ท่ามกลางป่าเขาที่เต็มไปด้วยแมกไม้ ณ มุมหนึ่งที่เงียบสงัด เด็กหนุ่มผู้ที่ใบหน้าต่างเคลือบไปด้วยอารมณ์ต่างๆอันไม่รู้จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้อย่างไรดี ในใจต่างมีความสับสน ทั้งที่ตนตั้งใจไว้จะกอบกู้นิกายกลับคืนมา
แต่อีกใจหนึ่งก็มองเห็นกล่องปริศนาและทำให้หัวใจนั้นห่อเหี่ยวลงมาเหลือแสน ตำราอันทรงเกียรติในหอตำรายุทธ์ ที่ศิษย์นับหมื่นนับแสนต่างหวังจะได้ครอบครอง กลับถูก ไอ้พวกบัดซบแดนศักดิ์นำมาเป็นเครื่องเล่นสนุกขบขัน
“ข้าแด่ท่านปรมาจารย์ ผู้ล่วงลับ ข้าเป่าฮู่ขอสาบานต่อฟ้า สักวันจะติดตามเอาตำรายุทธ์ทุกแขนงกลับมาให้ได้มากที่สุด เมื่อข้าก้าวขึ้นไปแตะชั้นฟ้าเหยียบย่ำพวกแดนศักดิ์สิทธิ์ดั่งเหยียบย่ำมดปลวกได้แล้ว”
เมื่อแสงอาทิตย์ยามเย็นลับลาหายไป สายลมเย็นๆยามดึกที่สอดสลับกลับมาใหม่ บัดนี้ได้เวลาที่เป่าฮู่จะฝึกลมปราณของตนเองแล้ว ส่วนกล่องปริศนา เป่าฮู่ตั้งใจว่าพรุ่งนี้เช้าจะเปิดมันออกเพื่อเป็นของขวัญแก่ตนเองในวันใหม่
การฝึกโคจรลมปราณตามเส้นทางที่เต่าอักขระชักนำไปก่อนหน้า เป่าฮู่จดจำได้ขึ้นใจ การที่ชักนำลมปราณฟ้าดินจากนอกร่างกายให้ไหลเข้าสู่ร่างกาย จนรับรู้ได้ถึงมันและชักนำให้ลมปราณเหล่านั้น มุ่งสู่ตันเถียร ไอเย็นที่ปกคลุม รอบกายชายหนุ่ม ปรากฏเป็นเกราะปราณคุ้มครองรูปเต่ายักษ์ครอบคลุมร่างกาย
โดยที่เป่าฮู่ไม่อาจรับรู้ได้ ลมปราณเทพเต่าดำส่งเสริมด้านการคุ้มกัน ป้องกันจากการโจมตีของศัตรูรอบด้าน ทำให้ศัตรูไม่อาจทะลวงผ่านเข้ามา ดั่งปราการที่แข็งกล้า หากฝึกได้ถึงขั้นสูงสุดย่อมทำให้การโจมตีทุกรูปแบบสยบต่อหน้า
เมื่อเวลาที่ผ่านไป จนแสงวันใหม่ผ่านเข้ามา การเติมเต็มพลังในตันเถียนก็เหมือนจะเพิ่มขึ้นไม่มาก และยังอีกห่างไกลสำหรับคำว่าบรรลุระดับราชาลมปราณตอนกลาง
ด้วยความสามารถและพรสวรรค์ที่ไม่ได้มีมากอะไรทำให้เป่าฮู่ต้องชดเฉยด้วยความอุตสาหะ การมีความมุมานะพยายามเท่านั้น แต่ที่โชคดีที่สุดก็คือบัดนี้ในกายของเป่าฮู่
พลังที่ได้รับจากผลึกเหมันต์ กลับสามารถทำให้ร่างกายของชายหนุ่มตอบรับกับพลังไอเย็นจากภายนอกได้ดี
“เฮ้ย! สถานที่แห่งนี้มีพลังหยินไม่มากเท่าที่ควรจะเป็น ไอเย็นจากยามค่ำคืนนี้ไม่ได้ทำให้ข้าพัฒนาไปมากเท่าใดเลย”
