ตำนานเทพยุทธ์ – ตอนที่ 19

โดยการเปิดจุดลมปราณที่ทะลวงไปแล้ว 21 จุด หากเป็นระดับอัจฉริยะจะสามารถทะลวงได้มากกว่า 36 จุดเลยด้วยซ้ำ ส่วนผู้ที่สวรรค์มอบร่างกายศักดิ์สิทธิ์มาให้จะสามารถทะลวงได้ครบ 54 จุด และการฝึกก็จะรุดหน้าอย่างก้าวกระโดด

ด้วยเหตุนี้ เป่าฮู่ที่ทะลวงมาได้ 21 จุดนับว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ระดับกลางและยังต้องใช้ความพยายามฝึกฝนอย่างหนักหน่วง และวันนี้ เป่าฮู่ได้คิดที่จะเปิดกล่องปริศนา ที่เหลือให้ได้มากที่สุด โดยเป่าฮู่นำกล่องปริศนาออกมาวางตรงหน้ามากกว่า 10 กล่อง

โดยเป่าฮู่ก็ทำการปลุกเสกและเพิ่มความขลัง ของพิธี เพื่อที่จะได้พบเจอสมบัติของบรรพชนที่ทิ้งไว้ แม้แดนศักดิ์สิทธิ์จะนำมันมาบรรจุลงไปด้านในกล่องนี้ แต่สำหรับศิษย์ของนิกายเสวียนอู่ทุกสิ่งล้วนสำคัญมากเช่นกัน

 

เมื่อเวลามาถึง ณ ห้องพักน้อยๆของเป่าฮู่ลมปราณที่หนาวเหน็บถูก่งเข้าไปในกล่องปริศนาทั้งสองที่วางเบื้องหน้า

“เอาหละ 2 กล่องแรก จงเป็นของดีเถอะ”

(((ฟรึ๊บ!))) (((แกร๊ก!))) เสียงเปิดออกของกล่องไม้สีดำเล็กๆ แสงที่ส่องออกมาโดยรอบกลับทอประกายออกมา ด้านซ้ายเป็นม้วนหนังสัตว์ แต่ด้านขวากลับเป็นของบางสิ่งที่เป่าฮู่ไม่รู้จัก

“เอ๊ะ! นั่นอะไรกัน เจ้าก้อนสีเงินแวววาวนี่”

เกิดความสงสัย แต่ก็ละความสนใจนั้นไว้ก่อนและเปิดกล่องไม้ต่อไปอีก ครั้งละ 2 กล่อง

“ ตำรา / ตำรา / ตำรา / หิน /ตำรา/ ตำรา /หิน /หิน”

การเปิดในครั้งนี้กลับมีหินบางอย่างปะปนมาด้วยทำให้ เป่าฮู่เริ่มที่จะสนใจ และคิดว่าของเหล่านี้มันมีคุณค่าอะไร ทำไมมันถึงมาอยู่ในกล่องที่แดนศักดิ์สิทธิ์ต้องการมอบให้แก่ศิษย์ของพวกมัน

เมื่อต้องการรู้บางสิ่ง ก็เรียกเจ้าเต่าโบราณออกมา

“ท่านเทพเต่าผู้ยิ่งใหญ่ ข้าผู้โง่เขลาต้องการความรู้ความเข้าใจ”

เพียงแสงที่ทอประกายเจิดจ้างแหวนสีม่วงก็เปิดออกและเต่าตัวเท่าฝ่ามือก็เดินออกมา เพียงการมองเห็นกล่องปริศนา และม้วนตำราที่วางตรงหน้า เต่าเทพอักขระก็หันไปมองหน้าของเป่าอู่ทันที

“นั่นมัน! ไอ้หนู อย่าบอกนะว่า จะให้ข้าดูดซับตำราเหลานี้และสลักมันลงในห้วงความทรงจำเจ้าอีก พลังของข้าไม่ได้มีเพื่อการนั้น”

แต่เมื่อเหลือบสายตาไปเห็นก้อนสีเงินที่แวววาว และก้อนสีดำที่เตะตา เต่าอักขระก็รีบเดินไปที่ก้อนหินเหล่านั้น

“กรี๊ก! กรี๊ก! นี่มันหินพลังธาตุ อื่ม ไม่น่าเชื่อว่าหินพวกนี้เจ้าจะได้มันมา

ว่าแต่เจ้าได้มันมาจากไหน?”

