จากกันที่ร้านน้ำชานอกเมืองตระกูลหง เป่าฮู่เดินทางมุ่งลงใต้ ส่วนเฒ่าขอทานก็หยุดยั้งลงตรงจุดเดิม ด้วยการดื่มสุราไปพรางกินไก่ไปพราง สองมือนับนิ้วคำนวณวันเวลา ก่อนที่จะลุกเดินตามทางของรถม้าของหนุ่มแซ่ผู้นั้นไป ท่ามกลางสายลมที่กำลังแปรเปลี่ยนทิศทาง
“แซ่หง เป็นบุตรเจ้าเมืองตระกูลหงหรือนี่ นับว่าสวรรค์เล่นตลก พลังลมปราณที่ข้าสัมผัสได้เหมือนเป็นธาตุน้ำ พลังที่ลึกล้ำนั่น คือลมปราณชนิดใดกัน”
ตลอดที่เดินทางด้านเป่าฮู่ก็พลิกป้ายไปมา โดยที่ตัวเป่าฮู่ก็สงสัย ชายชราผู้นี้
มีภูมิหลังอะไรยิ่งใหญ่ขนาดไหนกัน
“นี่พี่ชาย”
การเรียกถามหาองครักษ์ที่ติดตามมารับใช้ โดยชายผู้ที่บังคับรถม้าได้ยินก็สะกิดชายที่นั่งพักหลับอยู่ด้านข้างให้ตื่นพร้อมรับฟังคำสั่งของคุณชายเป่าฮู่
“ขอรับคุณชาย มีสิ่งใดต้องการให้ข้าทั้งสองรับใช้?”
เป่าฮู่ได้ฟังเสียงตอบรับ ก็รีบกล่าวออกไปเพื่อลดความตึงเครียด
“ไม่มากมายขนาดนั้น เพียงแค่ข้ายังสงสัย ตระกูลหย่วนนี่ มีอิทธิพลมากเพียงใดในแดนใต้ ท่านทั้งสองพอจะทราบหรือไม่?”
ชายทั้งสองได้ฟัง ก็คลายกังวลใจ และหนึ่งในนั้นก็กล่าวออกไป และเล่าถึง
ความเป็นมาของตระกูลหย่วน ตามที่ตัวของชายผู้นั้นจะทราบ หลังจากที่เป่าฮู่ได้ฟังก็เข้าใจทันทีว่า แท้จริงตระกูลหย่วน เป็นอดีตตระกูลหลักที่ถูกลดทอนอำนาจ จากตระกูลเร่อ ตระกูลเทพธิดาหงส์เพลิงคนใหม่ แต่เดิมทีตระกูลหย่วนก็เคยมีเทพธิดาหงส์เพลิงมาจุติ แต่รุ่นหลังๆสายเลือดที่มีกลับด้อยค่าลงไปมาก
ดังนั้นหลังจากที่ได้ฟังชายผู้ทำหน้าที่ติดตามรับใช้กล่าวถึงสิ่งที่สงสัย เป่าฮู่ก็เข้าใจว่า งานเทศกาลหงส์เพลิงนี้ ก็คงเป็นตระกูลเร่อที่เป็นผู้นำจัดขึ้นมาเป็นแน่
แต่ความจริงกลับไม่ใช่ งานเทพกาลชมหงส์เพลิงนี้ ทางเทพธิดาหงส์เพลิงคนก่อนจะคัดเลือกบุตรสาวจากทุกตระกูลในเขตปกครองหงส์เพลิง มาทำกาลปลุกพลังแห่งอัคคีที่แท่นกำเนิด
หากบุตรสาวของตระกูลไหน สามารถเรียกเพลิงที่เป็นเพลิงของสัตว์เทพหงส์เพลิงในตำนานออกมาได้ นั่นย่อมทำให้สถานะของนางมีคุณค่าต่อแดนใต้มากยิ่งนัก และหากชายใดได้แต่งงานกับเทพธิดาหงส์เพลิง จะได้รับการดูแลจากแดนใต้ด้วยเช่นกัน นั่นจึงเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ทุกขุมกำลังต้องการตำแหน่งนี้อย่างประมาณค่าไม่ได้
หลังจากเป่าฮู่เดินทางมาได้ 15 วัน ในที่สุดก็มาถึงเมืองท่าเซี่ยหยู อันเป็นเมืองท่าที่สำคัญ ในการเดินทางจากเขตปกครองเสือขาวไปยังเขตปกครองหงส์เพลิง ต้องสัญจรทางน้ำ ซึ่งเป็นการเดินทางที่ลำบากกว่าทางบกที่ต้องอ้อมไปทางแดนศักดิ์สิทธิ์
“เรียนคุณชาย ตอนนี้ถึงเมืองเซี่ยหยูแล้ว คุณชาย เอ่อ…..???”