คำกล่าวที่ดังออกมาหลังจากที่เปลือกตาของชายหนุ่มเปิดกว้าง แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้คิดว่าตนเองจะไร้พรสวรรค์ขนาด 10 ปีไม่ก้าวหน้าเลยทีเดียว
แต่สำหรับความแค้นนี้ 10 ปีมันนานไป เพราะเวลาของชายหนุ่ม มีเพียงไม่นานใน ศึกชิงจ้าวยุทธ์ที่จะถึงนี้ ทุกสำนักที่เคยดูหมิ่นเหยียดหยามนิกายเสวียนอู่ไว้ย่อมต้องยอมศิโรราบ ต่อแทบเท้าเป่าฮู่เป็นแน่
“เอาหละ เมื่อแสงยามเช้ามาเยือน ข้าเป่าฮู่ขอทำพิธีขอพรจากปรมาจารย์
ผู้ล่วงลับขอให้กล่องปริศนาบ้านี่มอบตำรายุทธ์ระดับสูงแก่ข้าผู้นี้ด้วย ข้าจะใช้วิชาเหล่านี้สั่งสอนพวกแดนศักดิ์สิทธิ์ให้ได้รับบทเรียน”
แปลกแต่จริงเคล็ดวิชาที่แดนศักดิ์สิทธิ์ได้มาจากนิกายเสวียนอู่ พวกมันไม่อาจนำไปฝึกได้เพราะทุกวิชาเป็นวิชาที่สืบเนื่องมาจาก พลังลมปราณทิศอุดรเหล่านั้นจนสิ้น
หากไร้พื้นฐานลมปราณที่ดีพอจากผู้ฝึกยุทธ์ธาตุน้ำ หรือมีลมปราณเทพเต่าดำ ทุกสิ่งก็ไร้ประโยชน์ที่จะนำมาฝึก ดังนั้นเหล่าผู้สูงศักดิ์ของแดนศักดิ์สิทธิ์จึงใช้จุดนี้เพื่อดึงดูดเหล่าศิษย์ผู้ซ่อนเร้นของนิกายเสวียนอู่ออกมา
แต่ใครจะไปคิดกันว่าศิษย์ที่จ้าวนิกายลู่กวนฝากความหวังไว้กลับ ก้าวสู่สภาวะหลับใหลไปกว่า 100 ปี จนมีโอกาสหวนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง แต่ก็สายไปแล้ว เพราะวันนี้ไร้ซึ่งนิกายที่ทรงคุณค่าแห่งแดนเหนือไปแล้ว แดนเหนือจึงเป็นดั่งเขตปกครองของแดนศักดิ์สิทธิ์
เพราะอีก 3 ดินแดนมีวิชาและความแข็งแกร่งมากกว่าที่แดนศักดิ์สิทธิ์คาดการณ์ไว้
หลังจากที่เป่าฮู่นำกล่องปริศนาที่ได้จากหอประมูลศักดิ์สิทธิ์ออกมา ก็ทำให้ ตัวเป่าฮู่ใจเต้นระรัว ด้วยไม่รู้ว่าของที่อยู่ข้างในจะเป็นตำรายุทธ์แบบใดตนจะฝึกได้หรือไม่
เพียงการส่งลมปราณเข้าไปกระตุ้นวงจรอักขระที่ถูกจารึกอยู่และเมื่อแสงที่ปรากฏบนตัวกล่องส่องประกาย สีที่พลันเปลี่ยนไปของกล่องปริศนากลับเป็นสีขาวในจุดเริ่มต้น
แต่แปรเปลี่ยนไปเป็นสีเหลือง ในอีกไม่กี่อึดใจ ต่อมาสีเหลืองที่ปรากฏก็สลายไปปรากฏสีฟ้าอ่อนๆขึ้นมาทดแทน ด้วยประกายแสงที่เรืองรองสะท้อนไปมา จนห้วงสุดท้ายกล่องปริศนาก็ส่งเสียงออกมา
(((หึ่ง))) (((หึ่ง))) เป็นเสียงที่ดังออกมาพร้อมแสงสุดท้ายที่ปรากฏคือ สีฟ้า ภาพที่ปรากฏหลังจากกล่องปริศนาเปิดออกด้านในมีหนังสัตว์ม้วนหนึ่งที่จารึกตำรายุทธ์ไว้อยู่
