าก็ยังต้องขยาดเกรงอยู่หลายส่วน หลังจากการต่อสู้ชิงเป็นชิงตายกับเขา อาการบาดเจ็บของเจ้าไม่มีทางเบาบางหรอก เจ้าสะกดข่มลมหายใจของเจ้าเอาไว้ได้ แต่เจ้าไม่มีทางซ่อนอาการบาดเจ็บของตนเองได้ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ต้องกังวล หากว่ากำลังฝีมือของเจ้าแข็งแกร่งพอที่จะเป็นภัยต่อข้า ข้าก็จะรีบสะบัดหน้าผละไป และหาเหยื่อคนอื่นแทน”
เขาสอดส่ายสายตามองไปรอบๆ และกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “เพราะถึงอย่างไร ในป่าแห่งนี้ก็ซุ่มซ่อนไว้ด้วยศัตรูตั้งไม่รู้กี่คน ดังนั้นข้าย่อมต้องออมกำลังเอาไว้เพื่อจัดการพวกเขา ใช่ไหมล่ะ”
เสียงของเขามีสำเนียงมารแฝงซ่อนเอาไว้ราวกับว่าเขาเป็นพี่ชายใจดีข้างบ้านผู้กำลังกังวลห่วงใยผู้อื่นอย่างแท้จริง แต่ทว่าจิตของฉินมู่ยังคงกระจ่าง
เขานั้นเป็นจ้าวลัทธิมารฟ้า แม้ว่าเขาจะเรียกตัวเองบ่อยครั้งว่าจ้าวลัทธินักบุญสวรรค์ แต่ก็มียอดฝีมือมากมายที่เชี่ยวชาญในมรรคามารในลัทธิมารฟ้า คัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตนั้นพิสดารพันลึก และสามารถแปรเปลี่ยนไปได้ตามหัวใจผู้ฝึก
“หากว่าในหัวใจมีสันดานมาร คัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตก็จะเต็มไปด้วยวิชามาร แต่หากว่ามีสันดานเทพในหัวใจ พวกมันก็จะเป็นวิชาเที่ยงธรรม”
ในฐานะจ้าวลัทธิมารฟ้า ฉินมู่หาใช่ชนชั้นที่ถูกเล่นตลกได้ด้วยเสียงมารแค่นี้
เขาไม่เชื่อเลยสักคำที่ยอดฝีมือมารผู้นี้กล่าว!
คำพูดพวกนั้นมีเพื่อให้ฉินมู่ละวางการป้องกัน เรื่องเหลวไหลที่บอกว่าพร้อมจะผละจากไปและมีศัตรูจำนวนไม่รู้เท่าไหร่ซุ่มซ่อนอยู่ หากว่าเขาไปเชื่อจริงๆ จังๆ เขาก็จะตาย!
ฉินมู่ยืนนิ่ง ไม่ขยับ กระบี่บินแปดพันเล่มถูกจัดวางไว้อย่างสุ่มๆ ในอากาศ และลอยละล่องอยู่รอบๆ ตัวเขา พวกมันรออยู่ในกระบวนพยุหะศึกของกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์เพื่อที่จะปลดปล่อยพลานุภาพ
ยอดฝีมือมารพลันเคลื่อนไหว พุ่งตรงมายังฉินมู่ พลังงานอันระเบิดจากกายเนื้อของมารเที่ยงแท้เยาว์ผู้นี้น่าสะพรึงกลัวอย่างเหลือล้น เมื่อกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ของฉินมู่ถูกปลดปล่อย เขาก็พร้อมที่จะพุ่งทะลวงผ่านพวกมัน
ฉินมู่ตะโกนออกไป และกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ก็ยังคงกักตัวของเขาเอาไว้ได้ ยอดฝีมือมารจึงดึงธงใหญ่ออกมาและโบกสะบัดมันไปยังแสงกระบี่ ภาพกระบี่ขุนเขาและแม่น้ำพลันหายโหว่ไปก้อนใหญ่
“ยอดฝีมือพยุหะ!”