ความสงสัยเกิดขึ้นมาทันทีหลังจากที่ ชายหนุ่มผู้เป็นผู้ติดตามเปิดผ้าม่านของรถม้าเข้ามา ด้านในรถม้ากลับพบว่า คุณชายของพวกมัน ร่างกายถูกปกคลุมไปด้วยไอเย็นจนเกาะเป็นผลึกน้ำแข็ง ชายทั้งสองได้เห็นก็ทำให้สีหน้าแววตาที่แสดงออกมา ยิ่งเคารพในตัวคุณชายท่านนี้เป็นอย่างมาก
แม้จะเป็นเพียงบุตรบุญธรรม แต่ว่าความสามารถ เอาไงดี คุณชายท่านยังไม่ออกจากการฝึก”
หลังจากคำกล่าวนี้ดังขึ้น เป่าฮู่ที่สัมผัสได้ถึงการหยุดของพาหนะ ก็ได้หยุดฝึกและสลายพลังไอเย็นทิ้งไป บัดนี้ การพัฒนาที่รวดเร็วทำให้เป่าฮู่ ต้องกลับไปฟื้นฟูรากฐานลมปราณให้เสถียร
เพราะหากไม่ทำ ลมปราณที่ร่างกายรวบรวมมาจะไม่แสดงผลของมันอย่างเต็มที่ และอาจทำให้เส้นทางการฝึกฝนยากลำบากขึ้น
“คาราวะคุณชาย”
เสียงทำความเคารพที่ดังขึ้นทันทีหลังจากที่เห็นแผ่นน้ำแข็งสลายตัวกลายเป็นไอน้ำ
ชายหนุ่มที่เป็นผู้ติดตามก็รีบนำน้ำและผ้าเช็ดหน้าเข้ามาให้โดยทันที
“นี่ขอรับคุณชาย ข้าเตรียมไว้จนเย็นหมดแล้ว”
เป่าฮู่รับผ้ามาและตรวจสอบพลังที่ครุกรุ่นในกาย พี่ชาย ท่านทั้งสองมีสิ่งใดต้องการแจ้งข้านั้น เอาเป็นว่า เรามายืนเส้นยืดสายกันก่อนหลังจากนั้นค่อยมาว่ากัน
หลังจากนั้นทั้งสามนายบ่าว ก็ได้ออกแรงฝึกซ้อมท่ากระบี่ในเขตนอกกำแพงเมืองเซี่ยหยู จนเวลาเลยไปจนเกือบเที่ยงวัน ทั้งสามก็หยุดลง และเป็นเป่าฮู่ที่กล่าวออกไปเพื่อขอบคุณทั้งสองคนที่ช่วยเป็นคู่ซ่อมวิชายุทธ์ให้
“ข้าต้องขอบใจพวกท่านมาก เอาหละจากนี้เชิญท่านทั้งองว่าสิ่งที่ข้าควรรู้มา”
เมื่อการเดินทางได้เลยผ่านมาหลายวัน จากเมืองตระกูลหงจนถึงเมืองเซี่ยหยู
บัดนี้ เป่าฮู่และสองพี่น้ององครักษ์เมืองตระกูลหง ก็เดินทางมาจนถึงเมืองเซี่ยหยูโดย ปลอดภัย
แม้เส้นทางจะลำบากบ้าง สะดวกสบายบ้าง
“เรียนคุณชาย เราต้องเดินทาง กันในอีก 1 ชั่วยาม ข้าน้อยได้ตั๋วเรือเหาะตอนยาม อุ้ย
(1300-1459) มาขอรับ เป็นตั๋วเรือเหาะที่แพงเอามากๆขอรับ”
เป่าฮู่ได้ฟังก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวตำหนิออกไป
“เจ้าจะคิดอะไรมาก ข้าเป็นนาย อย่างไรเสียข้าก็เป็นคนจ่าย เอาหละ ยามอุ้ยก็ยามอุ้ย ขอเวลาข้าอาบน้ำชำระร่างกายเสียหน่อยแล้วกัน”