หลังจากที่เป่าฮู่หยิบม้วนหนังสัตว์ขึ้นมาอ่าน ก็พบว่านี่มันเป็นตำรายุทธ์ระดับ ปราชญ์ และยิ่งไปกว่านั้น มันก็คือหนึ่งในชุดวิชาฝ่ามือของนิกายเสวียนอู่ที่ปรมาจารย์รุ่นที่ 2 คิดค้นขึ้นมา มันก็คือ ฝ่ามืออัดกระแทก
ด้วยวิชาฝ่ามือนี้กลับสามารถสร้างชื่อในเรื่องการพลิกแพลงรวดเร็ว โจมตีได้ง่ายไม่ซับซ้อน หากใช้ถูกที่ถูกเวลาย่อมทำให้พลังทำลายเหนือกว่าระดับที่มีเป็นแน่ ดังนั้นวิชานี้จึงเหมาะสมที่ศิษย์ในนิกายจะฝึก แต่ก็ไม่ควรกินระดับปราชญ์ หากสูงกว่านั้นก็ไม่อาจเทียบกับวิชาที่เหนือกว่านั้นไปได้และขึ้นอยู่กับระดับของผู้ใช้ด้วย
ต่อมาเป่าฮู่ได้ยกเอากล่องปริศนาอีกกล่องหนึ่งออกมา โดยช่วงเวลานั้น กลับเป็นเจ้าเต่าอักขระที่คิดอยากสนุกด้วยบ้าง จึงถือวิสาสะออกมาจากวงแหวนด้วยตนเอง ด้วยเวลานั้นเป่าฮู่กำลังจะลงมือเปิดกล่องปริศนากล่องสุดท้าย
“ช้าก่อนเจ้าหนู”
เสียงเดิมๆที่ดังออกมาขัดการปลุกเสกลงของขลังที่เป่าฮู่กำลังแสดงออกมา เจ้าเต่าตัวขนาดฝ่ามือกำลังคืบคลานออกมาจากวงแหวนสีม่วงของมัน
“พิธีการสนุกๆแบบนี้ไม่รอข้าได้อย่างไร ไหนๆ มาสิข้าขอรองบ้างเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไรว่ามา?”
คำกล่าวนั้นทำเอาเป่าฮู่หน้าชา เพราะเจ้าเต่าหน้าด้านตัวนี้มันไม่มีความเคารพยำเกรงผู้เป็นนายเลยแม้แต่น้อยแถมยังมองเจ้านายเสมือนเด็กน้อยที่กำลังเติบโต
“ท่านเทพเต่า ท่านสนใจพิธีกรรมสนุกๆของข้า ดีแบบนั้นข้าจะให้ท่านเป็นคนเปิดมันออกมา หากว่าท่านเปิดแล้วได้ระดับของเคล็ดวิชาที่น้อยกว่าข้า ท่านควรชดเชยเคล็ดวิชามาให้แก่ข้า ดีหรือไม่?”
เพียงข้อต่อรองนี้ มันก็เท่ากับว่า เทพเต่าอักขระตนนี้ก็มีแต่โอกาสที่จะเสียเปรียบ แต่ว่า ความสนุกนั้นสามรถลบเลือนทุกสิ่งทุกอย่างได้ เพราะหลังจากผ่านมากว่า 100 ปี ยังหาสิ่งสนุกๆทำไม่ได้
“เอา ในเมื่อคนมันอยากทำ ใจมันก้าวลงไปแล้ว ข้าเทพเต่าอักขระที่ยิ่งใหญ่ จะขอเสี่ยงดวงสักครั้ง หากได้ระดับน้อยกว่าที่เจ้าเปิดมาข้าจะขอแลกมันกับทักษะ ส่วนตัวของข้าที่เจ้าน่าจะฝึกได้สักหนึ่งวิชา”
เพียงเต่าอักขระตัวจ้อยกระโดดลอยตัวกลางอากาศไปที่กล่องปริศนา ด้วยทักษะของตนเอง พร้อมส่งพลังลมปราณของที่พรั่งพรูไปด้วยอักขระลงไปที่กล่องปริศนา เพียงลมปราณกระทบอักขระที่จารึกไว้ อักขระที่จารึกกล่องปริศนาแตกกระจายออกไป