ฉินมู่ตื่นตระหนก ธงใหญ่ปักลงไปบนพื้นอันมันคลี่ผืนออก และเผยให้เห็นรอยประทับมารมากมาย พวกมันหมุนเป็นเกลียวรอบๆ และก่อรูปเป็นดวงตาหนึ่ง
ยอดฝีมือมารถอยกลับ และกระโดดเข้าไปในนั้น หายวับไปโดยไร้ร่องรอย กระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ระเบิดออก แต่มันทำอะไรธงมารผืนนั้นไม่ได้เลยสักนิด เห็นได้ชัดว่าธงมารผืนนี้เป็นสมบัติวิเศษอันเหนือธรรมดา
ฉินมู่กำลังจะเรียกใช้กระบี่ไร้กังวลเข้าไปสะบั้นมัน แต่ทันใดนั้นยอดฝีมือมารก็ปรากฏตัวข้างหลังเขา ฉินมู่สะบัดกระบี่ไปที่นั่น แต่ธงใหญ่อีกผืนพลันปรากฏ ยอดฝีมือมารกระโดดเข้าไปในธงนั้นและหายวับอีกครา ทำให้การโจมตีของเขาพลาดเป้า มีก็แต่ธงผืนใหญ่ปักอยู่บนพื้น
ไม่นาน ก็มีธงแปดผืนปักอยู่ล้อมรอบฉินมู่ พวกมันคลี่ออก และปลายผืนธงแต่ละผืนมาเชื่อมต่อซึ่งกันและกัน สร้างเป็นค่ายกลแปดเหลี่ยมอันมีขนาดเท่าสนามกีฬา ตรงใจกลางของธงแต่ละผืน ปรากฏดวงตามารที่อ้าเปิด
ฉินมู่ขมวดคิ้วเมื่อเส้นสายปราณมารพุ่งยิงออกมาจากเนตรมา ถล่มโจมตีเขา
ปราณชีวิตรอบตัวเขาลุกฮือขึ้น แปรเปลี่ยนเป็นระฆังยักษ์ที่กึ่งจริงกึ่งลวง รอบๆ ผนังระฆัง รอยประทับอสุนีบาตมากมายม้วนพันกัน เขากำลังใช้ระฆังยกสวรรค์ห้าอัสนีของบรรพชนห้า!
เก๊ง เก๊ง เก๊ง!
เสียงระเบิดกัมปนาทดังออกมาเมื่อฉินมู่ซัดออกไปข้างนอกจากใจกลางระฆัง ต่อสู้กับเส้นสายปราณมารเหล่านั้น ระฆังยกสวรรค์ห้าอัสนีประเดี๋ยวก็ใหญ่ประเดี๋ยวก็เล็ก บางครั้งก็แข็งแกร่ง บางครั้งก็อ่อนแอ
ในระหว่างเวลานั้น ธงมารสะบัดบิดอย่างต่อเนื่อง และปราณมารที่ยิงจากเนตรมาร บางครั้งก็หนา บางครั้งก็บาง นี่ทำให้ระฆังลั่นเป๊งๆ อย่างไม่หยุดหย่อน ปั่นป่วนเลือดและลมของฉินมู่
เขาเคลื่อนไหว และระฆังยกสวรรค์ห้าอัสนีก็เคลื่อนไหวไปพร้อมกับเขา แต่ทว่า พวกธงมารข้างนอกก็เคลื่อนไหวตามเขาไปไม่ปล่อย
ระฆังยกสวรรค์ห้าอัสนีเป็นสุดยอดวิชาของบรรพชนห้าอันผสมผสานทักษะเทวะกายเนื้อเข้ากับทักษะเทวะอัสนี ห้าอัสนีก็คือห้ามหาเมฆอัสนี และเขาใช้กายเนื้อที่แข็งแกร่งเพื่อขับเคลื่อนมันก่อตัวขึ้นเป็นรอยประทับระฆัง แต่ละกำปั้นแต่ละลูกเตะก็จะทำให้อสุนีบาตห้าสายแผ่กระจายออกไป และระฆังก็จะหดลงก่อนจะขยายตัวขึ้นมาใหม่ พลานุภาพของเมฆอัสนีทั้งห้าก็จะเพิ่มพูนขึ้นมาอย่างยิ่ง ดังนั้นมันจึงเหมาะสมที่สุดในการใช้ทำลายวิชามาร
ทว่าในตอนนี้ ฉินมู่กลับไม่สามารถทำลายมันได้
เขาพลันใช้เทวะจำแลงแปลงร่างเป็นเทพครองดาวเสาร์ ประตูน้อมสวรรค์ปรากฏข้างหลังเขาและเหวี่ยงหมุนไปรอบๆ กวาดซัดผ่านธงใหญ่ทั้งแปดผืน แต่ไม่นานนักมันก็ถูกลำแสงปราณมารยิงทำลายไป
ประตูน้อมสวรรค์ไม่อาจบีบร่างจริงของยอดฝีมือมารให้ปรากฏตัวได้
“เนตรปลุกพลัง!”