เพียงเป่าฮู่ได้ฟัง ก็ชี้ไปที่กล่องไม้เหล่านั้นและเพียงไม่นาน เต่าอักขระก็รับกล่าวออกไปว่า

“เจ้าหนู เจ้ารู้อะไรไหม หินพวกนี้มีประโยชน์มากมาย ข้าที่เป็นอสูรลมปราณ

ก็สามารถใช้หินพวกนี้ให้กำเนิดพลังตะบะ และสามารถพัฒนาระดับของตนเองได้

และพวกมนุษย์เช่นเจ้า สามารถใช้พวกมันหลอมรวมกับร่างกาย เพื่อปลุกพลังธาตุชนิดใหม่และให้กำเนิดพลังอีกชนิดหนึ่งในร่างกาย”

เพียงได้ฟังจุดนี้  เต้าเหล่ย ยอดอัจฉริยะที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ และพลังลมปราณที่เป่าฮูสัมผัสได้คือธาตุวายุและสายฟ้าที่เป็นธาตุอัสนี นั่นก็ทำให้เป่าฮู่ฉุดคิดขึ้นมาว่า แดนศักดิ์สิทธิ์อาจใช้มัน และส่งมันให้แก่ศิษย์ที่มีพรสวรรค์

 

“ท่านเต่า แล้วมันอันตรายหรือไม่ การปลุกพลังธาตุ?”

เมื่อเทพเต่าอักขระได้ฟัง ก็กล่าวออกไปว่า

“ก้อนพวกนี้ไร้ค่า เพราะมันเป็นเพียงของชั้นต่ำ และข้าจะกินมันเป็นอาหารซะ

หากเจ้าสนใจจริงๆ ลองไปที่แดนหงส์เพลิง และหาหินแร่แห่งเปลวเพลิงที่ทรงคุณค่ามาข้าจะลองช่วยเจ้าปลุกพลังธาตุอัคคีให้ แต่สิ่งนั้นย่อมมาพร้อมความเสี่ยงหากเจ้าพร้อมเสี่ยง แลประสบผลสำเร็จ เจ้าก็จะสามารถศึกษาวิชายุทธ์ของแดนใต้ของเทพหงส์เพลิงได้เช่นกัน”

หลังจากนั้นเป่าฮู่ก็ไม่รีรอนำกล่องปริศนาออกมาวางตรงหน้า ด้วยจำนวนมากกว่า 100 กล่อง การเปิดกล่องปริศนาอย่างบ้าระห่ำ ก็ทำให้เต่าเทพอักขระได้รับผลประโยชน์มากมายเช่นกัน

“อื่ม อื่ม ไม่เลว ไม่เลว เปิดไป 100 กล่อง ได้ม้วนตำราระดับ ราชา 10 ม้วน ระดับปราชญ์ 40 ม้วน ได้หินพลังธาตุซะ30 ก้อน และที่เหลือ กลับเป็นแร่หายากอีกชนิดหนึ่ง

มันคือ แร่ปฐพี มันคือแร่ที่สามารถยกระดับร่างกายของเจ้าให้แกร่งขึ้น แต่ข้าเชื่อว่ามนุษย์คงไม่มีใครบ้าบิ่นที่จะทำมันหลอก

เพราะใครจะกล้าหลอมกายตนเอง ไปพร้อมกับแร่ที่มีพลังที่รุนแรงขนาดนั้นได้ แต่หากทำได้กระดูกของเจ้าอาจแกร่งกว่าเหล็กกล้าได้เลย แต่ถ้าไม่ ข้าจะกินมันเพื่อพัฒนากระดองของข้าซะ”