แสงที่ทอประกายเรืองรองออกมาจากกล่องนั้นสว่างจ้า และปรากฏแสงสีขาว ดั่งเดิม แต่ปรากฏเพียงชั่วพริบตาก็เปลี่ยนเป็นสีเหลือง ตามมาด้วยสีฟ้า และเมื่อความเร็วที่ไม่ลดลง แสงสีที่ปรากฏกลับแปรเปลี่ยนจากสีฟ้าเป็นสีม่วง
กล่องที่ส่งเสียงดัง (((หึ่ง))) (((หึ่ง))) ออกมาและการสั่นของกล่องนั้น เริ่มรุนแรงจนสีที่ปรากฏระเบิดกล่องออกมาพร้อมละอองแสงสีแดงที่ลอยเด่นชัด
วันนี้เป่าฮู่ได้เห็นสิ่งที่ตระการตา และได้ทำให้ตัวเป่าฮู่ได้คิดว่า แดนศักดิ์สิทธิ์ผู้ที่คิดค้นวิธีนี้ขึ้นมาคงนึกสนุกกับการที่ได้หยอกล้อใจคนหรือการเหยียบย่ำใจของเหล่าปรมาจารย์นิกายเสวียนอู่เล่นเป็นแน่แท้
“ฮ่าๆๆๆๆ เจ้าหนู วันนี้เจ้าไร้วาสนา ไม่ได้สุดยอดเคล็ดวิชา จากข้าเทพเต่าผู้นี้ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เพียงทักษะระดับราชันตรงหน้านี้ก็หนักเกินกว่าเจ้าจะเข้าใจแล้ว อื่มไหนดูสิว่ามันคือทักษะอะไร”
คำกล่าวนั้นดังขึ้นมาในขณะที่ตัวอักขระที่จารึกในแผ่นม้วนหนังสัตว์ อักขระทุกตัวที่จารึกไว้ได้ถูก เต่าอักขระดูดซับไปและภาพที่เกิดขึ้นกลับเป็นเจ้าเต่าน้อยที่ลอยตัวกลางอากาศ พร้อมจ้องมาที่ดวงตาของเป่าฮู่
“ไม่เลว ไม่เลว ข้ากำลังคิดว่า เจ้าที่มีวิชาลมปราณที่กล้าแกร่งแล้ว หากไร้วิชาโจมตีที่หนักหน่วง อาศัยแค่วิชาปาหี่เช่นเข็มน้ำแข็งที่เคยใช่มา ย่อมไม่สามารถนำพาชีวิตของเป่าฮู่ไปได้ไกลตามเจตนารมณ์ของตัวชายหนุ่มเป็นแน่”
เพียงเป่าฮู่เห็นการกระทำของเต่าอักขระ ก็ทำให้ชายหนุ่มสับสน
“นั่นท่านกำลังทำอะไร?”
คำถามที่ทำให้เต่าอักขระต้องหยุดและเปิดเปลือกตาขึ้นมาข้างหนึ่ง ด้วยความหน่ายใจ จึงทำการเรียบเรียงเคล็ดวิชาเหล่านี้ให้ชายหนุ่มเข้าใจได้ง่ายขึ้น
“ก็ทำให้คนโง่เง่าเช่นเจ้า เข้าใจทักษะโจมตีนี้ง่ายขึ้น”
เพียงเท่านั้นเต่าเทพอักขระ ก็ได้ใช้ปลายเล็บจิกเข้าไปที่จุดกึ่งกลางหน้าผากของชายหนุ่มความรู้จากอักขระมากมายที่ไหลเข้าไปในหัว เคล็ดวิชาที่มีชื่อว่า กระบี่ราชันไร้รูป อันเป็นวิชากระบี่น้ำแข็งที่ทรงพลัง ของนิกายเสวียนอู่
แม้จะมิใช่ระดับจักรพรรดิแต่ก็สามารถต้านทานหรือทำลายวิชาป้องกันระดับจักรพรรดิได้เช่นกันหากใช้ได้ถูกจังหวะ ความเข้าใจในเคล็ดวิชาที่ไหลออกมาสู่หัวของเป่าฮู่ทำให้ชายหนุ่มต้องตกใจถึงความอัศจรรย์ของสัตว์อสูรตนนี้