ชั้นต่างๆ ของวงจรพยุหะหมุนวนในดวงตาของฉินมู่ และเขามองไปรอบๆ ตัว ไม่ว่าเขาจะหันไปทางไหน เขาก็ไม่อาจค้นพบยอดฝีมือมารคนนั้น เขาเห็นเพียงแต่เงาร่างวูบวาบที่เคลื่อนที่ไปมาอย่างรวดเร็วระหว่างธงราวกับว่าพวกมันคือภูตพราย
ข้างในค่ายกล ระฆังใหญ่ที่ถูกฟาดใส่ด้วยปราณมารมิอาจสลายมันไปได้ ในทางกลับกัน พวกมันเคลื่อนที่ไปเป็นเส้นละเอียดเล็กที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เส้นสายพวกนั้นจัดวางอยู่ในห้วงอวกาศและเฉือนตัดมันออกเป็นหลายกระบิ แต่ละห้วงอวกาศทรงลูกบาศก์มีอักษรรูนแห่งมรรคามารก่อตัวขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งข้างในนั้น
มารผู้นี้เป็นยอดฝีมือพยุหะ การโจมตีก่อนหน้านั้นเป็นเพียงแค่ตัวเบี่ยงเบนความสนใจ ในขณะที่เป้าหมายอันแท้จริงของเขาคือการกักฉินมู่เอาไว้ในพยุหะสังหาร และป่นเขาให้เป็นจุณ!
ด้วยวิธีนี้ เขาก็จะสามารถออมกำลังไว้ไปจัดการกับบุคคลอื่นๆ
เขานั้นกะที่จะใช้พละกำลังน้อยนิดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อกำจัดฉินมู่
พลังวัตรของเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์ผู้นี้เหนือล้ำกว่ารุ่นเดียวกันไปไกล และทักษะเทวะของเขาก็ทั้งโอหังและดุดัน มีผู้คนมากมายที่บีบให้ฉินมู่ระวังป้องกันได้ แต่มีเพียงยอดยุทธฝีมือแกร่งไม่กี่คนอย่างเช่นผู้ใหญ่บ้าน หรือกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก ที่สามารถสยบเขาในขั้นวรยุทธเดียวกัน แต่ทว่า ยอดฝีมือมารที่เขากำลังเผชิญ ก็นับว่าเป็นหนึ่งในยอดยุทธฝีมือแกร่งเหล่านั้น
บรรพชนแรกและผู้ใหญ่บ้านเป็นยอดฝีมือที่บรรลุมรรคาเต๋า ดังนั้นจึงไม่น่าประหลาดใจที่พวกเขาจะกระทำเช่นนั้นได้ แต่ทว่า ยอดฝีมือมารผู้นี้เป็นรุ่นเยาว์ จากประเด็นนี้เพียงถ่ายเดียว ก็สามารถเห็นได้ว่าความสำเร็จเชิงพยุหะของเขานั้นลึกล้ำปานใด
“วิชาพยุหะ?”