 

ด้วยเต่าอักขระหลังจากที่กลายมาเป็นอสูรลมปราณในวงแหวนพลังของเป่าฮู่

ก็อยากตัวมันเองคงอยู่ไปนานแสนนาน หากนายของมันยิ่งใหญ่เกรียงไกลมันอาจจะใช้พลังที่ได้มานำพานายของมันก้าวสู่ระดับที่ไม่มีใครไปถึง เช่นการเป็นสัตว์เทพดังบรรพบุรุษของมันเทพเต่าดำ

 

หลังจากที่เป่าฮู่ได้ทำภารกิจเปิดกล่องปริศนาไป 100 กล่อง ก็ได้ลุกออกมายืนเส้นยืดสาย และท่ามกลางท้องนภาที่กว้างใหญ่ ภาพที่ได้เห็นกลับทำให้เป่าฮู่มิอาจลืมเลือน สายตาที่จดจ้องไปยังส่วนหัวเรือเหาะนาวาปราณ ภาพทิวทัศน์ที่งามเด่น กลับเผยให้เป่าฮู่ได้เห็น ภาพของหนึ่งสตรีที่โดยสารมากับเรือเหาะอีกลำที่ลอยเด่นเคียงคู่มาแต่ไกล

โดยธงที่เป็นสัญญาลักษณ์กลับมีอักษรที่เด่นเป็นสง่า ตระกูลหย่วน นั่นเอง เป่าฮู่นำป้ายที่หย่วนปงแนะนำมาออกมาดู และเห็นสัญญาลักษณ์ข้างเรือเหาะและบนป้ายไม้ เหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน

ภาพของตระกูลที่มีอดีตตระกูลนี้ เป่าฮู่ชักอยากรู้ว่า ตัวเป่าฮู่เองจะสามารถทำอะไรได้บ้าง แต่หลังจากที่ชื่นชมภาพความงามจบสิ้น เวลาของเป่าฮู่บนเรือเหาะ คงเหลืออยู่ไม่มาก

“เอาหละได้เวลาใช้งาน เทพเต่าอักขระแล้ว”

เพียงเท่านั้นเป่าฮู่ต้องการที่จะสลักวิชาระดับราชา ทั้งสิบวิชาลงไปในห้วงแห่งความทรงจำ เมื่อกลับมาถึงห้องพัก คนติดตามทั้งสองได้เข้ามาเพื่อสอบถามถึงสิ่งที่คุณชายของมันต้องการ และสิ่งทีได้คือ

ให้ไปพักผ่อนซะ เป่าฮู่เดินเข้าห้องพร้อมเรียกเต่าอักขระออกมา และได้กล่าวถึงสิ่งที่ต้องการ เทพเต่าที่เป็นสัตว์อสูรลมปราณที่ทำพันธะสัญญากับนายของมันแล้วจึงรับรู้ได้ทันทีผ่านช่องทางวิญญาณที่ผูกกัน

 

“ฮ่าๆๆๆ ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ นั่นสินะที่ข้าควรกล่าว เจ้าหนู วิชาพวกนี้ไมต่างจากขยะ เท่าที่ข้าดู ทั้ง 10 ตำรานี้ มีเพียง 2 วิชาที่เจ้าควรศึกษา หากจะฝึกทั้งหมด เจ้าที่มีระดับที่สูงมากแล้วศัตรูก็แกร่งตามไปด้วย ไฉนจะมาใช้วิชาระดับราชาต่อกรกับศัตรูได้ แต่สำหรับ 2 วิชาที่ข้าคิดว่าเจ้าจำเป็นต้องศึกษา ก็คือวิชาร่างจำแรง แม้จะระดับราชา แต่ก็สามารถสร้างร่างเสมือนของเจ้าเพื่อหลอกล่อศัตรูได้ ประหนึ่งจักจั่นที่รอกคาบ เจ้าควรที่จะศึกษามันไว้ ส่วนอีกหนึ่งก็คือวิชาผนึกวารี เป็นวิชาที่ใช้หยุดยั้งศัตรู โดยการสกัดพลังลมปราณของคนผู้นั้นได้ในระยะเวลาหนึ่ง เจ้าควรฝึกทั้งสองวิชานี้เท่านั้น”