หลังจากนั้นกลุ่มคนที่สัญจรทางเรือเหาะก็มีมากมาย เหล่าคุณชายน้อยใหญ่ต่างพากันมายังเมืองเซี่ยหยู เพื่อมุ่งหน้าสู่เขตปกครองหงส์เพลิงเช่นกัน
ณ ท่าเรือเหาะเมืองเซี่ยหยู
เมื่อกลุ่มศิษย์สำนักน้อยใหญ่ ต่างคนต่างฐานะ อันการแวะมาที่เมืองนี้ก็เพื่อใช้โดยสารเรือเหาะนาวาปราณที่มีอยู่ของ เมืองเซี่ยหยูนี้ร่วมกันนั่นเอง
บริเวณตลาด เมื่อกลุ่มชายหนุ่มที่แต่งกายดุจเทพบุตรจากสวรรค์ ทั้ง 3 เดินทางมายังท่าเทียบเรือ เหล่าชาวยุทธ์มากมายต่างเริ่มส่งเสียง ถึงชายหนุ่มทั้งสามคนนั้น หนึ่งคือ บุตรชายตระกูลหยุน นามหยุนเปียว ชายคนนี้เป่าฮู่เคยเห็นมาแล้ว และอีกสองคนที่เดินตามมา ก็เป็นคุณชายตระกูลอินเทียนและคุณชายตระกูลเซี่ยเสี่ย อันเป็นตระกูลที่เข้าร่วมกับตระกูลหยุน การได้เข้าร่วมโดยการอยู่ใต้อาณัตินั้นทำให้ตระกูลทั้งสองได้ทรัพยากรมากกว่าที่ควรจะเป็น
“นั่นมันคุณชายหยุนเปียว คุณชายอินเทียนสง คุณชาย เซี่ยเสี่ยเกา ทั้งสามคือศิษย์แห่งนิกายเสือขาวที่ยิ่งใหญ่”
คำกล่าวเหล่านั้นทำให้เป่าฮู่ สายหัวด้วยไร้อารมณ์ความสนใจต่อไป
“นี่พี่ชาย ข้าเห็นว่าด้านข้างมีเรืออีกลำ เรือเหาะลำนั้นเป็นของใครหรือนั่น?”
เมื่อชายทั้งสองได้เห็นตราสัญญาลักษณ์ของเรือเหาะที่ด้านข้างตัวเรือ เหาะนาวาปราณระดับ 2 ทำให้ทั้งสองกล่าวออกไปว่า
“นั่นน่าจะเป็น เรือเหาะของผู้ตรวจการจากเขตปกครองศักดิ์สิทธิ์ประจำแดนเสือขาว เป็นเรือส่วนบุคคลระดับขุนนาง สงสัยจะเป็นตระกูลใหญ่จากแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นแน่”
คำกล่าวนั้นทำให้เป่าฮู่ที่กำลังก้าวขึ้นเรือไปต้องครุ่นคิด ยุคสมัยนี้อำนาจก็ยังคงเป็นตัวกำหนดทุกสิ่งอยู่ดี
หลังจากที่เรือเหาะนาวาปราณที่ดูงดงามสลักลวดลายดั่งพยัคฆ์ข้ามทุ่งหญ้าที่แสนองอาจ ได้ออกเดินทาง เรือเหาะที่ลอยไปแทรกกึ่งกลางก้อนเมฆที่สูงเสียดฟ้าที่ขาวดั่งปุ่ยนุ่นนั่นทำให้หัวใจของนักเดินทางกระชุ่มกระชวย อากาศที่หนาวเหน็บทุกคนต่างเก็บตัวอยู่ในห้อง แต่กลับมีเพียงแต่เป่าฮู่ที่อาศัยช่วยเวลานี้ดูดซับพลังลมปราณที่หนาวเหน็บเข้าสู่ร่างกาย