ฉินมู่พลันสลายระฆังยกสวรรค์ห้าอัสนี และยื่นมือออกไปคว้าจับไจกระบี่ด้วยมืออันกำแน่น กระบี่บินละเอียดยิบมากมายหลั่งไหลออกมาประดุจสายน้ำและแปรเปลี่ยนเป็นทวนใหญ่
หากว่าใครมองดูมันอย่างละเอียด พวกเขาก็คงจะเห็นได้ว่ามันถูกประกอบสร้างขึ้นมาจากกระบี่บินละเอียดยิบจำนวนมากที่กำลังเคลื่อนไหวไปมาอย่างไม่หยุดยั้ง แต่ละกระบี่กำลังร่ายรำท่วงท่ากระบี่เกลียว และปลายคมทวนนั้นก็คือกระบี่ไร้กังวลอันคมกล้าไร้เทียมทาน
ในขณะเดียวกัน อักษรรูนก็ปรากฏขึ้นมารอบกายฉินมู่ พวกมันมิใช่รอยประทับของทักษะเทวะอันทรงพลัง แต่เป็นสัญลักษณ์ของของพีชคณิตและคณิตศาสตร์ ผังไท่จี่ ผังอู๋จี่ อักษรรูนสุริยันจันทรา อักษรรูนห้าธาตุ ค่ายกลหกทิศ ค่ายกลผังแปด ค่ายกลผังหกสิบสี่ พวกมันแปรเปลี่ยนไปมาอย่างไม่หยุดยั้ง ก่อสร้างขึ้นมาเป็นระบบแบบหนึ่งที่กำลังคำนวณห้วงมิติเรขาคณิต
อักษรรูนแปรเปลี่ยนไปมาอย่างคาดเดาไม่ถูก ประมวลผลโครงสร้างของพยุหะที่ก่อขึ้นมาจากธงมารทั้งแปดผืน อักษรรูนจำนวนนั้นไม่ถ้วนกระเด้งกระดอนไปทั่ว และความเร็วในการคำนวณนั้นก็เร็วจี๋เกินกว่าจะมองทัน
ฉินมู่เพ่งสายตา และร่างกายของเขาก็เคลื่อนที่ไปพร้อมกับทวน มันพุ่งทะลวงออกไปราวกับมังกรที่ห่อหุ้มไปด้วยแสงเงิน แต่ละลำแสงปราณมารถูกมันโจมตีใส่และแหลกทำลาย
ทันใดนั้น ธงทั้งแปดก็โอนเอนและถูกชักกลับไป ค่ายกลพยุหะของยอดฝีมือมารถูกทำลาย ร่างที่แท้จริงของเขาพลันปรากฏ เขาม้วนธงขึ้นและรีบพุ่งหนีไปทันที เขาหัวเราะและกล่าว “ยากนักที่จะได้พบยอดฝีมือเชิงคำนวณ! กำลังฝีมือของเจ้าแข็งแกร่งจริงๆ ลาก่อน!”
ธงคลี่คลุมเขา และเขาก็หายวับในพริบตา
ฉินมู่ปักทวนใหญ่ลงกับพื้น จิตวิญญาณของเขายังคงเกร็งเขม็ง ไม่ผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย
ทว่าหลังจากครู่หนึ่ง รัศมีเขาก็โรยราลง และกระอักเลือดออกมากำใหญ่ เขาหอบหายใจและทรุดตัวลงนั่งจ้ำเบ้า
ในจังหวะนั้นเอง ยอดฝีมือมารก็ปรากฏข้างหลังเขาเหมือนภูตพราย และแทงธงใหญ่ของเขาเข้ามาเหมือนกับทวนยังฉินมู่ เขาหัวเราะอีกครั้ง “เจ้าไม่มีพละกำลังเหลือแล้วจริงๆ ข้าเลยย้อนกลับมาอีกครั้ง!”
รอยยิ้มประหลาดปรากฏบนใบหน้าฉินมู่ เขากำลังนั่งหันหลังให้กับมารหนุ่มผู้นั้นขณะที่ทวนใหญ่ในมือของเขาแยกออกจากกันกลายเป็นมีดเล่มยาวสองเล่ม ถือมีดข้างหนึ่งด้วยการจับปกติ และอีกข้างด้วยการจับย้อน เขาซ่อนเล่มหนึ่งไว้ข้างหลังเพื่อป้องกันธงใหญ่อันแทงมาตำแหน่งหัวใจ มีดอีกเล่มซ่อนอยู่เบื้องหน้าหน้าอกของเขา
ฉินมู่หมุนตัวไปและเฉือนผ่าด้วยมีดยักษ์อันเขาถือไว้ข้างหน้าตัวใส่ธงใหญ่นั้น
ยอดฝีมือมารตื่นตระหนก และธงในมือของเขาก็ส่ายไปมาจนแขนทั้งสองข้างชาดิก
“เจ้ารู้จักกระบวนท่าสังหารของสำนักวิชาบู๊ไหม”
ทั้งสองคนกำลังเอนตัวเข้าใกล้กัน และฉินมู่กระซิบใส่ใบหูของอีกฝ่าย เท้าของเขาลอยขึ้นมาจากพื้น แต่เขายังลงนั่งอยู่ ราวกับว่ากระบวนท่าของมารนั้นได้ปัดให้เขาหมุนไปราวลูกข่าง
มันเป็นกลเม็ดที่คนแล่เนื้อมักจะเล่นกับฉินมู่ ก็ในเมื่อเขาไม่มีขาทั้งสองข้าง มันใช้เพื่อทดสอบกระบวนท่าของเขา–เสยมีดจากที่ลับ
มันคือกระบวนท่าที่อันตรายที่สุดท่ามกลางเพลงมีดของคนแล่เนื้อ!