หลังจากที่เทพเต่าบรรยายสรรพคุณของชุดวิชาทั้งสอง เป่าฮู่ก็ได้สลักชุดวิชาลงไปยังความทรงจำของตน แต่หลังการสลักเคล็ดวิชาลงไป ขอบเขตของจิตวิญญาณของเป่าฮู่กับแสดงอาการบางอย่างออกมา เทพเต่าได้ตรวจดูอย่างระเอียด จึงได้บอกแก่เป่าฮู่ให้หายอดโอสถบำรุงจิตวิญญาณมาทานบ้าง เพื่อขยายขอบเขตพลังทางจิตของเป่าฮู่เองด้วย

หลังจากที่การเดินที่สะดวกสบายจบสิ้น เรือเหาะก็เทียบท่าที่ เมืองตระกูลเร่อ อันเป็นเมืองใหญ่ของแดนใต้ และทุกสำนักต่างนำพาตนเองมา เพื่อชมความงามของเทพธิดาหงส์เพลิงของแดนใต้

เพียงเป่าฮู่ก้าวเท้าออกจากเรือ ด้วยเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้เรือเหาะนาวาปราณลำนั้นต้องสั่นสะเทือนไปทั้งลำ นั่นก็เพราะร่างของชายผู้หนึ่งที่ปลิวมากระแทกกับตัวเรือเหาะ พร้อมกับร่างกายที่แหลกเหลว ด้วยเสียงที่ดังสนั่นทำให้เหล่าชาวยุทธ์ทั้งหลายต่างหันมามองผู้ที่ก่อเหตุ

“ฮึ! ไอ้บัดซบ กล้าดีเช่นไร มาขวางทาง คุณชายมู่หยง แห่งเกาะมังกรฟ้า”

เมื่ออักษรที่สลักตรงหน้าอกของบ่าวรับใช้แสดงให้เห็นถึงความแกร่งกล้าสามารถของ

ตระกูลใหญ่อันดับ หนึ่งของแดนมังกรฟ้า ตระกูลมู่นั่นเอง

ตำนานเทพยุทธ์

ตำนานเทพยุทธ์

ตำนานเทพยุทธ์
Status: Ongoing
อ่านนิยายตำนานเทพยุทธ์ “ข้าจะกลับไปแก้แค้นพวกเจ้าทุกคน” ชายหนุ่มที่มีวัย เพียง 18 ปี ผู้เป็นศิษย์ที่มีพรแสวงมากที่สุด จากจำนวนศิษย์ภายใน สำนักกว่า 200 คน นามของเขาก็คือ เป่าฮู่ ชายผู้เกิดมาพร้อมชะตาที่อาภัพ บิดามารดาทั้งสองตกตายไปอย่างอนาถ ทิ้งชายหนุ่มหาเลี้ยงตนเองตลอดระยะเวลาหลายปี โรคระบาดคร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย ดังนั้นบิดามารดาจึงได้ล้มตายจากไปอย่างมีเงื่อนงำ แต่เป่าฮู่ก็ไม่อับจนโชคชะตาซะทีเดียว สวรรค์มิได้รังแกเขามากนัก เด็กชายวัยเยาว์จึงถูกชุบเลี้ยงโดยอาวุโสระดับสูงของนิกายนักยุทธ์นาม เสวียนอู่ อันเป็นนิกายอันดับหนึ่งแห่งแดนเหนือ การพบเจอด้วยความบังเอิญ จึงได้รับตัวเข้ามาเป็นศิษย์ชุบเลี้ยงอย่างเอ็นดูรักใคร่ดั่งบุตรในสายตระกูล

Comment

Options

not work with dark mode
Reset