ยอดฝีมือมารเคลื่อนไหวไปอย่างยากจะคาดเดา และร่างกายของเขาก็วูบวาบประดุจเงาผี แต่เขามิอาจสลัดฉินมู่หลุดได้ ความเร็วของเขาเร็วกว่า แต่ฉินมู่ตามติดหลังเขาราวกับว่าร่างของทั้งสองฝ่ายทากาวติดไว้ด้วยกัน
เงาร่างของยอดฝีมือมารเปลี่ยนแปลงไปมาอย่างต่อเนื่อง และวิชาตัวเบาของเขาก็ประหลาดพิสดารยากจะคาดเดาอย่างถึงที่สุด ไม่นาน เขาก็สามารถสลัดฉินมู่หลุดได้และลิงโลดใจ ในที่สุดเขาก็จะได้จัดการอีกฝ่ายซึ่งๆ หน้า
ในตอนนั้น เสียงของฉินมู่ดังมาที่หูของเขา “เจ้าชื่ออะไร”
“ชื่อของข้าคือ…”
แสงมีดฉายส่อง และฉินมู่เสยใบมีดของเขาด้วยการจับย้อน ยอดฝีมือมารไม่ทันสิ้นสุดคำตอบของเขา พลานุภาพของกระบวนนี้ก็แผ่พุ่งออกไป
“ขอโทษด้วย ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าพูดจบหรอก”
ฉินมู่ดึงมีดกลับ พวกมันไหลลงจากมือของเขาราวกับทรายดูด แปรเปลี่ยนกลับไปเป็นไจกระบี่
ท้องของยอดฝีมือมารถูกผ่าแหวะออก และกายเนื้อของเขาก็ล้มคว่ำลงกับพื้น
ฉินมู่ระบายลมหายใจสั่นสะท้าน และสลัดหัว “เจอยอดฝีมืออีกคน ข้าจะต้องตายแน่นอน”
เขาเอียงคอฟังเสียงดู แต่ไม่มีสรรพสำเนียงใดๆ ในภูเขาที่ล้อมรอบเขาอยู่ ผ่านไปสักพัก เขาก็กล่าวซ้ำด้วยเสียงอันแผ่วระโหย “เจอยอดฝีมืออีกคน ข้าต้องตายแน่นอน”
ภูเขาอันยิ่งยงรอบๆ ก็ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
“แหวะ–”
ฉินมู่อ้าปากและอาเจียนเลือดออกมา ก่อนที่จะล้มคว่ำลงกับพื้น เขาบิดกระตุกสองที เตะขาดิ้นเร่าก่อนจะขาดลมหายใจไป
ภูเขาในบริเวณรอบๆ ยังคงเงียบสงัด ไร้ความเคลื่อนไหว
ใบหน้าของฉินมู่กลายเป็นเขียวคล้ำ และร่างกายของเขาก็แข็งทื่อ เลือดและเนื้อของเขาเกร็งไม่กระดิก แต่ก็ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวจากรอบๆ ผ่านไปสักพัก ฉินมู่ก็ลุกขึ้นและเดินกลับไปที่กำแพงไฟเพื่อหลอมสร้างกระบี่บินของเขาต่อโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
สตรีเผ่ามารบนยอดเขาหนึ่งเงยหน้าของนางขึ้นและเฝ้ามองเด็กหนุ่มจากที่สูง นางพลันหันกายกลับไป และเดินไปจากที่นั่นโดยไม่ลังเล
ไอ้เด็กตีเหล็กนี่มันมารร้ายยิ่งกว่าข้าเสียอีก ข้าไม่อาจตอแยเขา!
ในตอนนั้นเอง หวงเยว่ก็ชะงักและเงยหน้าขึ้นมองยอดเขาหนึ่ง ตรงนั้นมีบุคคลที่กำลังแบกดาบยาวยืนตรงอยู่
“เจ๋อหัวหลี!”
………….
Related